สิ่งประดิษฐ์ของบอดนาร์ไม่ได้เป็นเพียงแค่นวัตกรรมที่ได้รางวัลขำๆ แต่ผลงานของเธอยังได้รับการจดสิทธิบัตรในสหรัฐฯ ด้วย ซึ่งเลขสิทธิบัตรคือ US 7,255,627 B2 (Garment device convertible to one or more facemasks)
But, this technology isn't just the stuff of Hollywood films – it's actually being developed for the US military by a team of scientists from three A merican universities. แต่เทคโนโลยีนี้ไม่ได้เป็นเพียงสิ่งภาพยนตร์ Hollywood -- เป็นจริงการพัฒนาสำหรับทหารสหรัฐโดยทีมนักวิทยาศาสตร์จากสามมหาวิทยาลัยอเมริกัน
The goal of the project isn't to spy on citizens, however. เป้าหมายของโครงการไม่ได้สืบให้กับประชาชนแต่
It will be used to read and transmit soldier's thoughts to each other so that the need for vocal communication is eliminated. จะใช้การอ่านและการส่งทหารคิดของแต่ละอื่น ๆ เพื่อให้การสื่อสารเสียงต้องเป็นกรอบ
Have no fear, say the scientists involved in the project: the person wearing the helmet must put forth a deliberate effort to communicate their thoughts. มีความกลัวไม่ว่านักวิทยาศาสตร์ที่เกี่ยวข้องในโครงการ : บุคคลสวมหมวกจะต้องนำมาเป็นความพยายามโดยเจตนาในการสื่อสารความคิดของพวกเขา
โนเบลสาขาเคมีปีนี้สอดรับกันอย่างดีกับรางวัลโนเบลสาขาสรีรศาสตร์หรือการแพทย์ที่เพิ่งประกาศไปก่อนหน้า โดยแอนดรูว ไฟร์ (Andrew Z. Fire) จากคณะแพทย์ มหาวิทยาสแตนฟอร์ด (School of Medicine at the Stanford University in California) และเคร็ก เมลโล (Craig C. Mello) จากสถาบันแพทย์โฮเวิร์ด ฮิวจ์ (Howard Hughes Medical Institute) คณะแพทย์ มหาวิทยา
มหาวิทยาสแตนฟอร์ด (School of Medicine at the Stanford University in California) และเคร็ก เมลโล (Craig C. Mello) จากสถาบันแพทย์โฮเวิร์ด ฮิวจ์ (Howard Hughes Medical Institute) คณะแพทย์ มหาวิทยาลัยเมสชาชูเซ็ตส์ (University of Messachusetts Medical School)ได้รับรางวัลในสาขานี้ โดยทั้งคู่ค้นพบอาร์เอ็นเอไอ (RNAi : RNA interference) หรือกระบวนการปิดการทำงานของยีนเป้าหมาย
นางสาวรติรมย์ ถมยา 52SP2760047
ตอบลบมีงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับ "จู๋" และได้รับรางวัลอีกโนเบล อีก คือ สาขาศิลปะ ในปี พ.ศ. 2535 มีผู้รับรางวัลสองคนคือ Jim Knowlton ศิลปินผู้วาดภาพโปสเตอร์ขนาดใหญ่ ชื่อ จู๋ของเหล่าสรรพสัตว์ ที่แสดงภาพจู๋ของสัตว์ 11 ชนิด และของมนุษย์ ในขนาดเท่าของจริง โดยเรียงตามลำดับจากใหญ่ไปหาเล็ก คือ วาฬสเปอร์มที่ยาวกว่า 7 ฟุต ถัดไปคือ ช้าง วัว ม้า หมู ปลาโลมา แพะ ยีราฟ แกะ หมาป่า สุนัข และมนุษย์ ตามลำดับ
ส่วนผู้รับรางวัลอีกคนคือ สถาบันศิลป์แห่งชาติของสหรัฐอเมริกา ผู้ให้ทุนสนับสนุนศิลปินให้สร้างผลงานเช่นเดียวกันนี้ ในรูปของหนังสือภาพสามมิติ (pop-up book) สาขาสถิติ ในปี พ.ศ. 2541 มอบให้กับ Jerald Bain จากโรงพยาบาลเม้าท์ไซนาย และ Kerry Siminoski จากมหาวิทยาลัยอัลเบอร์ตา ประเทศแคนาดา สำหรับรายงานวิจัยที่ต้องวัดกันอย่างละเอียดถี่ถ้วน เรื่อง ความสัมพันธ์ระหว่างความสูง ความยาวของจู๋ และขนาดของเท้า
ที่มาค่ะ (((http://team.sko.moph.go.th/blog/a-a-a-a-a-a-a-a-a-a-a-a-a-a-a-a-a-a-a-a-a-a-a-a-a-a-a-a-a-a-a-a-a-a-a-a-.html))))
ความคิดเห็นนี้ถูกผู้เขียนลบ
ตอบลบนางสาว สุพินญา ฉลวยธนาพร 52SP2760016
ตอบลบแดน เมเยอร์ (Dan Meyer) เจ้าของอิกโนเบลเมื่อหลายปีก่อน ขึ้นแสดงกลืนดาบโชว์บนเวทีอีกครั้ง (ภาพเอพี)
สุดบรรเจิด "ยกทรงฉุกเฉิน" แปลงร่างเป็นหน้ากากกันแก๊สพิษได้ในสถานการณ์คับขัน คว้ารางวัล "อิกโนเบล" สาขาสาธารณสุขประจำปีนี้ นวัตกรรมที่ไม่ได้ทำขึ้นมาแค่เล่นๆ หรือเพื่อขำๆ แต่ใช้ประโยชน์ได้จริง จดสิทธิบัตรจริง พร้อมอีกสารพัดรางวัลกับงานวิจัยที่ปล่อยให้ทุกคนหัวเราะออกมาก่อนแล้วจึงได้คิด
เป็นธรรมเนียมทุกๆ ปี ก่อนการประกาศผลรางวัลโนเบล 1 สัปดาห์ คณะกรรมการงานวิจัยที่ไม่น่าจะลอกเลียนแบบได้ประจำปี (Annals of Improbable Research) จะได้จัดงานประกาศผลรางวัล “อิกโนเบล” (IgNobel Prizes) งานวิจัยที่ "ไม่สามารถหรือไม่น่าจะลอกเลียนแบบได้"
ในปีนี้ได้ประกาศผลรางวัลไปเมื่อค่ำวันที่ 1 ต.ค.52 ที่ผ่าน (ตรงกับช่วงเช้าตรู่ของวันที่ 2 ต.ค.) ณ โรงละครแซนเดอร์ ในฮาร์วาร์ด โดยมีเจ้าของรางวัลโนเบล (ของจริง) ได้ออกมาประกาศรางวัลในสาขาต่างๆ โดยในปีนี้นับเป็นการมอบรางวัลให้กับงานวิจัยขำๆ เป็นครั้งที่ 19 แล้ว
สำหรับอิกโนเบลประจำปี 2552 ที่โดดเด่นโดนใจคงหนีไม่พ้น "ยกทรง 2 คุณประโยชน์" ของเอลีนา บอดนาร์ (Elena Bodnar) จากวิทยาลัยการแพทย์ มหาวิทยาลัยชิคาโก (University of Chicago) สหรัฐฯ ที่ได้รับการออกแบบให้เป็นหน้ากากกันแก๊สพิษ
เมื่อถึงสถานการณ์ฉุกเฉิน สามารถนำยกทรงที่สวมอยู่มาใช้เป็นหน้ากากได้ถึง 2 ชิ้น (อีกชิ้นแบ่งให้หนุ่มข้าง) โดยชุดชั้นในที่ออกแบบขึ้นมานี้ มีตะขอปลดยกทรงทั้งด้านหน้าและด้านหลัง ซึ่งช่วยแยกเต้ายกทรงทั้งสองข้างออกจากกัน แล้วใช้เต้ายกทรงแทนหน้ากากกันแก๊สพิษได้
สิ่งประดิษฐ์ของบอดนาร์ไม่ได้เป็นเพียงแค่นวัตกรรมที่ได้รางวัลขำๆ แต่ผลงานของเธอยังได้รับการจดสิทธิบัตรในสหรัฐฯ ด้วย ซึ่งเลขสิทธิบัตรคือ US 7,255,627 B2 (Garment device convertible to one or more facemasks)
นิวไซแอนทิสต์บอกว่า การที่บอดนาร์ได้เคยอาศัยในยูเครนช่วงเหตุการณ์เตาปฏิกรณ์นิวเคลียร์ระเบิด ที่เชอร์โนบิล (Chernobyl) ทำให้เธอทราบถึงความสำคัญ ในการเตรียมพร้อมทางด้านสาธารสุข เพื่อรับมือกับเหตุการณ์ฉุกเฉินที่ไม่อาจคาดเดาได้ โดยเธอกับเพื่อนร่วมงานที่มหาวิทยาลัยได้ร่วมกันออกแบบเต้ายกทรง ที่สามารถใช้แทนหน้ากากันแก๊สพิษได้ 2 ชิ้น
เมื่ออยู่ในสถานการณ์ฉุกเฉิน อย่างอุบัติเหตุทางนิวเคลียร์ การก่อการร้ายทางชีวภาพหรืออยู่ท่ามกลางควันไฟ ผู้สวมใส่สามารถแยกชิ้นยกทรงออกจากกันได้อย่างรวดเร็ว แล้วปิดเข้ากับจมูกและปากของของผู้สวมใส่เพื่อป้องกันแก๊สพิษ อีกทั้งยังเผื่อแผ่หน้ากากที่เหลือให้กับคนอื่นๆ ที่ต้องการด้วย
ภายในงานมอบรางวัลอิกโนเบล บอดเนอร์ได้สาธิตนวัตกรรมของเธอ และมอบเป็นของขวัญให้แก่ผู้ได้รับรางวัลโนเบลตัวจริงที่มาเป็นสักขีพยานด้วย
ที่มาคะ http://forum.khonkaenlink.info/index.php?topic=114149.0
นางสาว สิริอร เหมเจริญวงศ์ 52SP2760002
ตอบลบเรื่อง:สารต้านมาลาเรียจากต้นชิงเฮา
ต้นชิงเฮามีสารออกฤทธิ์ต้านเชื้อมาลาเรีย ได้มีการคิดค้นวิธีสกัดสารมาพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์ยาอย่างต่อเนื่อง ทีมวิจัยไทย โดย รศ.ดร. วันชัย ดีเอกนามกูล (คณะเภสัชศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย) ได้ค้นพบและครอบครองเทคโนโลยีตรวจหาสารอาร์เทมิชินิน หรือสารต้านมาลาเรียในต้นชิงเฮาได้สำเร็จ ทำให้สามารถตรวจได้ 10 ตัวอย่างพร้อมกัน ต่างจากเทคนิคปัจจุบันที่ต้องอาศัยเครื่องมือและผู้เชี่ยวชาญในการตรวจวิเคราะห์ได้สัปดาห์ละ 1 ตัวอย่าง
จุดเด่นของเทคโนโลยี:
ได้ค้นพบเทคโนโลยีที่สามารถวิเคราะห์หา ตรวจหาปริมาณสารอาร์เทมิชินินในชิงเฮาได้รวดเร็วและแม่นยำ
ที่มา:http://www.nstda.or.th/index.php/nstda-r-and-d/1306-no5-cr-2552-03-malaria
นางสาว กมลเนตร รัตนบานชื่น 52SP2760015
ตอบลบระวังอย่าสวยเกินไปนัก
เป็นธรรมดาที่ใดรๆ ก็รักสวยรักงาน แต่เมื่อไม่นานมานี้มีการแถลงข่าวของโครงการหนึ่งในสหรัฐอเมริกา คือ "อย่าสวยเกินไปนัก" หรือ "Not Too Pretty"
โครงการนี้เป็นการรวมตัวกันขององค์กรทางด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพกลุ่มหนึ่ง เพื่อตรวจสอบหาสารธาเลท (Phthalates) ในเครื่องสำอางและน้ำหอม ซึ่งผลการตลุยตรวจสอบผลิตภัณฑ์เหล่านี้ตามร้านค้าต่างๆ จำนวน 72 ยี่ห้อ พบผลิตภัณฑ์ที่มีสารธาเลทเป็นส่วนประกอบอยู่ถึง 52 ยี่ห้อ หรือร้อยละ 72 อาทิ น้ำหอมกลิ่น Poison ของ Christian Dior ยาดับกลิ่นเหงื่อ ยี่ห้อ Arrid Extra Extra Dry หรือสเปรย์แต่งผมยี่ห้อ Aqua Net เป็นต้น โดยในจำนวนนี้มีเพียงยี่ห้อเดียวเท่านั้นที่ระบุว่ามีสารดังกล่าวบนฉลาก
อันที่จริงธาเลทเป็นสารที่อนุญาติให้ใช้ในผลิตภัณฑ์เสริมความงามได้ทั่วไปทั้งอเมริกาและยุโรป โนส่วนใหญ่มักใช้เป็นตัวทำละลาย และช่วยให้น้ำหอมมีกลิ่นติดทนนาน อย่างไรก็ตาม ในระยะหลังเริ่มปรากฎงานทางวิชาการหลายชิ้นที่บ่งชี้ว่าสารนี้มีอันตราายต่อผู้บริโภค
Coming Clean campaign หนึ่งในองค์กรร่วมต้านระบุว่า จากการศึกษาในสัตว์ทดลอง พบว่าสารธาเลทมีผลกระทบต่อตับ ไต ปอด รวมทั้งระบบสืบพันธุ์ของสัตว์ ขณะที่ One Centers for Disease Control เปิดเผยว่า สาวๆ ในวัยเจริญพันธุ์ทั้งหลายมีความเสี่ยงที่จะได้รับอันตรายสูงกว่าคนทั่วไปถึง 20 เท่า โดยเฉพาะหญิงมีครรภ์ ซึ่งสารดังกล่าวจะไปทำลายพัฒนาการและการเจริญเติบโตของเด็กในอนาคต ส่วนคุณแม่ก็เสี่ยงภาวะการติดเชื้อระหว่าคลอดได้ง่ายขึ้น ที่ร้ายไปกว่านั้น สารชนิดนี้สามารถซึมผ่านผิวหนังและเป็นไอระเหยที่สูดดมผ่านทางระบบทางเดินหายใจ ผู้บริโภคจึงอยู่ในภาวะเสี่ยงโดยตรง
ฝ่ายผู้ผลิตก็พยายามโต้ว่า ธาเลทเป็นสารที่ได้รับจากสถาบันชั้นนำต่างๆ ในสหรัฐอเมริกาว่าไม่มีพิษไม่มีภัย โดยอ้างถึงงานวิจัยที่ได้มีอยู่เดิม ซึ่งบางชิ้นก็เป็นงานวิจัยเก่าตั้งแต่ ค.ศ.1985
ทางออกที่กลุ่มค้านเสนอ จึงเป็นว่า ให้รัฐบาลออกกฎหมายติดฉลาก เพื่อผู้บริโภคสามารถตัดสินใจเลือกซื้อได้ ซึ่งน่าจะเป็นธรรมกับทั้งผู้ผลิและผู้บริโภค ในขณะที่ยังไม่มีผู้ใดสามารถฟันธงได้ชัดเจนว่าธาเลทมีอันตรายต่อผู้ใช้มากน้อยเพียงใด
ข่าวคราวที่เกิดขึ้นจากแดนไกลกลับอยู่ใกล้ตัวกว่าที่คิด เพราะสินค้าดังๆ เหล่านี้มีวางขายอยู่ตามเคาน์เตอร์เครื่องสำอางทั่วไปในบ้านเรา
แหล่งที่มา http://www.environnet.in.th/index.php?option=com_content&view=article&id=473&catid=18&Itemid=16
นางสาวศศินะ แสงทอง รหัส 52SP2760009
ตอบลบบทความ เรื่อง 22 จานเด็ดอาหารไทยต้านภัยมะเร็ง
ผลวิจัยล่าสุดจากมหาบัณฑิต สาขาพิษวิทยาทางอาหารและโภชนาการ สถาบันวิจัยโภชนาการ มหาวิทยาลัยมหิดล พบว่า 22 ตำรับอาหารไทยช่วยป้องกันและลดความเสี่ยงมะเร็งได้
มลฤดี สุขประสานทรัพย์ ผู้วิจัยได้สร้างแบบจำลองเลียนแบบการกินอาหาร ที่มีสารก่อมะเร็ง อาทิ อาหารปิ้ง ย่าง รมควัน และอาหารที่ต้มตุ๋นเป็นเวลานาน โดยนำอาหารไทยเหล่านั้นมาทำปฏิกิริยากับไนไตรท์ ในสภาวะคล้ายการ ย่อยอาหารของคน ได้ผลวิจัยออกมาว่า
อาหารไทยที่ป้องกันมะเร็งได้ดีที่สุด ตามลำดับ ได้แก่
1. คะน้าน้ำมันหอย
2. ไก่ทอดสมุนไพร
3. ทอดมันปลากราย
4. แกงเลียง
5. ไข่เจียวใส่หอมหัวใหญ่พร้อมมะเขือเทศ
6. กะเพรากุ้งใส่ถั่วฝักยาว
7.แกงเผ็ดเป็ดย่าง
8. แกงจืดตำลึง
9. ไก่ผัดเม็ดมะม่วงหิมพานต์
10. ส้มตำไทย
11. ผัดผักรวมน้ำมันหอย
ส่วนอาหารไทยที่ป้องกันมะเร็งได้ดีในระดับกลาง ตามลำดับได้แก่
12. ฉู่ฉี่ปลาทับทิม
13. น้ำพริกลงเรือ
14. ห่อหมกปลาช่อนใบยอ
15. แกงจืดวุ้นเส้น
16. แกงเขียวหวานไก่
17. แกงส้มผักรวม
18. ต้มยำเห็ด
และอาหารไทยที่ป้องกันมะเร็งได้ต่ำ มีอยู่ 4 ชนิดตามลำดับ คือ
19. เต้าเจี้ยวหลน
20. น้ำพริกกุ้งสด
21. ต้มยำกุ้ง
22. ยำวุ้นเส้น
ข้อมูลนี้ยืนยันได้อย่างชัดเจนว่า อาหารไทยไม่แพ้ใครในโลก ทั้งรสชาติและประโยชน์ต่อร่างกาย
ที่มา : http://atcloud.com/stories/44950
ความคิดเห็นนี้ถูกผู้เขียนลบ
ตอบลบนางสาววัลลภา ศิริสุวรรณ 52SP2760003 (ZA)
ตอบลบงานวิจัยเรื่องให้ตายเหอะ...มนุษย์ว่ายน้ำเชื่อมไวกว่าในน้ำธรรมดา
อิก โนเบล สาขาเคมีได้แก่ เอ็ดวาร์ด คัซเลอร์ (Edward Cussler) และไบรอัน เกตเทลฟิงเกอร์ (Brian Gettelfinger) จากมหาวิทยาลัยมินเนโซตา (University of Minnesota) สหรัฐฯ ทั้งคู่พยายามหาคำตอบว่า มนุษย์สามารถว่ายน้ำในน้ำเชื่อมได้เร็วกว่าในน้ำธรรมดา ซึ่งสมมติฐานนี้ทำให้เกตเทลฟิงเกอร์ลุกขึ้นมาคิดค้นวิธีเพิ่มความเร็วในการว่ายน้ำ ขณะซ้อมว่ายน้ำเพื่อเข้าแข่งโอลิมปิก
ทั้งคู่เตรียมการทดลองขึ้นโดยใช้สระว่ายน้ำขนาด 25 หลาจำนวน 2 สระในมหาวิทยาลัย (ซึ่งต้องทำเรื่องขออนุญาตนู่น นี่นั่นถึง 22 ขั้นตอน) จากนั้นพวกเขาก็ต้องการน้ำเชื่อมจากข้าวโพดผสมกับน้ำจำนวน 20 คันรถเพื่อนำมาเติมลงไปในสระ แต่ทางเทศบาลเมืองก็แจ้งว่าพวกเขาจะต้องจ่าย 20,000 เหรียญ ถ้าหากปล่อยน้ำเชื่อมจำนวนมากมายขนาดนั้นเข้าสู่ระบบบำบัดน้ำเสีย...ทำให้แผนการทดลองของทั้ง 2 ต้องมีอันพับไป
แต่ความพยายามของทั้งคู่ยังไม่จบลงง่ายๆ พวกเขากวนแป้งมัน 310 กิโลกรัมจนเหนียวหนึบลงในสระว่ายน้ำ “พอเช้าวันรุ่งขึ้นเราตื่นมาดู มันแหวะ ทั้งสระเต็มเหมือนไปด้วยน้ำมูกใสๆ” คัซเลอร์เล่าถึงความพยายามสร้างการทดลองนี้ขึ้นมา
แม้สระว่ายน้ำที่มีแป้งมันเหนียวๆ จะหน้าตาไม่น่าดู แต่ก็หาทำให้ความพยายามของอาสาสมัครทั้ง 16 รายย่อท้อไม่ อาสาสมัครทุกคนจะต้องลงว่ายน้ำใน 2 สระเพื่อเปรียบเทียบ โดยหลังจากว่ายในสระน้ำเหนียวๆ แล้ว พวกเขาจะต้องไปอาบน้ำทำความสะอาดตัว และลงว่ายต่อในสระน้ำธรรมดา
จากการจับเวลาและเปรียบเทียบอาสาสมัครทุกคน คัซเลอร์พบว่า ของเหลวที่มีความหนาแน่นกว่าช่วยเพิ่มพลังในการจ้วงว่ายแต่ละช่วงแขน ซึ่งทำให้แรงในการลากลำตัวพุ่งหน้าในน้ำไปข้างหน้าเพิ่มมากขึ้น
“การทดลองช่างสนุกสนาน แต่ให้ตายเหอะ ท้ายที่สุด มันก็โคตะระ..ไร้ประโยชน์เป็นอย่างยิ่ง” คัซเลอร์กล่าวภายหลังจากได้รับรางวัล
ที่มา:http://www.bloggang.com/viewblog.php?id=zenithworldz&date=16-10-2005&group=3&gblog=11
นางสาว สุรีพร ยะวงษ์ศรี 52SP2760057/ZA
ตอบลบงานวิจัย สุรา
อิทธิพลของราและยีสต์จากลูกแป้งต่อสารให้กลิ่นรส
จากการศึกษาบทบาทของรา Amylomyces rouxii MNT 037 และ Rhizopus oryzae MNT 006 ที่แยกได้จากลูกแป้ง เปรียบเทียบกับการใช้เอนไซม์กลูโคอะไมเลส ในการย่อยข้าวเหนียว พบว่า A. rouxii MNT 037 มีความสามารถในการย่อยแป้งสูงกว่า R. oryzae MNT 006 และการใช้เอนไซม์กลูโคอะไมเลส ตามลำดับ โดยมีปริมาณน้ำตาลกลูโคสที่เกิดขึ้น มีค่า 302.64 253.35 และ 222.05 กรัมต่อลิตร ตามลำดับ ส่วนการผลิตสารให้กลิ่นรสจากการหมักข้าว พบว่า R. oryzae MNT 006 สามารถผลิตฟูเซลออยล์และ เอสเทอร์ รวมทั้งกรดอินทรีย์ได้มากกว่า A. rouxii MNT 037 และการใช้เอนไซม์กลูโคอะไมเลส จากการทดสอบทางประสาทสัมผัสโดยผู้ทดสอบ 20 คน พบว่าการหมักข้าวเหนียวด้วย A. rouxii MNT 037 มีคะแนนด้านรสชาติสูงสุด ในขณะที่น้ำเชื่อมข้าวจากการหมักข้าวเหนียวด้วย R. oryzae MNT 006 มีคะแนนด้านกลิ่นสูงสุด จากการหมักข้าวเหนียวโดยยีสต์ Saccharomyces cerevisiae YRK 017 ที่แยกได้จากลูกแป้ง และ Saccharomycopsis fibuligera TISTR 5033 พบว่าเชื้อ Sc. fibuligera TISTR 5033 มีความสามารถสูงในการย่อยแป้งข้าวเหนียวเป็นกลูโคสและสามารถผลิตเอทานอลได้เล็กน้อย ขณะที่ S. cerevisiae YRK 017 มีความสามารถในการผลิตแอลกฮอล์ได้สูง และเมื่อใช้ยีสต์สองชนิดร่วมกันในอัตราส่วน 1:1 พบว่ามีการผลิตเอทานอลได้น้อยกว่าการใช้ S. cerevisiae YRK 017 เพียงอย่างเดียว สารให้กลิ่นรสที่เกิดจากการหมักข้าวเหนียวด้วยยีสต์เป็นเวลา 10 วัน พบว่า S. cerevisiae YRK 017 สามารถผลิตฟูเซลออยล์และเอสเทอร์ และปริมาณกรดอินทรีย์มากกว่า Sc. fibuligera TISTR 5033 แต่เมื่อใช้ยีสต์สองชนิดหมักร่วมกันพบว่าให้ ฟูเซลออยล์และเอสเทอร์ รวมทั้งปริมาณกรดอินทรีย์สูงสุด การหมักข้าวเหนียวด้วยยีสต์ S. cerevisiae YRK 017 และ Sc. fibuligera TISTR 5033 ที่อุณหภูมิ 10 25 และ 30 องศาเซลเซียส พบว่าการหมักที่อุณหภูมิต่ำทำให้ระยะเวลาในการหมักนานขึ้น การหมักที่อุณหภูมิ 30 องศาเซลเซียสทำให้ปริมาณฟูเซลออยล์และกรดอินทรีย์มีค่ามากขึ้นขณะที่ปริมาณเอสเทอร์น้อยลง เอสเทอร์มีปริมาณสูงสุดเมื่อหมักที่อุณหภูมิ 25 องศาเซลเซียสและลดลงเมื่อหมักที่อุณหภูมิ 10 และ 30 องศาเซลเซียส เมื่อนำเชื้อ A. rouxii MNT 037 หมักข้าวเหนียวเป็นเวลา 3 วันจากนั้นเติมเชื้อ S. cerevisiae YRK 017 หมักที่อุณหภูมิ 25 องศาเซลเซียส เป็นเวลา 14 วัน ไวน์ข้าวที่ได้มีแอลกอฮอล์ร้อยละ 6.78 โดยปริมาตร ปริมาณฟูเซลออยล์ ได้แก่ ไอโซเอมิลแอลกอฮอล์ ไอโซบิวทานอล และโพรพานอล เท่ากับ 378.55 มิลลิกรัมต่อลิตร เอสเทอร์ ได้แก่ เอทิลอะซีเตท มีปริมาณ 9.37 มิลลิกรัมต่อลิตร รวมทั้งพบกรดอินทรีย์ ได้แก่ กรดซัคซินิก กรดมาลิก กรดแลคติก และกรดอะซีติก จากการทดสอบทางประสาทสัมผัสโดยผู้ทดสอบ 20 คน พบว่าไวน์ข้าวมีคะแนนด้านกลิ่น สี และลักษณะปรากฏสูง ขณะที่มีคะแนนด้านรสชาติน้อย
ที่มา http://www.surathai.net/index.php?lay=show&ac=article&Id=538977140&Ntype=5
Chocolate ใช้รักษาอาการไอเรื้อรังได้ดีกว่ายาในปัจจุบัน!
ตอบลบนางสาว ธนาภรณ์ จิระชาญชัยศิริ 52SP2760040
ผลการศึกษาล่าสุดชี้ให้เห็นว่า สารในชอคโกแลต อาจใช้รักษาอาการไอเรื้อรัง ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากกว่ายาที่ใช้อยู่ในปัจจุบันเสียอีก นอกจากนี้ยังไม่พบผลข้างเคียงดังเช่นยาแผนปัจจุบันอีกด้วย
ผลการศึกษาโดย Imperial College London ซึ่งตีพิมพ์ในวารสาร FASEB journal เผยให้เห็นว่า สาร theobromine ในชอคโกแลต มีฤทธิ์ยับยังการไอได้ดีกว่า codeine ซึ่งเป็นยาที่ใช้อยู่ในปัจจุบันประมาณ 30% และยังไม่มีผลข้างเคียงเช่น ทำให้ง่วงด้วย
Professor Peter Barnes หัวหน้าทีมวิจัย กล่าวว่า อาการไอมักจะยังคงอยู่อีกหลายอาทิตย์หลังการติดเชื้อไวรัส และรักษาได้ยาก ถึงแม้ว่ามันจะเป็นอาการที่คนส่วนมากต้องประสบอยู่บ่อยๆ แต่กลับไม่มีการรักษาที่ได้ผลดีเลย และยาที่ใช้อยู่ก็มักจะเป็นตระกูลเดียวกับฝิ่น หรือมอร์ฟีน จึงไม่สามารถให้ยาในขนาดมากๆได้ เพราะจะมีผลข้างเคียง และจริงอยู่ว่าอาการไอเรื้อรังนั้นมักไม่ได้เป็นอันตรายอะไรมากมาย แต่ก็มีผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตได้ค่อนข้างมาก การค้นพบนี้ถือเป็นก้าวสำคัญในการรักษาอาการไอเลยทีเดียว
นักวิจัยได้ให้อาสาสมัครที่มีสุขภาพปกติ จำนวน10คน ทาน theobromine สารจากโกโก้ หรือ codeine ยาแก้ไอแผนปัจจุบัน หรือ ยาหลอก ในเวลาต่างๆกัน หลังจากนั้นก็ให้อาสาสมัครหายใจอากาศที่มี capsaicin ซึ่งเป็นอนุพันธุ์จากพริก เพื่อกระตุ้นให้เกิดอาการไอ พบว่า คนที่ได้ทาน theobromine ไปก่อน จะต้องใช้ capsaicin มากกว่าคนที่ได้ยาหลอกหรือ codein ประมาณ 1ใน 3เท่า และ codeinมีประสิทธิภาพในการแก้ไอดีกว่ายาหลอกเพียงนิดหน่อยเท่านั้น
นอกจากนี้ ยังไม่พบผลข้างเคียงจากการใช้ theobromine เช่นที่ codein ซึ่งจัดเป็นสารเสพติดมี ได้แก่ อาการง่วง และท้องผูก หมายความว่า เราจะทาน theobromine เมื่อไรก็ได้ โดยไม่ต้องเป็นกังวลว่าทานแล้วจะง่วงนอน หรือทำงานไม่ได้
อาสาสมัครได้รับ theobromine เทียบได้กับปริมาณในโกโก้สองถ้วย Professor Barnes อธิบายว่า ขั้นต่อไปจะเป็นการศึกษาถึงปริมาณยาที่ต่างๆกันว่าจะมีผลอย่างไร การที่ไม่พบผลข้างเคียงใดๆเลย หมายความว่าเรายังสามารถให้ยาในปริมาณที่มากกว่านี้ได้อีก ซึ่งอาจทำให้ประสิทธิภาพในการแก้ไอดีขึ้นไปด้วย
นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่า theobromine ออกฤทธิ์โดยยับยั้งการทำงานของ เส้นประสาท vagus ที่วิ่งผ่านทางเดินหายใจจากปอดสู่สมอง ในขณะที่ capsaicin ออกฤทธิ์โดยกระตุ้นปลายประสาท vagus ซึ่งทำให้เกิดการไอ
ผลกระทบของการศึกษานี้อาจจะมากกว่าที่เราคิด เนื่องจากผู้ป่วยโรคปอด ก็มักจะมีอาการไอเรื้อรัง และถ้า theobromine สามารถใช้ได้ผลในคนไข้เหล่านี้ด้วย มันก็จะมีประโยชน์อย่างมาก Helena Shovelton หัวหน้า British Lung Foundation กล่าวว่า จำเป็นต้องมีการศึกษาถึงรายละเอียดการออกฤทธิ์ของ theobromine มากกว่านี้ ก่อนที่มันจะได้รับการยืนยันให้เป็นยาตัวใหม่ ปัจจุบันตลาดยาแก้ไอมีมูลค่าถึงประมาณ 100ล้านปอนด์ต่อปีในอังกฤษ เป็นเงินที่ใช้ไปกับยาที่ไม่มีหลักฐานแน่ชัดด้วยซ้ำว่ามันใช้ได้ผล!
ที่มา http://www.vcharkarn.com/vnews/25097
นางสาวภูริชญา สุรพัฒน์ ID 52SP2760036
ตอบลบนักดื่มมีเฮ ผลวิจัยใหม่แนะดื่มเบียร์ ชี้แก้ภาวะขาดน้ำดีกว่าซดน้ำเปล่า
เดลิเมล์ – นักดื่มได้ข้ออ้างใหม่ในการตรงดิ่งเข้าผับหลังจบฟุตบอลแมตช์เดือด งานวิจัยระบุการดื่มเบียร์ช่วยแก้ภาวะร่างกายขาดน้ำหลังออกกำลังกายได้ดีกว่าน้ำธรรมดา
นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยเกรนาดา สเปน คิดว่า น้ำตาล เกลือ และฟองเบียร์ อาจช่วยให้ผู้ดื่มดูดซึมน้ำเข้าสู่ร่างกายได้เร็วกว่า
นอกจากจะถือเป็นข่าวดีสำหรับคอกีฬาที่มักชวนกันไปดื่มหลังการแข่งขันแล้ว รายงานนี้ยังช่วยบรรเทาความกังวลของผู้เชี่ยวชาญมะเร็งที่เชื่อมโยงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และผลิตภัณฑ์อีกหลายชนิด กับความเสี่ยงของมะเร็งบางประเภท
ศาสตราจารย์มานูเอล การ์ซัน จากคณะแพทย์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกรนาดา ค้นพบเรื่องนี้หลังจากทำการทดสอบกับนักศึกษา 25 คนนานหลายเดือน
กลุ่มตัวอย่างถูกขอให้วิ่งบนลู่วิ่งไฟฟ้าภายใต้อุณหภูมิ 40 องศาเซลเซียสจนกว่าจะหมดแรง และเมื่อยอมแพ้ นักวิจัยจะทำการวัดระดับการขาดน้ำ ความสามารถในการตั้งสมาธิ และทักษะการเคลื่อนไหวของนักศึกษาเหล่านั้น
หลังจากนั้น กลุ่มตัวอย่างครึ่งหนึ่งจะได้ดื่มเบียร์ดำสเปน 1.5 ลิตร ที่เหลือดื่มน้ำเปล่า จากนั้น ทั้งสองกลุ่มจะได้รับอนุญาตให้ดื่มน้ำเท่าที่ต้องการ
ศาสตราจารย์การ์ซันกล่าวว่า ภาวะร่างกายขาดน้ำของนักศึกษากลุ่มที่ดื่มเบียร์หายเร็วกว่ากลุ่มที่ดื่มน้ำเปล่าเล็กน้อย โดยเชื่อว่า คาร์บอนไดออกไซด์ในเบียรช่วยดับกระหายได้เร็วกว่า ขณะที่คาร์โบไฮเดรตในเครื่องดื่มชนิดนี้เข้าไปแทนที่แคลอรี่ที่ร่างกายเผาผลาญไประหว่างการออกกำลังกาย
และหลังจากวิเคราะห์ผลการศึกษาอีกหลายชิ้นเพิ่มเติม นักวิจัยแนะนำผู้ออกกำลังกายให้ดื่มเบียร์เพียงวันละ 500 มิลลิลิตรสำหรับผู้ชาย และ 250 มิลลิลิตรสำหรับผู้หญิง
ทั้งนี้ ปกติแล้วระหว่างออกกำลังกาย 1 ชั่วโมง ร่างกายจะเสียน้ำประมาณ 1 ลิตรจากการขับเหงื่อ และคนที่ไม่สามารถแก้ภาวะขาดน้ำหลังออกกำลังกายได้มีแนวโน้มว่าจะรู้สึกอ่อนเพลีย หัวหมุน และปวดศรีษะ
โฆษกของแคมเปญ ฟอร์ เรียล แอลล์ ขานรับว่าการดื่มเบียร์ ‘แต่พอดี’ มีประโยชน์ต่อร่างกาย
จากงานศึกษาในอดีตแสดงให้เห็นว่า การดื่มเบียร์วันละ 1-2 แก้วสามารถลดความเสี่ยงของโรคหัวใจ โรคจิตเสื่อม เบาหวาน และโรคพาร์คินสัน
ส่วนผสมของเบียร ซึ่งรวมถึงข้าวบาร์เลย์ ฮอป และยีสต์นั้น เป็นสารที่อุดมด้วยวิตามินและเกลือแร่
ดร.เจมส์ เบตส์ ผู้เชี่ยวชาญการแก้ภาวะขาดน้ำหลังออกกำลังกายของมหาวิทยาลัยบาท อังกฤษ กล่าวว่าคนมักคิดกันว่า เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทำให้ร่างกายขับปัสสาวะมากขึ้น แต่ในความเป็นจริงแล้ว เมื่อใดที่ร่างกายขาดน้ำ เบียร์ปริมาณไม่มากนักจะให้ร่างกายซึมซับน้ำได้มากขึ้น
อย่างไรก็ดี วิธีที่ดีที่สุดในการแก้ภาวะขาดน้ำหลังออกกำลังกายคือ การดื่มเครื่องดื่มสำหรับนักกีฬาที่มีส่วนผสมของน้ำตาล น้ำ และเกลือ
ที่มา : ผู้จัดการออนไลน์ / http://women.thaiza.com/detail_71938.html
นาย ณัฐพล โตมี 52SP2760035(ZA)
ตอบลบเบียร์มีสรรพคุณป้องกันมะเร็ง
นักวิจัยของมหาวิทยาลัยโอคายามา ทางภาคตะวันตกของญี่ปุ่น
ได้ทดลองฉีดสารเคมีก่อมะเร็งเข้าไป ในหน่วยพันธุกรรม หรือยีนของแบคทีเรียเชื้อ ซาลโมเนลลา
อันเป็นจุลินทรีย์ทำให้เป็นท้องร่วง แล้วฉีดสารเคมีที่สกัดจากเบียร์ที่ทำให้แห้ง ด้วยกรรมวิธีทำให้เย็นจนแข็ง
กำจัดน้ำแข็งออกด้วยการระเหยที่ความดันและอุณหภูมิต่ำ เข้าไปต่อต้าน
ทำให้ได้รู้ว่า สารเคมีที่สกัดจากเบียร์ มีสรรพคุณช่วยป้องกันยีนไม่ให้กลายเป็นมะเร็งได้ไม่ต่ำกว่า 6 อย่าง
และทีมวิจัย สามารถวิเคราะห์องค์ประกอบทางเคมีของสารเคมีนั้นอย่างน้อยได้หนึ่งอย่างแล้ว
โดยจะได้พยายามวิเคราะห์หาองค์ประกอบของอันอื่นๆ ต่อไป
ที่มา http://www.fwdder.com/topic/20793
นางสาวฐาปนี แก่นเขียว ID 52SP2760054
ตอบลบเด็กติดเกมคอมพิวเตอร์, มุมมองของแพทย์ประจำครอบครัว
สำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ เปิดตัวเว็บไซต์ป้องกันและแก้ไขเด็กติดเกม หลังผลการวิจัยพบมีเด็กไทยติดเกมร้อยละ 13.3 และยังมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น หวังใช้เป็นเครื่องมือลดผลกระทบวิกฤติของการติดเกม
นายกฤษณ์ธวัช นพนาคีพงษ์ รองเลขาธิการคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ กล่าว ว่า เว็บไซต์ www.healthgamer.net เป็นเครื่องมือสำหรับประเมินการติดเกม และเป็นแหล่งรวมข่าวสารเกี่ยวกับการแก้ปัญหาเด็กติดเกม มีกระดานสนทนาเพื่อสอบถามข้อสงสัยเกี่ยวกับเด็กติดเกม โดยมีแพทย์และ บุคลากรที่เชี่ยวชาญคอยตอบคำถามให้ จากการวิจัยพบว่าเด็กไทยติดเกมถึงร้อยละ 13.3 และมีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ
ด้านรศ.นพ.ชาญวิทย์ พรนภดล จิต แพทย์เด็กและวัยรุ่น รพ.ศิริราช กล่าวว่า สถิติของเด็กติดเกมเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง จากการศึกษาพบว่าเด็กอายุ 6 ขวบขึ้นไปทั่วประเทศใช้คอมพิวเตอร์และอินเทอร์เน็ต สูงถึงร้อยละ 21.4 และจากการสำรวจพฤติกรรมการเล่นเกมออนไลน์ของกลุ่มเด็กและเยาวชน อายุ 12 ขวบขึ้นไป ในเขตกรุงเทพฯและปริมณฑล กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่ยืนยันว่าติดเกมออนไลน์ โดยจะใช้เวลาช่วงปิดเทอมเล่นเกมคอมพิวเตอร์ พบในนักเรียน นักศึกษา อายุ 6-23 ปี สูงถึงร้อยละ 52.2 ช่วงเวลาที่นิยมเล่นมากที่สุด คือระหว่าง 13.00-21.00 น. และใช้เงินสะสมจากค่าขนมของตนเล่นเกมตั้งแต่ 50-2,500 บาท ทั้งนี้หากไม่เร่งแก้ปัญหาจะส่งผลกระทบ ต่อเด็กใน 4 ด้าน คือ สุขภาพ การเรียน อารมณ์ และพฤติกรรม.
ที่มา : http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&categoryId=316&contentId=64148
นายธณพล บูรณดี ID 52SP27690063
ตอบลบบุหรี่สูบน้อยๆ ไม่เป็นไรจริงหรือ?
เพียงวันละมวน เสี่ยงเสียชีวิตกว่า 1.5 เท่า
เผยผลการวิจัยการสูบบุหรี่เพียงวันละหนึ่งถึงสี่มวนเพิ่มความเสี่ยงในการที่จะเสียชีวิตขึ้น 1.5 เท่าของคนที่ไม่สูบบุหรี่ ผู้สูบบุหรี่ที่ไม่ยอมเลิกสูบบุหรี่เพราะคิดว่าสูบน้อยๆ ไม่เป็นอันตรายต่อสุขภาพจึงเป็นความเข้าใจที่ไม่ถูกต้อง
ศ.นพ.ประกิต วาทีสาธกกิจ เลขาธิการมูลนิธิรณรงค์เพื่อการไม่สูบบุหรี่ เปิดเผย ผลการวิจัยถึงสาเหตุการเสียชีวิต ในเพศชาย 8,309 คนและเพศหญิง 11,077 คน ที่ไม่สูบบุหรี่และชาย 627 หญิง 796 ที่สูบบุหรี่วันละ 1 ถึง 4 มวน โดยติดตามเป็นเวลา 30 ปี จากสถาบันสุขภาพกรุงออสโล นอร์เวย์ พบว่า แม้การสูบบุหรี่เพียงวันละหนึ่งถึงสี่มวน อัตราการเสียชีวิตจากทุกสาเหตุในเพศชายเพิ่มขึ้น 1.56 เท่าของผู้ที่ไม่สูบบุหรี่ และในเพศหญิงเพิ่มขึ้น 1.44 เท่า โดยสาเหตุการเสียชีวิตจากโรคหัวใจเพิ่มขึ้น 2.65 เท่าในเพศชาย และ 2.81 เท่าในเพศหญิง มะเร็งปอดเพิ่มขึ้น 2.84 เท่าในเพศชายและ 5.02 เท่าในเพศหญิง งานวิจัยเดียวกันยังพบว่าอัตราการเสียชีวิตเพิ่มขึ้นตามจำนวนมวนบุหรี่ที่สูบต่อวัน เช่น สูบวันละ 5 - 9 มวน ตายเพิ่มขึ้น 2 เท่า 15 - 19 มวนเพิ่มขึ้น 2.78 เท่า และ 20 - 24 มวน เพิ่มขึ้น 3.35 เท่า
ผลการวิจัยสรุปว่าการสูบบุหรี่เพียงวันละหนึ่งถึงสี่มวนเพิ่มความเสี่ยงในการที่จะเสียชีวิตขึ้น 1.5 เท่าของคนที่ไม่สูบบุหรี่ ผู้สูบบุหรี่ที่ไม่ยอมเลิกสูบบุหรี่เพราะคิดว่าสูบน้อยๆ ไม่เป็นอันตรายต่อสุขภาพจึงเป็นความเข้าใจที่ไม่ถูกต้อง
ศ.นพ.ประกิต วาทีสาธกกิจ กล่าวว่า งานวิจัยนี้เป็นเครื่องยืนยันว่าคำพูดของบริษัทบุหรี่ที่ประชาสัมพันธ์ว่า “ไม่มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ที่พิสูจน์ว่าการสูบบุหรี่เพียงวันละไม่กี่มวนเป็นอันตรายต่อสุขภาพในคนปกติที่ร่างกายแข็งแรง” นั้นเป็นเรื่องไม่จริงที่บริษัทบุหรี่ต้องการให้ผู้สูบบุหรี่ที่สูบไม่มากมวนต่อวันไม่เลิกสูบ ผู้ที่สูบบุหรี่น้อยๆ จึงควรเลิกสูบบุหรี่ทันที ซึ่งการเลิกจะไม่ยาก เพราะการติดนิโคตินอยู่ในระดับต่ำ การเลิกจะไม่ลำบากหรือทุรนทุราย สามารถเลิกด้วยตนเองได้ หรืออาจจะโทรศัพท์ขอคำปรึกษาจากหมายเลข 1600 ก็จะเลิกสูบบุหรี่ได้
ที่มา : สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ สสส.
น.ส.ลลิตา สุสิลา รหัส 52SP2760048 (ZA)
ตอบลบ20 ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ ที่เราคาดไม่ถึง
1. เส้นเลือดในร่างกายมนุษย์มีความยาวรวม 62,000 ไมล์ ถ้านำมันมาเรียง ต่อกันเป็นทางยาวจะได้ความยาว ถึง 2.5 เท่าของเส้นรอบวงโลก
2. The Great Barrier Reef (แนวปะการังที่ยาวทีสุดในโลกบริเวณออสเตรเลีย) เป็นโครงสร้างสิ่งมีชีวิตที่ใหญ่ที่สุดในโลกมีความยาวกว่า 2000 กิโลเมตร
3. โอกาสที่โลกจะถูกโจมตีด้วยอุกาบาตขนาดใหญ่ อยู่ที่ 9300 ปีต่อครั้ง
4. ดาวนิวตรอนขนาดเท่าหัวแม่มือมีน้ำหนักกว่า 100 ล้านตัน
5. พายุเฮอริเคนหนึ่งลูกผลิตพลังงานเท่ากับระเบิดขนาด 1 เมกะตันจำนวน 8000 ลูก
6. คาดว่ามีพยาธิปากขอ ซึ่งดูดเลือดเป็นอาหารอยู่ในร่างกายมนุษย์โลกเรา 700 ล้านคน
7. Fred Rompelberg คือผู้ขี่จักรยานด้วยความเร็วที่สุดในโลกด้วยความเร็ว 166.94 ไมล์ต่อชั่วโมง
8. มนุษย์เราสามารถคิดค้นแสงเลเซอร์ที่มีความสว่างกว่าแสงอาทิตย์ 1 ล้านเท่า
9. 65% ของผู้ป่วยออทิสติคส์ เป็นคนถนัดซ้าย
10. Finnish pine tree (ต้นสนชนิดหนึ่งในฟินแลนด์) มีความยาวของรากแต่ละต้นรวมแล้วกว่า 30 ไมล์
11. จำนวนเกลือที่อยู่ในน้ำทะเลทัวโลกเรา สามารถปกคลุมพื้นผิวทวีปทั่วโลกได้หนากว่า 500 ฟุต
12. กลุ่มแก๊สระหว่างหมู่ดาวในราศีธนู มีส่วนประกอบของแอลกอฮอล์นับหมื่นล้านล้านลิตร
13. หมีขั้วโลกสามารถวิ่งด้วยความเร็ว 25 ไมล์ต่อชัวโมง และกระโดดได้สูงกว่า 6 ฟุต
14. มนุษย์และปลาโลมาสืบสายพันธ์เดียวกันมาตั้งแต่ 60 - 65 ล้านปีก่อน
15. กล้อง infared จับภาพหมีขั้วโลกได้ยากมาก เนื่องจากคุณสมบัติของขนของมัน
16. เฉลี่ยแล้วในหนึ่งปี คนเราจะกินสัตว์จำพวกเห็บลิ้นไร โดยไม่ได้ตั้งใจไป 430 ตัวต่อคนต่อปี
17. รากของต้น Rye(ข้าวชนิดหนึ่งใช้หมักสุรา) สามารถแผ่ขยายไปได้ถึง 400 ไมล์
18. อุณหภูมิบนพื้นผิวของดาวพุธสูงกว่า 430 องศาเซลเซียสในเวลากลางวัน แต่ลดลงต่ำกว่า ติดลบ 180 องศาเซลเซียสในเวลากลางคืน
19. ภายใน 24 ชั่วโมง ต้นโอ๊กขนาดใหญ่ขับน้ำ(ในรูปของไอน้ำ)ออกมา 10 - 25 แกลลอน
20. ผีเสื้อรับรู้รสด้วยขาหลังของมัน โดยประสาทการรับรู้ทำงานโดยการสัมผัส ทำให้มันรู้ว่าใบไม้และดอกไม้ที่มันสัมผัส มีรสชาติอย่างไรและกินได้หรือไม่
ที่มา http://listverse.com
นาย ชนก พักตร์ฉัตร์ทัน รหัส 52SP2760060 ตอนเรียน ZA
ตอบลบผลวิจัยวิทยาศาสตร์ชี้ชัด ปฏิบัติธรรม ทำสมาธิ ส่งผลดีต่อสมอง
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากวารสารของสถาบันวิทยาศาสตร์แห่งชาติ ประเทศอเมริกา ฉบับเมื่อวันที่ 8 พ.ย. 2547 ได้ตีพิมพ์ผลการวิจัยชิ้นล่าสุดของสถาบันเกี่ยวกับเรื่องการทำสมาธิ ว่า "การปฏิบัติธรรมทำสมาธิแบบ พุทธศาสนามิใช่เพียงก่อให้เกิดความสงบภายในจิตใจเท่านั้น แต่ยังส่งผลดีกับกระบวนการทำงานของสมองมนุษย์ที่เกี่ยวข้องกับการเรียนรู้และความ เชื่อมโยงกับอารมณ์ทางด้านดีอย่างถาวรอีกด้วย"
ทั้งนี้นักวิจัยได้ทำการทดลองโดยเปรียบเทียบการทำงานของสมองของผู้เข้ารับการทดลองในสองกลุ่มหลัก ซึ่งกลุ่มแรกเป็นกลุ่มพระภิกษุสงฆ์จำนวน 8 รูป มีอายุเฉลี่ยประมาณ 49 ปี แต่ละรูปมีประสบการณ์ในการนั่งสมาธิตั้งแต่ 10,000 ถึง 50,000 ชั่วโมง ภายในระยะเวลา 15 ถึง 40 ปีที่ผ่านมา ส่วนกลุ่มที่สองเป็นกลุ่มนักศึกษาที่มีอายุเฉลี่ยประมาณ 21 ปี จำนวน 10 คน ส่วนใหญ่ไม่เคยมีประสบการณ์ในการ ปฏิบัติธรรมทำสมาธิมาก่อน และเพิ่งได้รับการอบรม ในเรื่องการทำสมาธิได้เพียง 1 สัปดาห์ก่อนเริ่มการทดลอง
การทดลองครั้งนี้ นักวิจัยใช้เครื่องมือที่เรียกว่า“อิเล็กโทรเอนเซฟาโลแกรมส์”(Electroencephalo- grams) ในการวัดระดับการทำงานของคลื่นสมองแกมมา รวม 3 ครั้ง คือ ก่อน ระหว่าง และหลังการ ปฏิบัติสมาธิ ซึ่งคลื่นสมองแกมมาเกี่ยวข้องกับการทำงานของสมองที่เชื่อมโยงความทรงจำ ระดับการเรียนรู้ ระดับสมาธิและการมองโลกในแง่ดี ผู้เข้ารับการทดลองทั้งสองกลุ่มถูกจัดให้นั่งสมาธิแบบทิเบตในห้องทดลองที่ผ่อนคลาย และมีการทำสมาธิเน้นให้ รู้สึกถึงความรักและความเมตตาต่อสรรพสิ่ง โดยจะไม่ใช้วิธีการเพ่งจิตต่อสิ่งใดสิ่งหนึ่ง แม้แต่ลมหายใจ
ผลปรากฎว่า ในช่วงก่อนการนั่งสมาธิ คลื่นสมอง แกมมาของกลุ่มพระภิกษุมีระดับที่สูงกว่ากลุ่มนักศึกษา และระดับความแตกต่างนี้ ได้ปรับสูงขึ้นอย่าง มากระหว่างการนั่งสมาธิ ซึ่งระดับคลื่นสมองแกมมา ของกลุ่มภิกษุในระหว่างการนั่งสมาธิครั้งนี้ นับว่าเป็นระดับที่สูงที่สุดเท่าที่เคยมีรายงานมา เป็นที่ชัดเจนว่า กลุ่มพระภิกษุ มีการทำงานของสมองที่เกี่ยวข้องกับอารมณ์ทางด้านบวก เช่น ความสงบสุข มีประสิทธิภาพกว่ากลุ่มที่ไม่เคยปฏิบัติสมาธิใดมาก่อน นอกจากนี้ ยังสรุปได้ว่า ระดับคลื่นแกมมาที่สูงของภิกษุก่อนการปฏิบัติสมาธินั้น แสดงให้เห็น ว่าสมองได้มีการพัฒนาอย่างถาวรหากได้รับการปฏิบัติ ธรรมติดต่อกันเป็นระยะเวลานาน ถึงแม้ว่าปัจจัยทางด้านอายุและสุขภาพอาจจะทำให้คลื่นสมองแกมมา มีระดับที่แตกต่างกันไป แต่ปัจจัยที่สำคัญที่สังเกตได้ ชัดจากการทดลอง คือ จำนวนชั่วโมงของการปฏิบัติ สมาธิ ส่งผลโดยตรงต่อการทำงานของคลื่นสมองแกมมา
กลุ่มผู้ทดลองจะได้รับเงินตอบแทนจำนวน 1,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อเดือนในการเข้าร่วมการทดลองครั้งนี้ เนื่องจากทุกคนต้องอยู่ห่างบ้านและสิ่งที่คุ้นเคยมาอยู่ ในกฎระเบียบที่ทางสถาบันจัดให้ นอกจากนี้ ทุกๆสองสัปดาห์ ผู้ช่วยนักวิจัยจะเข้ามาเก็บข้อ มูลอย่างละเอียด เช่น ผลเลือด น้ำลาย ความดัน และศึกษาทดลองเพื่อที่จะตรวจวัดการทำงานของสมองผ่านเครื่องอิเล็กโทรเอนเซฟาโลแกรมส์ อีกทั้งยังตรวจ วัดระดับความเครียดและระบบการทำงานของภูมิต้านทานอย่างละเอียดอีกด้วย
ดอกเตอร์อลัน กล่าวทิ้งท้ายว่า “การทดลองครั้งนี้ นับว่าเป็นการทดลองที่น่าตื่นเต้นสำหรับศูนย์วิจัย เนื่องจากเป็นความร่วมมือระหว่างผู้เชี่ยวชาญชื่อดังทางด้านสมอง นักจิตวิทยา และพุทธศาสนิกชน ด้วยข้อมูลที่เก็บอย่างละเอียดตั้งแต่ต้น และเงินทุนสนับสนุนที่คาดว่าจะได้รับบริจาคถึง 2 ล้านดอลลาร์ สหรัฐ จะทำให้การทดลองครั้งนี้สมบูรณ์และเป็นประโยชน์ต่อวงการแพทย์และพุทธศาสนาต่อไป”
ที่มา : ผู้จัดการออนไลน์ิ
นส.ชนากานต์ อึงสวัสดิ์ ID 52SP2760020 (ZA)
ตอบลบโลกอาจร้อนจนตับแตกภายในเวลา300 ปี มนุษย์ทนอยู่ไม่ไหว
เมื่อวันที่ 14 พ.ค. สำนักข่าวต่างประเทศรายงานผลการวิจัยของนักวิทยาศาสตร์มหาวิทยาลัยนิวเซาธ์ เวลส์ ออสเตรเลียและมหาวิทยาลัยเปอดิวของสหรัฐฯ คาดการณ์ไว้ว่า โลกจะยิ่งร้อนมากขึ้น จนมนุษย์ไม่อาจจะทนไหว ภายในเวลา 300 ปีข้างหน้านี้
รายงานกล่าวว่า "มันจะเริ่มรู้สึกกันเมื่ออุณหภูมิโลกจะเริ่มอุ่นขึ้นถึงประมาณ 7 องศาเซลเซียส ดินแดนบางแห่งจะเริ่มอยู่กันไม่ได้ หากอุ่นขึ้นอีกเป็น 11-12 องศา อากาศในแถบนั้นจะแผ่กระจายไปตามถิ่นที่อยู่ใหญ่ๆ ที่มีคนอยู่รวมกันอย่างหนาแน่นอย่างในปัจจุบัน"
นักวิจัยในคณะนายสตีเวน เชอวู้ด กล่าวบอกไว้ก่อนว่า ยังไม่มีวี่แววว่าโลกจะอุ่นขึ้นขนาดนั้น ภายในศตวรรษนี้ แต่น่าเป็นห่วงว่าหากยังคงเผาผลาญเชื้อเพลิงฟอสซิลกันอยู่อีกต่อไป ก็อาจทำให้เกิดปัญหาขึ้น ไม่เกินปี 2843 นี้ ในระยะยาวโอกาสที่มันจะเกิดขึ้นอยู่ที่ 50-50
นักวิชาการของสมาคมวิทยาศาสตร์แห่งชาติได้แสดงความเห็นว่า "ทุกวันนี้ยังไม่อาจทำอะไรได้มากที่จะแก้ไขการเปลี่ยนแปลงของดินฟ้าอากาศ ในช่วง 20-30 ปีนี้ หากแต่จะมีโอกาสทำได้มากขึ้นในระยะยาว"
ที่มา เว็บไซต์ครูพันธ์ใหม่
นาย ภวินท์ พู่พันธ์พานิช 52SP2760001
ตอบลบทำไมต้องวิจัย
เป็นที่ยอมรับกันว่า ปัจจัยพื้นฐานที่สำคัญประการหนึ่งในการสร้างความมั่งคั่งและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศที่พัฒนาแล้ว คือการมีฐานการวิจัยด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่เข้มแข็ง ประเทศเหล่านี้จะมีระบบการสนับสนุนการวิจัยที่มีความสมดุลระหว่างงานวิจัยพื้นฐานและงานวิจัยประยุกต์ ทำให้เกิดการผสมผสานกลมกลืนระหว่างการสร้างองค์ความรู้ใหม่ที่สามารถอธิบายถึงแก่นแท้ของโจทย์ปัญหา กับการนำองค์ความรู้ไปใช้ในเชิงประยุกต์เพื่อการสร้างนวัตกรรมด้านเทคโนโลยีและผลิตภัณฑ์ใหม่ต่อไป
ประเทศที่พัฒนาแล้วเชื่อว่ายิ่งมีฐานขององค์ความรู้ใหม่ที่กว้างขวางและหลากหลายสาขามากเท่าใด การนำองค์ความรู้ไปประยุกต์ใช้ในเชิงบูรณาการก็จะยิ่งมีประสิทธิภาพมากขึ้นเท่านั้น ดังนั้นการสนับสนุนการวิจัยในทั้งสองส่วนในประเทศเหล่านั้น จึงมักมีความต่อเนื่องและควบคู่กับการสร้างนักวิจัยรุ่นใหม่ให้เพียงพอกับความต้องการของประเทศ
ความเข้มแข็งของ ”ระบบวิจัย” นี้เองที่แสดงถึง “สมรรถนะหรือขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ” ที่แท้จริง ซึ่งเกี่ยวข้องโดยตรงกับศักยภาพในการพึ่งพาตนเองและความเป็นเจ้าของเทคโนโลยี
เป็นที่ยอมรับในระดับสากลเช่นกันว่า ประสิทธิภาพการผลิตผลงานตีพิมพ์ทางวิชาการ (จำนวนบทความวิจัยต่อนักวิจัยต่อปี) ของประเทศหนึ่ง ๆ เป็น “ดัชนีชี้วัด” ที่สำคัญตัวหนึ่งที่บ่งบอกถึงคุณภาพของนักวิจัยและสมรรถนะการแข่งขันของประเทศ ดังนั้นการสนับสนุนงานวิจัยพื้นฐานของประเทศไทย จึงถือว่ามีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการพัฒนาระบบวิจัยของประเทศอย่างยั่งยืน
ข้อมูลจาก...เว็บ วิชาการ.com
นางสาว สุภาพรรณ อาภานันท์
ตอบลบรหัส 52SP2760037 [ZA]
ผลการวิจัยทางวิทยาศาสตร์-แรงอธิษฐานมีจริง
ถึงแม้นักวิทยาศาสตร์การแพทย์จะอยู่คนละฟากกับ"ความเชื่อ" แต่ผลการศึกษาล่าสุดโดยนักวิจัยมหาวิทยาลัยโคลัมเบีย ในนิวยอร์ก พบว่า...
ผู้หญิงที่เข้ารับการผสมเทียมมีแนวโน้มจะตั้งครรภ์ได้สูงขึ้นเป็นสองเท่า หากมี "แรงอธิษฐาน" ช่วยหนุน กรณีนี้นักวิทยาศาสตร์ได้แบ่งกลุ่มผู้หญิงที่มีบุตรยากอายุ26-46ปี ที่เข้ารับการผสมเทียม จำนวนทั้งสิ้น 219 คน ออกเป็นสองกลุ่ม โดยให้กลุ่มหนึ่งมีคนไม่รู้จักมาช่วยสวดภาวนาให้ตั้งครรภ์ควบคู่ไปด้วย
ขณะที่อีกกลุ่มหนึ่ง เข้ารับการผสมเทียมทางการแพทย์อย่างเดียว
ผลปรากฏว่า กลุ่มที่มีแรงอธิษฐานช่วยหนุน กลับประสบความสำเร็จในการตั้งครรภ์ครึ่งนึงของจำนวนผู้ทดลอง ขณะที่อีกกลุ่มที่ไม่ใช้แรงอธิษฐาน กลับตั้งครรภ์เพียง 1ใน4ส่วนเท่านั้น
และจากการทดลองนี้ ดูเหมือนจะทำให้การสวดมนต์ภาวนาได้กลายมาเป็นส่วนสำคัญในการผสมเทียม สำหรับแพทย์บางกลุ่มไปโดยปริยาย
ที่มา:http://board.palungjit.com/
น.ส.ทวีพร สัญจรดี 52SP2760006 ตอนเรียน ZA
ตอบลบหมวกกันน็อคกระแสจิต
เป็นทฤษฎีสมคบฝันร้ายใด ๆ : หมวกกระแสจิต ที่สามารถวางบนศีรษะของคุณเพื่อให้คนอื่น ๆ สามารถอ่านความคิดของคุณ
But, this technology isn't just the stuff of Hollywood films – it's actually being developed for the US military by a team of scientists from three A merican universities. แต่เทคโนโลยีนี้ไม่ได้เป็นเพียงสิ่งภาพยนตร์ Hollywood -- เป็นจริงการพัฒนาสำหรับทหารสหรัฐโดยทีมนักวิทยาศาสตร์จากสามมหาวิทยาลัยอเมริกัน
The goal of the project isn't to spy on citizens, however. เป้าหมายของโครงการไม่ได้สืบให้กับประชาชนแต่
It will be used to read and transmit soldier's thoughts to each other so that the need for vocal communication is eliminated. จะใช้การอ่านและการส่งทหารคิดของแต่ละอื่น ๆ เพื่อให้การสื่อสารเสียงต้องเป็นกรอบ
Have no fear, say the scientists involved in the project: the person wearing the helmet must put forth a deliberate effort to communicate their thoughts. มีความกลัวไม่ว่านักวิทยาศาสตร์ที่เกี่ยวข้องในโครงการ : บุคคลสวมหมวกจะต้องนำมาเป็นความพยายามโดยเจตนาในการสื่อสารความคิดของพวกเขา
ที่มา :http://webecoist.com/2009/11/16/surreal-science-10-sensational-new-discoveries/
นายอรรวุฒิ งามสูงเนิน รหัส 52SP2760022 ตอนเรียน ZA
ตอบลบภาวะโลกร้อน
ภาวะโลกร้อน ถูกหยิบยกมาเป็นประเด็นร้อนของนานาชาติในปี 2005 จากผลงานวิจัยภาวะโลกร้อน ของนักวิทยาศาสตร์หลายชิ้น และข้อเท็จจริงของสภาพภูมิอากาศที่เลวร้าย ที่เกิดขึ้นกับโลก อาทิ น้ำแข็งขั้วโลกเหนือละลาย การเกิดพายุเฮอร์ริเคนที่รุ่นแรงหลายลูกในอ่าวเม็กซิโก และความแห้งแล้งบริเวณลุ่มน้ำอะเมซอน เป็นต้น
ล่าสุดในเดือนธันวาคม 2005 นักวิทยาศาสตร์ได้เผยแพร่ผลงานวิจัยสองชิ้น ซึ่งยืนยันภาวะโลกร้อนที่น่าเป็นห่วงอย่างยิ่ง
ผลงานวิจัยชิ้นแรก เป็นของทีมนักวิทยาศาสตร์ยุโรป ซึ่งศึกษาน้ำแข็งใต้พื้นผิวทวีปแอนตาร์กติกา บริเวณไซต์งานที่เรียกว่า Dome Concordia (Dome C)
การศึกษาเริ่มขึ้นตั้งแต่ปี 1999 ตามโครงการ European Project for Ice Coring in Antarctica (Epica) โดยเจาะพื้นผิวแอนตาร์กติกา ลึกถึง 3,270 เมตร เพื่อศึกษาย้อนอดีตกลับไปในช่วงเวลาเกือบ 900,000 ปี
สิ่งที่นักวิทยาศาสตร์ทีมนี้ค้นพบก็คือ ระดับก๊าซเรือนกระจก คือ ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์และมีเทน ในบรรยากาศปัจจุบัน สูงกว่าช่วงเวลาใดๆ ในระยะเวลา 650,000 ปีที่ผ่านมา และเป็นสิ่งที่นักวิทยาศาสตร์ทีมนี้บอกว่า ไม่อาจจะยอมรับได้
ศาสตราจารย์ โธมัส สตอคเกอร์ จากมหาวิทยาลัยเบิร์น สวิตเซอร์แลนด์ หัวหน้าโครงการอีพิกา กล่าวถึงการค้นพบครั้งนี้ว่า
“เราพบว่าก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ใในปัจจุบันสูงกว่าช่วงเวลาใดๆ ที่ผ่านมาราว 30% และมีเทนราว 130% และเป็นอัตราการเพิ่มขึ้นที่รับไม่ได้ โดยเฉพาะก๊าซคาร์บอนออกไซด์มีอัตราเพิ่มขึ้นเร็วกว่า 200 เท่าของช่วงเวลาใดๆ ในระยะเวลา 650,000 ปี”
งานวิจัยอีกชิ้นหนึ่งเป็นผลงานของนักวิจัยจาก UK Met Office และมหาวิทยาลัยอีสแองเกลีย สหราชอาณาจักร นักวิจัยทีมนี้พบว่า ปี 2005 เป็นปีที่ซีกโลกเหนือร้อนมากที่สุด นับตั้งแต่มีการบันทึกกันมา และยังเป็นครั้งที่สอง ที่โลกร้อนที่สุด นับตั้งแต่ปี 1986 เป็นต้นมาอีกด้วย
ที่มา:http://blackle.exteen.com/20080814/entry-10
ภวัต เบ็ญจขันธ์ 52SP2760021 .. ZA
ตอบลบเมือกกบต้านมะเร็งคนไทยวิจัยพบ
จุฬาฯ O นักชีววิทยา จุฬาฯ วิจัยพบ "เมือกกบ" มีสารต้านจุลินทรีย์และยับยั้งเชื้อโรคต่างๆ ที่สำคัญยังทำลายเซลล์มะเร็งบางชนิดได้ เผยต่อมเมือกมีแหล่งสังเคราะห์สารเคมีไว้ต่อสู้กับแบคทีเรียและเชื้อรา ขณะนี้ได้ผลทดลองเบื้องต้นจากห้องปฏิบัติการแล้ว เตรียมสกัดโปรตีนในเมือกสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำมาใช้ประโยชน์ในทางการแพทย์ต่อไป
ผศ.ดร.วิเชฏฐ์ คนซื่อ นักวิชาการหน่วยวิจัยสัตว์สะเทินน้ำสะเทินบกและสัตว์เลื้อยคลาน ภาควิชาชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เปิดเผยว่า จากการสำรวจและศึกษาสัตว์สะเทินน้ำสะเทินบก จำพวกกบ เขียด คางคกและอึ่งอ่างในประเทศไทย ได้พบความหลากหลายของชนิด ซึ่งมีทั้งชนิดที่หายากและชนิดที่รายงานการค้นพบครั้งแรก ในส่วนของประโยชน์นอกจากเป็นอาหารมนุษย์และมีบทบาทสำคัญต่อระบบนิเวศแล้ว ล่าสุดได้ทำงานร่วมกับ ดร.ภัทรดร ภิญโญพิชญ์ นักวิชาการด้านชีววิทยาโมเลกุล ทำการทดลองสารคัดหลั่งจากผิวหนังกบ พบว่า เมือกกบมีคุณสมบัติต่อต้านเชื้อจุลินทรีย์และแบคทีเรีย รวมทั้งฆ่าเซลล์มะเร็งบางชนิดได้เช่นกัน
ผู้เชี่ยวชาญเรื่องกบในประเทศไทยให้ข้อมูลว่า ต่อมเมือกกบมีความสามารถในการดักจับเชื้อโรคต่างๆ และยังเป็นแหล่งสังเคราะห์สารเคมีหลายชนิดไว้ต่อสู้กับการติดเชื้อแบคทีเรียและเชื้อรา เพราะตามธรรมชาติของสัตว์สะเทินน้ำสะเทินบกในกลุ่มกบ มีถิ่นอาศัยอยู่ในสภาพแวดล้อมที่มีความหลากหลาย และสามารถดำรงชีวิตอยู่ในแหล่งน้ำที่มีความสกปรกและมีเชื้อโรคมากโดยไม่ได้รับอันตราย ดังนั้น ในผิวหนังกบจึงหลั่งสารบางชนิดที่ต่อต้านเชื้อจุลินทรีย์และทำลายแบคทีเรียได้ดี และเป็นที่มาของการศึกษาวิจัยนำโปรตีนจากเมือกกบมาใช้ประโยชน์ในทางการแพทย์โดยเริ่มต้นเมื่อปีที่แล้ว
"โชคดีที่ประเทศไทยมีความหลากหลายทางชีวภาพ ทำให้กบอาศัยอยู่ในสภาพแวดล้อมที่แตกต่างกัน เช่น ในน้ำ ในดิน บนบก และบนต้นไม้ และได้รับสิ่งแปลกปลอมหรือเชื้อโรคเข้าไปในร่างกายแตกต่างกันด้วย กบแต่ละชนิดก็จะสร้างสารต่อต้านเชื้อโรคต่างๆ ซึ่งผลทดสอบในเบื้องต้นพบว่ามีสารต่อต้านจุลินทรีย์ สารบางชนิดในเมือกกบยังทำลายเซลล์มะเร็งได้อีกด้วย จากนี้ไปก็จะนำองค์ความรู้นี้ไปพัฒนาต่อยอดสู่การผลิตเป็นยารักษาโรคในอนาคต และมีแนวโน้มประสบความสำเร็จสูง" ผศ.ดร.วิเชฏฐ์กล่าว
ทั้งนี้ จะเห็นว่าสารสกัดจากพืชชนิดต่างที่นำมาใช้ประโยชน์ทางการแพทย์มีให้เห็นจำนวนมาก แต่เรายังไม่เห็นสารสกัดจากสัตว์หรืออาจจะมีน้อย อย่างไรก็ตาม การนำกบมารับประทานแบบทั่วไปไม่สามารถช่วยรักษาโรคได้ แต่จะต้องนำความรู้หรือเทคนิคทางพันธุวิศวกรรมขั้นสูงเข้ามาช่วย เพื่อเปลี่ยนแปลงโครงสร้างในโปรตีนจากเมือกกบให้ร่างกายมนุษย์สามารถรับได้ นอกจากนี้จะนำงานวิจัยลำดับโปรตีนที่สกัดจากเมือกกบแต่ละชนิด และผลสรุปเบื้องต้นในห้องทดลองไปตีพิมพ์รายงานต่อไป
ด้าน ดร.ภัทรดร ภิญโญพิชญ์ ภาควิชาชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาฯ ผู้วิจัยสายโปรตีนในเมือกกบ กล่าวว่า ได้รับการสนับสนุนจากโครงการพัฒนาองค์ความรู้และศึกษานโยบายการจัดการทรัพยากรชีวภาพในประเทศไทย ให้งบประมาณวิจัยในเบื้องต้นเพื่อนำความรู้เรื่องกบของ ผศ.ดร.วิเชฏฐ์มาต่อยอดใช้ประโยชน์ กบแต่ละตัวจะมีสารคัดหลั่งหลายชนิดที่มีฤทธิ์ยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อจุลินทรีย์ และกำจัดเซลล์มะเร็งบางชนิดที่เพาะเลี้ยงขึ้นในห้องทดลอง
"ในอนาคตจะผลิตสารสกัดดังกล่าวขึ้นมาเอง โดยไม่ต้องสกัดสารจากเมือกกบโดยตรง เพราะกบบางชนิดเป็นสัตว์คุ้มครอง จึงต้องใช้เทคโนโลยีชีวภาพเพื่อโคลนนิ่งสารในเมือกกบ เพื่อนำไปใช้ในทดลองกับสัตว์และมนุษย์ ทั้งนี้ ผลทดสอบความเป็นพิษ ปรากฏว่าสารสกัดมีพิษอยู่ในระดับต่ำมาก และมีปัญหาดื้อยาน้อยกว่าการใช้ยาปฏิชีวนะ" ดร.ภัทรดรกล่าว.
ที่มา:ไทยโพสต์ http://www.ryt9.com/s/tpd/843497
ภัทรพงศ์ วาศไชยพงศ์ 52sp2760033 .. ZA
ตอบลบวิจัยชี้ไข่ไก่ครึ่งฟอง มีคุณค่าสูงกว่า"ซุปไก่สกัด"ขนาด 75 มล.
นักโภชนาการแนะบริโภคไข่ไก่อาหารจำเป็นของครัวไทยคุ้มค่าทั้งโภชนาการ-เศรษฐกิจ ชี้เพียงครึ่งฟองมีประโยชน์มากกว่าซุปไก่สกัด ระบุทาน 3-4 ฟองต่อสัปดาห์ไม่มีปัญหาคลอเรสตรอรอล
จากผลงานวิจัยของดร.ประภาศรี ภูวเสถียร สถาบันวิจัยโภชนาการ มหาวิทยาลัยมหิดล เกี่ยวกับคุณค่าทางโภชนาการของไข่ไก่ระบุชัดว่า ไข่ไก่เพียงครึ่งฟองให้คุณค่าอาหาร โดยเฉพาะโปรตีนคุณภาพสูง ที่ร่างกายคนเรามิอาจจะสร้างขึ้นได้เองตามธรรมชาติ วิตามินเอ, บี 2 และบี 12 รวมถึงคุณค่าทางโภชนาอื่นๆ สูงกว่า “ซุปไก่สกัด” ขนาด 75 ม.ล.
ด้านอาจารย์รุจิรา สัมมะสุต อดีตหัวหน้าฝ่ายโภชนาการ โรงพยาบาลรามาธิบดี ยืนยันถึงคุณค่าทางโภชนาการของไข่ไก่ว่ามีสูงกว่าซุปไก่สกัดที่โหมโปรโมตโฆษณาชวนเชื่อในทุกวันนี้ ทั้งคุณค่าทางด้านโภชนาการและเหตุผลทางเศรษฐกิจเหนือกว่าเมื่อเทียบกับอาหารในหมวดอื่นๆต่อให้แพงอย่างไร ไข่ไก่ ก็ยังมีราคาถูกกว่าสินค้าอาหารในหมวดอื่นๆ
“ในยุคที่ราคาสินค้าทุกอย่างปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นเช่นนี้ จำเป็นที่พ่อบ้านแม่บ้านจะต้องมองในเรื่องของเหตุผลทางโภชนาการและเศรษฐกิจไปพร้อม ๆ กัน ต้องดูว่าเงินแต่ละบาทที่เสียไปกับการเลือกซื้ออาหารในแต่ละหมวดนั้น ได้ให้อะไรกลับคืนมาบ้าง เช่น สารอาหารที่จำเป็นต่อร่างกาย, พลังงาน และอื่นๆ โดยไม่จำเป็นจะต้องควักเงินซื้อหาอะไรบางอย่าง ที่ให้คุณค่าทางโภชนาการเท่าๆ กับไข่ไก่ครึ่งฟอง แต่มีราคาแพงกว่ากันถึง 10 เท่าตัว”
ส่วนข้อโต้แย้งเกี่ยวกับคลอเรสตรอรอลที่พบมากในไข่แดงนั้นขอแนะนำให้ไปศึกษาถึงโภชนาบัญญัติ 9 ประการเนื่องจากหัวข้อหนึ่งในนั้น ระบุไว้ว่าไม่ควรรับประทานอาหารซ้ำซากและจำเจ นั่นก็หมายความว่าหากครอบครัวใด ไม่รับประทานไข่ไก่ในทุกมื้ออาหารแล้วโทษจากการบริโภคไข่ไก่ก็จะไม่เกิดขึ้นแต่ในทาง ทางกลับกันทุกคนยังจะได้รับคุณค่าทางโภชนาการ โดยเฉพาะสารที่จำเป็นต่อร่างกายเสียอีก
ด้านรองศ.ดร.ประไพศรี ศิริจักรวาล หัวหน้าฝ่ายมนุษยโภชนาการ สถาบันวิจัยโภชนาการ มหาวิทยาลัยมหิดล ซึ่งถือเป็นนักวิชาการที่จัดเก็บและรวบรวมข้อมูลเอกสารงานวิจัยเกี่ยวกับไข่ไก่มากที่สุดคนหนึ่งของไทย ได้อ้างอิงถึงงานวิจัย หัวข้อ“Smart Eating” หรือ “กินอย่างชาญฉลาด” ที่ นิตยสารไทม์ จัดทำขึ้น โดยการวิเคราะห์กลุ่มอาหารประเภทต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นเนื้อสัตว์, ไข่ไก่, ผักและผลไม้ ก่อนจะสรุปว่า ไข่ไก่ให้ความคุ้มค่าสูงสุด ทั้งในแง่ของราคาและคุณค่าทางโภชนาการเมื่อเทียบกับอาหารในหมวดอื่นๆ
อย่างไรก็ตามจากการศึกษาพฤติกรรมการบริโภคของคนอเมริกัน ที่มีอายุตั้งแต่ 40 ปีขึ้นไป พบว่าส่วนใหญ่ที่ชอบรับประทานไข่ไก่ต่อเนื่องทุกวันนั้น มักประสบปัญหาไขมันในเส้นเลือดสูงนั่นก็เพราะว่าใน“ไข่แดง”มีปริมาณสารคลอเรสตรอรอลที่สูงนั่นเองซึ่งสอดรับกับงานวิจัยต่อเนื่องตลอดระยะเวลา 25 ปี ของวารสารด้านโภชนาคลีนิกของสหรัฐอเมริกา ที่ระบุว่าผู้ที่รับประทานไข่ไก่ทุกวันติดต่อกันเป็นเวลานาน มักจะพบคลอเรสตรอรอลในเส้นเลือด จนเข้าข่ายเป็นอันตรายต่อร่างกาย ทางออกของเรื่องนี้ ซึ่งนิตยสารไทม์ ได้แนะนำเอาไว้ ก็คือควรจะบริโภคไข่ไก่ไม่เกิน 3-4 ฟองต่อสัปดาห์ จึงจะก่อประโยชน์และไม่เป็นโทษต่อร่างกายคนเรา
ที่มา:http://www.rachakaikai.com/content6.asp
ความคิดเห็นนี้ถูกผู้เขียนลบ
ตอบลบนายธนพล โพธิ์ทอง 52SP2760004
ตอบลบความรู้ที่เกี่ยวข้องกับงานวิจัยชิ้นนี้
ความหมายของวิทยาศาสตร์
วิทยาศาสตร์ หมายถึง ความพยายามของมนุษย์ที่จะอธิบายปรากฏการณ์ และความสัมพันธ์ระหว่างส่วนต่างๆของธรรมชาติโดยใช้กระบวนการแสวงหาความรู้ทาง วิทยาศาสตร์ อันได้แก่ วิธีการทางวิทยาศาสตร์ กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ และเจตคติทางวิทยาศาสตร์
การสร้างหนังสือสำหรับเด็ก
ความหมายของหนังสือสำหรับเด็ก
หนังสือสำหรับเด็ก คือ หนังสือที่เขียนให้เด็กอ่านโดยเฉพาะ หรืออาจให้ผู้ใหญ่อ่านให้ฟัง โดยมุ่งเน้นให้เด็กเกิดความสนุกสนาน เพลิดเพลิน ใคร่รู้ นำไปสู่นิสัยรักการอ่านต่อไป
ลักษณะของหนังสือสำหรับเด็กชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 – 3
1. ขนาดของหนังสือ ไม่ควรเล็กกว่า 7 × 5 นิ้ว
2. ขนาดของตัวอักษร ประมาน ¼ ½ นิ้ว ในหน้าหนึ่งไม่ควรมีอักษรเกิน 4 บรรทัด
3. ขนาดของรูปภาพ มีขนาดภาพประมาณ 3 - 4 นิ้ว
4. ความหนาของหนังสือ ไม่ควรเกิน 30 หน้า
5. กระดาษที่เขียน ควรเป็นกระดาษที่เหนียวเพื่อให้คงทน
6. คำที่ใช้ ควรอยู่ในวงประสบการณ์ของเด็ก ไม่ยากกว่าคำในบทความของเด็ก
7.เรื่องที่ใช้เขียน เป็นนิทานสั้นๆ ควรสอดแทรกคุณธรรม
ความหมายของหนังสือการ์ตูน
หนังสือการ์ตูน หมายถึง ภาพสัญลักษณ์ที่ใช้แทนตัวบุคคลแทนแนวคิด หรือชี้บ่งสถานการณ์ ที่ทำขึ้นเพื่อใช้จูงแนวความคิดของผู้ดูให้มีความรู้สึกมีแนวโน้มไปกับสิ่งๆนั้น และ การ์ตูนเรื่อง คือ การเขียนการ์ตูนผูกเป็นเรื่องราว มีตัวละครชูโรง ตัวประกอบ มีผู้แสดงตั้งแต่ต้นจนจบเรื่อง
สาเหตุในการวิจัยครั้งนี้ เนื่องจาก สภาพปัญหาในการจัดการศึกษากลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ ของโรงเรียนเมืองอาจสามารถ อำเภออาจสามารถ จังหวัดร้อยเอ็ด คือ ขาดสื่อการสอนที่เหมาะสม เนื่องจากสาระในบางส่วนอยู่ในลักษณะเป็นนามธรรม หรือเป็นสิ่งที่ไม่สามารถอธิบายให้เข้าใจด้วยการบรรยาย หรือการอ่านในตำรา ดังนั้น การศึกษาค้นคว้าครั้งนี้จึงมีจุดมุ่งหมายเพื่อ พัฒนาแบบเรียนประกอบภาพการ์ตูน กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ เรื่องพลังงาน ชั้นประถมศึกษาปีที่ 2
กลุ่มตัวอย่างในการศึกษาค้นคว้าครั้งนี้ เป็นนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2/3 จำนวน 26 คน โรงเรียนเมืองอาจสามารถ อำเภออาจสามารถ จังหวัดร้อยเอ็ด ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2546 ซึ่งได้มาโดยการสุ่มอย่างง่าย เครื่องมือที่ใช้คือ แบบเรียนประกอบภาพการ์ตูน กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ เรื่องพลังงาน ชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 จำนวน 3 เล่ม แผนการเรียนรู้จำนวน 4 แผน แบบทดสอบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนชนิด 3 ตัวเลือก จำนวน 30 ข้อ
ผลการวิจัย สรุปได้ดังนี้
แบบเรียนประกอบภาพการ์ตูน กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ เรื่องพลังงาน ชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 ทำให้นักเรียนมีความก้าวหน้าทางการเรียนรู้ และนักเรียนมีความพึงพอใจในการเรียนรู้เรื่องแบบเรียนประกอบภาพการ์ตูน เรื่องพลังงาน โดยภาพรวมและเป็นรายด้านทั้ง 4 ด้าน อยู่ในระดับดีมาก
สรุปได้ว่า แบบเรียนประกอบภาพการ์ตูน กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ เรื่องพลังงาน ชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 ช่วยให้นักเรียนมีพัฒนาการในการเรียนรู้เป็นอย่างดี ตลอดจนเสริมสร้างความพึงพอใจที่ดีต่อการเรียน ครูผู้สอนสามารถนำไปใช้เป็นสื่อประกอบการเรียนการสอนวิชาวิทยาศาสตร์ ให้บรรลุผลตามเจตนารมณ์ของหลักสูตร
ที่มา : http://learners.in.th/blog/sasitorn-edu3204/178759
นายวัชระ สุลำนาจ
ตอบลบ52SP2760017
กาแฟช่วยลดความเสี่ยงต่อการเป็นโรคอัลไซเมอร์ 65 เปอร์เซ็นต์
จากการศึกษา ณ ประเทศฟินแลนด์ การดื่มกาแฟในวัยกลางคนสามารถลดความเสี่ยงของการเป็นโรคอัลไซเมอร์ (Alzheimer) และโรคจิตเสื่อม ในช่วงปลายของชีวิตได้
ที่มา
http://www.peterdreamland.com/content/index.php?option=com_content&task=view&id=1030&Itemid=53
นาย จักรพันธ์ กิจประชา 52SP 2760024
ตอบลบโนเบลสาขาเคมีปีนี้สอดรับกันอย่างดีกับรางวัลโนเบลสาขาสรีรศาสตร์หรือการแพทย์ที่เพิ่งประกาศไปก่อนหน้า โดยแอนดรูว ไฟร์ (Andrew Z. Fire) จากคณะแพทย์ มหาวิทยาสแตนฟอร์ด (School of Medicine at the Stanford University in California) และเคร็ก เมลโล (Craig C. Mello) จากสถาบันแพทย์โฮเวิร์ด ฮิวจ์ (Howard Hughes Medical Institute) คณะแพทย์ มหาวิทยา
มหาวิทยาสแตนฟอร์ด (School of Medicine at the Stanford University in California) และเคร็ก เมลโล (Craig C. Mello) จากสถาบันแพทย์โฮเวิร์ด ฮิวจ์ (Howard Hughes Medical Institute) คณะแพทย์ มหาวิทยาลัยเมสชาชูเซ็ตส์ (University of Messachusetts Medical School)ได้รับรางวัลในสาขานี้ โดยทั้งคู่ค้นพบอาร์เอ็นเอไอ (RNAi : RNA interference) หรือกระบวนการปิดการทำงานของยีนเป้าหมาย
ดร.ไฟร์ร่วมรับโนเบลแพทย์กับ ดร.เมลโล หลัง RNAi ของทั้งคู่กลายเป็นพื้นฐานการศึกษาทางด้านพันธุกรรม
ในความเห็นของนักวิทยาศาสตร์ไทย ผศ.ดร.พิมพ์ใจ ใจเย็น อาจารย์ภาควิชาชีวเคมี คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ให้ความเห็นต่อผลงานของคอร์นเบิร์กว่า ทำให้เราเข้าใจกระบวนการสร้าง RNA โดยเห็นกระบวนการ 3 มิติขณะที่เอ็นไซม์ในการสร้าง RNA กำลังจับกับ DNA รวมทั้งกระบวนการอื่นที่ซับซ้อน ทำให้เรารู้ว่าทำไม DNA
นอกจากนี้ ผศ.ดร.พิมพ์ใจได้ชี้ถึงจุดที่น่าสนใจว่า รางวัลโนเบลแพทย์ปีนี้ก็เกี่ยวเนื่องกับ RNAi ซึ่งเป็นกระบวนการที่หยุดการสร้าง RNA และเป็นความรู้ที่ต้องประยุกต์ใช้ความรู้ทางด้านชีวเคมีที่เพิ่งได้รับรางวัลโนเบลในสาขาเคมีนี้ด้วย อีกทั้งคอร์นเบิร์กยังเป็นลูกชายของ อาร์เธอร์ คอร์นเบิร์ก (Arthur Kornberg) ซึ่งได้รับโนเบลเช่นกัน โดยผู้พ่อศึกษาเรื่องกระบวนการที่ DNA กลายไปเป็น DNA ส่วนตัวเขาเองก็ศึกษากระ
สำหรับปีนี้รางวัลโนเบลสาขาวิทยาศาสตร์ส่วนใหญ่ตกอยู่ที่งานทางด้านพันธุศาสตร์ ซึ่ง ผศ.ดร.ยุพาพร ไชยสีหา อาจารย์สำนักวิชาวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี ได้ให้ความเห็นว่าส่วนหนึ่งเป็นเพราะความก้าวหน้าของเครื่องมือและเทคโนโลยีที่ทำให้เราศึกษาได้มากขึ้น และความต้องการของคนที่อยากจะกินดี อยู่ดี ไม่มีโรคภัย และมีอายุยืนยาว จึงทำให้เงินทุนสำหรับการวิจัยและพัฒนาทางด้านนี้มาก จึงทำให้งานด้านออกมาเยอ
ที่มา http://www.tlcthai.com/webboard/view_topic.php?mode=quote&comment=8&index=6&table_id=1&cate_id=20&post_id=4925&page=1
นายยุทธศักดิ์ อริยะชัยประดิษฐ์ 52SP2760007
ตอบลบโนเบลสาขาสรีรศาสตร์หรือการแพทย์กับความลับเทโลเมียร์
รางวัลโนเบลสาขาสรีรศาสตร์หรือการแพทย์ประจำปีนี้มอบให้กับการเผยความลับทางชีววิทยาที่ว่า โครโมโซมทำสำเนาตัวเองให้สมบูรณ์ได้อย่างไรใน ขั้นตอนการแบ่งเซลล์ รวมทั้งมันป้องกันการเสื่อมสลายตัวเองได้อย่างไร คำตอบอยู่ที่ส่วนปลายสุดของโครโมโซมที่เรียกว่า เทโลเมียร์กับเอนไซม์เทโลเมอเรสที่สร้าง เทโลเมียร์ขึ้นมาโมเลกุลดีเอ็นเอนั้นขดตัวแน่นเป็นแท่ง
โครโมโซม เทโลเมียร์นั้นเปรียบเสมือนปลอกพลาสติกปลายเชือกผูกรองเท้าที่กันไม่ให้เชือกหลุดลุ่ย เอลิซาเบท แบล็กเบิร์น (นักวิทยาศาสตร์สัญชาติอเมริกันและออสเตรเลีย จากมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนียในซานฟรานซิสโก) และ แจ็ก โซสแตก (นักวิทยาศาสตร์อเมริกัน จากโรงพยาบาลเจเนอรัล แมสซาซูเซ็ตส์ ในบอสตัน) พบว่าลำดับดีเอ็นเอที่มีความจำเพาะในเทโล
เมียร์เป็นตัวป้องกันไม่ให้โครโมโซมเสื่อมสลาย แบล็กเบิร์นยังร่วมกับ แครอล ไกรเดอร์ (นักวิทยาศาสตร์สัญชาติอเมริกัน จากคณะแพทย์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยจอนส์ ฮอบกินส์ วิทยาเขตบัลติมอร์) แยกเอนไซม์เทโลเมอเรสซึ่งเป็นเอนไซม์ที่สังเคราะห์เทโลเมียร์ดีเอ็นเอด้วย
จากการศึกษาโครโมโซมในอดีตเคยมีการตั้งข้อสังเกตไว้ก่อนแล้วว่าเทโลเมียร์ น่าจะมีบทบาทสำคัญบางอย่างในการป้องกันการเชื่อมติดกันของโครโมโซม และการศึกษาการแบ่งตัวของเซลล์ก็มีข้อสังสัยว่า การทำสำเนาดีเอ็นเอที่ตอนปลายสายไม่น่าจะทำได้เพราะมีความยาวไม่พอ ทำให้โครโมโซมน่าจะมีขนาดสั้นลงทุกๆ ครั้งที่เซลล์แบ่งตัว แต่ในความเป็นจริงกลับไม่เป็นเช่นนั้น
งานช่วงแรกของแบล็กเบิร์นเป็นการทำแผนที่ลำดับดีเอ็นเอของเตตระไฮมีนาซึ่งเป็นสิ่งมีชีวิตเซลล์เดียว ทำให้เธอพบลำดับดีเอ็นเอซ้ำๆ ที่ปลายโครโมโซมหลายครั้ง (ลำดับดีเอ็นเอที่ซ้ำๆ กันนี้คือเทโลเมียร์นั่นเอง) ในขณะเดียวกันนั้นเองโซสแตกพบว่าโมเลกุลดีเอ็นเอสายตรง (เป็นแบบหนึ่งของมินิโครโมโซม) สลายตัวอย่างรวดเร็วเมื่อใส่เข้าไปในเซลล์ของยีสต์ หลังจากที่โซสแตกได้เห็นงานของแบล็กเบิร์น เขาทั้งสองก็ร่วมกั
แตกก็จัดการต่อมันเข้าไปในมินิโครโมโซม แล้วใส่มันกลับเข้าไปในเซลล์ของยีสต์ ผลปรากฏว่ามินิโครโมโซมนี้ไม่สลายตัว ซึ่งกลายเป็นข้อพิสูจน์ว่าเทโลเมียร์ทำหน้าที่ป้องกันการสลายตัวของโครโมโซมระหว่างนั้นเอง แบล็กเบิร์นกับไกรเดอร์ ร่วมกันหา คำตอบว่ามีเอนไซม์บางอย่างสังเคราะห์เทโลเมียร์ดีเอ็นเอขึ้น มาใช่หรือไม่ จนถึงวันคริสต์มาส พ.ศ. 2527 ไกรเดอร์ก็พบ
ปฏิกิริยาของเอนไซม์ ทั้งคู่ตั้งชื่อเอนไซม์ตัวนี้ว่า เทโลเมอเรส พวกเขาพบว่าเอนไซม์นี้ประกอบด้วยอาร์เอ็นเอและโปรตีน ส่วนของอาร์เอ็นเอนั้นมีลำดับเบสเช่นเดียวกับเทโลเมียร์ มันจึงทำหน้าที่เป็นแม่แบบในการสร้างเทโลเมียร์นั่นเอง เทโลเมอเรสนี้ทำหน้าที่ขยายเทโลเมียร์ดีเอ็นเอออกไป ทำให้สายโครโมโซมมีพื้นที่ยาวมากพอที่จะจำลองตัวเองได้อย่างสมบูรณ์ครบทั้งเส้น ไม่ขาดหายไป ซึ่งตอบคำถามคาใจในเรื่องการแบ่งเซลล์ใน
ที่สุดนอกจากจะไขปริศนาสำคัญทางชีววิทยาแล้ว การค้นพบนี้ยังมีอิทธิพลกับวงการวิทยาศาสตร์ต่อไปอีก นักวิทยาศาสตร์จำนวนมากเห็นว่าการที่เทโลเมียร์สั้นลงเป็นส่วนหนึ่งของ กระบวนการชราภาพทั้งระดับเซลล์ และระดับร่างกาย และในเซลล์ปกติจะมีปฏิกิริยาของเทโลเมอเรสไม่มากนัก (เนื่องจากเซลล์แบ่งตัวไม่มากครั้งนัก) แต่ในเซลล์มะเร็งที่มีการแบ่งตัวบ่อยมาก
จะมีปฏิกิริยานี้สูง ซึ่งเราอาจจัดการกับมะเร็งได้โดย การควบคุมปฏิกิริยานี้ นอกจากนี้ยังมีโรคที่ถ่ายทอดทางพันธุกรรมอื่นๆ ที่เกิดจากความบกพร่องของเทโลเมอเรสด้วย
โดยสรุปแล้ว การค้นพบเรื่องราวของเทโลเมียร์และเทโล เมอเรสนี้เป็นการเติมเต็มความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับเซลล์ และกลไกการเกิดโรค อันก่อให้เกิดแนวทางรักษาโรคเหล่านั้น ส่งผลให้แบล็กเบิร์น, โซสแตก และไกรเดอร์คว้ารางวัลโนเบลสาขาสรีรศาสตร์หรือการแพทย์ประจำปีนี้ไปครอง
ที่มา
http://www.vcharkarn.com/varticle/40326
นางสาวธิดารัตน์ นาคาพงษ์ 52SP2760005
ตอบลบ“เพนกวิน” มีพลังลมปราณ ปู้ด..ออกทวารแรงกว่าคนอีก
ส่วนรางวัลในสาขาพลศาสตร์ของไหล เป็นของเบนโน เมเยอร์-รอคฮาว (Benno Meyer-Rochow) จากมหาวิทยาลัยนานาชาติแห่งเบรเมน (International University of Bremen) เยอรมนี และยอซเซฟ กัลป์ (Jozsef Gal) จากมหาวิทยาลัยโลแรนด์ ออตวอส (Lorand Eötvös University) ในฮังการี ทั้งคู่เป็นเจ้าของทฤษฎีวิเคราะห์แรงปู้ดของเพนกวิน (penguin poop propulsion)
เมื่อธรรมชาติเรียกร้องเจ้าแพนกวินแห่งชายฝั่งอเดลี (Adélie) ในแถบแอนตาร์กติกาก็จะทำท่าอึกๆ อักๆ เดินต้วมเตี้ยมๆ ออกจากรัง เพื่อไปปลดทุกข์ท่ามกลางอากาศหนาวเย็น ซึ่งเจ้าของรางวัลอิก โนเบลได้สังเกตว่า ขณะถ่ายทุกข์เจ้าเพนกวินจะกระดกก้นขึ้น ยกหางและปล่อยสิ่งของไม่พึงประสงค์ออกมา โดยแรงปู้ด...ดดด ที่ปลดปล่อยจากปลายทวารหนักของเพนกวินนั้น มีแรงระเบิดทำล้ายร้างไกลถึง 40 เซนติเมตร
อย่างไรก็ดี ถ้าเปรียบเทียบกับสัดส่วนความสูงและลักษณะทางอนาโตมีของเพนกวินตัวเตี้ยๆ กับพลังลมปราณทางทวารหนักที่ปล่อยออกมาทั้งในแง่ความแรงและความเหนียว (ของสสารที่ตามออกมาด้วย) ทำให้นักวิจัยพบว่า แรงดันภายในช่องทวารของเพนกวินอยู่ที่ประมาณ 10-60 กิโลปาสคาล (หรือแรงประมาณ 1.45 - 8.7 ปอนด์ต่อ 1 ตารางนิ้ว) นับได้ว่าพลังลมปู้ด...ดดด ของเพนกวินนั้นมีกำลังแรงกว่ากำลังปลดปล่อยสูงสุดของมนุษย์ขณะถ่ายทุกข์เช่นกัน
แต่ถ้าใครคิดดูเหมือนว่าจะเป็นผลงานที่ไม่มีสาระทางวิทยาศาสตร์ เมเยอร์-รอคฮาวกล่าวอย่างมั่นใจว่า แน่นอนที่น้อยคนจะรู้ว่ามีประโยชน์อย่างไร ซึ่งถ้าสิ่งที่พวกเขาอธิบายได้รับความสนใจจากผู้ดูแลสวนสัตว์ นักสัตว์และพืชดึกดำบรรพ์ วิศวกร นักสรีรศาสตร์มนุษย์ คนเหล่านี้ก็สามารถนำข้อมูลไปตรวจสอบการสภาพของร่างกายว่าสมบูรณ์หรือไม่ด้วยการดูแรงปลดปล่อยของเหลวผ่านรูทวารต่างๆ นับเป็นสิ่งธรรมดาที่สำคัญ
ที่มา: http://www.bloggang.com/viewblog.php?id=zenithworldz&date=16-10-2005&group=3&gblog=11
คุณภาพชีวิตคนเมือง นั่งรถเมล์ 3 ชม. เสี่ยงมะเร็งปอด
ตอบลบนางสาว ธนาภา เซี่ยงฉิน 52SP2760039
สกว.เผยคนกรุงเทพฯเสี่ยงเป็นมะเร็งปอดเพิ่มขึ้นจากปัจจัยในด้านการเดินทางด้วยรถเมล์สาธารณะ รถจักรยานยนต์และผู้ใช้เวลาอยู่บนถนนกว่า 3 ชั่วโมง รวมทั้งการตั้งบ้านเรือนใกล้โรงงานอุตสาหกรรมหรือริมถนนที่มีการจราจรติดขัดจะมีความเสี่ยงมากกว่าผู้อาศัยอยู่ในซอยลึกหรือห่างไกลถนนสายหลัก
สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) จัดเวทีนำเสนอผลงานของนักศึกษาทุนโครงการปริญญาเอกกาญจนาภิเษก (คปก.) ขึ้น โดยนางปรียากมล (ศิริวรรณ) ข่าน นักศึกษาทุนโครงการปริญญาเอกกาญจนาภิเษกเปิดเผยผลงานวิจัยเรื่องมลพิษทางอากาศและมะเร็งปอดกรณีศึกษาประชากรกรุงเทพมหานคร ว่า จากการศึกษาเพื่อหารูปแบบของมลพิษทางอากาศที่มีความสัมพันธ์กับความเสี่ยงของการเป็นโรคมะเร็งปอดของคน กทม. โดยเก็บข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่างที่เป็นผู้ป่วยโรคมะเร็งปอด 132 รายที่เข้ารับการรักษาที่สถาบันมะเร็งแห่งชาติตั้งแต่ปี 2539-2543 กับคนทั่วไป 296 รายที่อาศัยใน กทม. ประมาณ 10 ปีจำนวน 2 กลุ่ม คือ พื้นที่ที่มีมลพิษค่อนข้างสูงหรือสูงมาก กับพื้นที่ที่มีมลพิษต่ำ
จากการวิจัย ทั้ง 2 กลุ่มตัวอย่างจำแนกตามเพศ และอายุใกล้เคียงกัน และเลียนแบบพฤติกรรมการเดินทาง และตรวจวัดปริมาณเขม่าสารก่อมะเร็งในอากาศ และการประยุกต์ใช้ระบบสารสนเทศทางภูมิศาสตร์ พบว่า ผู้ป่วยที่เป็นโรคมะเร็งปอดส่วนใหญ่ได้รับเขม่าจากการเดินทางปริมาณมากกว่าประชากรทั่วไป โดยเฉพาะผู้ที่เดินทางด้วยรถเมล์ธรรมดาและรถจักรยานยนต์ และผู้ที่ใช้เวลาอยู่บนถนนนานกว่า 3 ชั่วโมง ปริมาณเขม่าและฝุ่นในขณะที่รถวิ่งสูงกว่าตอนรถหยุด
นางปรียากมล กล่าวอีกว่า นอกจากนี้ยังพบว่าบริเวณที่กลุ่มตัวอย่างทั้งสองกลุ่มตั้งบ้านเรือนอยู่ในบริเวณที่มีสารก่อมะเร็งสูงกว่ามาตรฐานอีกด้วย ซึ่งข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่างที่ทำการศึกษามีความชัดเจนว่าส่วนใหญ่จะอาศัยใกล้ถนนสายหลักที่มีการจราจรติดขัดในรัศมีไม่เกิน 200 เมตร ซึ่งจุดนี้เองทำให้มีโอกาสเสี่ยงต่อการเป็นโรคมะเร็งปอดมากกว่าคนที่บ้านเรือนในซอยลึกหรือถนนที่มีการจราจรไม่ติดขัดรวมทั้งการตั้งบ้านเรือนที่อยู่ใกล้โรงงานอุตสาหกรรมเกินกว่า 1 กิโลเมตรก็มีโอกาสเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งปอดเช่นกัน อย่างไรก็ตาม สำหรับผู้ที่เสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งปอดอีกกลุ่มหนึ่งได้แก่ ตำรวจจราจร คนขับรถเมล์ คนกวาดถนน และคนขับรถจักรยานยนต์
นางปรียามล กล่าวว่า งานวิจัยดังกล่าวต้องการชี้ให้เห็นว่านอกเหนือปัจจัยในเรื่องการสูบบุหรี่ การตั้งบ้านเรือนใกล้โรงงานอุตสาหกรรม จะทำให้เสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งปอดได้ แต่สำหรับคน กทม.การเดินทาง การประกอบอาชีพที่ต้องสุดเอาสารพิษจากท้องถนนที่มากด้วยมลพิษเข้าไปก็มีโอกาสเป็นมะเร็งปอดได้เช่นเดียวกัน ทั้งนี้คนกรุงเทพฯอาจจะยังไม่ตระหนักถึงสารก่อมะเร็งที่ได้รับในแต่ละวันจากการเดินทาง ซึ่งผลวิจัยนี้ก็น่าจะทำให้คนกรุงเทพฯหันมาสนใจปัญหามลพิษทางอากาศกันมากขึ้น โดยเฉพาะปัจจุบันมีคนที่ต้องพึ่งพาระบบขนส่งมวลชนมากกว่า 3 ล้านราย
แหล่งที่มา http://www.environnet.in.th/index.php?option=com_content&view=article&id=473&catid=18&Itemid=16
อำนาจ จารุถาวร 52SP2760050 ...ZA
ตอบลบโครงการวิจัยปลาช่อนทะเล
ตอนนี้อาจารย์กำลังทำงานวิจัยเกี่ยวกับความหลากหลายทางพันธุกรรมของปลาช่อนทะเลในประเทศไทยค่ะ ทั้งนี้ผลงานวิจัยจะช่วยบ่งชี้ว่าพฤติกรรมการเคลื่อนที่ของประชากรปลาช่อนทะเลในน่านน้ำไทยเป็นอย่างไร พบได้ที่ใดบ้าง มีมากน้อยเพียงใดและปลาช่อนทะเลที่พบในแต่ละที่มีความแตกต่างทางพันธุกรรมกันหรือไม่ อย่างไร อาจารย์จึงอยากจะขอความช่วยเหลือและขอเชิญชวนทุก ๆ คนในชมรมนักตกปลาช่วยส่งครีบหลังของปลาช่อนทะเลที่ตกได้ (รายละเอียดการเก็บตัวอย่างอยู่ข้างล่างนะคะ) มาให้อาจารย์ที่มหาวิทยาลัยด้วยได้ไหม๊คะ ทั้งนี้อาจารย์ต้องการตัวอย่างครีบจากปลาช่อนทะเลประมาณ 50 ตัวต่อหนึ่งพื้นที่ ทั่วประเทศไทย ทั้งทางฝั่งทะเลอันดามัน และอ่าวไทย หรืออาจจะรวมไปถึงบริเวณประเทศพม่า และมาเลยเซียก็ได้นะคะ ยังไงก็ต้องขอขอบคุณทุกท่านที่ให้ความช่วยเหลือและมีส่วนร่วมในการทำงานวิจัยชิ้นนี้ไว้ล่วงหน้าด้วยนะคะ
><> ><> ><> ><> ><> ><> ><> <>< <>< <>< <>< <>< <>< <>< <><
ขั้นตอนการเก็บตัวอย่างมีดังนี้นะคะ
1. ตัดครีบหลังของปลาช่อนทะเลตามยาวด้วยกรรไกรสะอาด โดยตัดเฉพาะบริเวณปลายที่บาง ๆ ให้เป็นแถบกว้างประมาณหนึ่งเซนติเมตร ยาวเท่าไหร่ก็ได้ตามแต่ขนาดของปลา (หรือไม่เกิน 20 เซนติเมตร) หากต้องตัดครีบจากปลาหลาย ๆ ตัว จะต้องทำความสะอาดกรรไกรก่อนตัดครีบจากตัวใหม่ทุกครั้งนะคะ เพราะว่าเลือดจากปลาตัวอื่นอาจปนเปื้อนและทำให้มี DNA ปนเปื้อนได้ค่ะ!!
2. ซับครีบปลาที่ตัดให้แห้งเล็กน้อย
3. วางครีบที่ตัดลงบนกระดาษเปล่าทางด้านล่าง และพับกระดาษทบบนครีบไปมาหลาย ๆ ชั้น เพื่อซึมซับความชื้นจากครีบปลา (ปริ้นแบบฟอร์มในรูปก็ได้นะคะ) ทับกระดาษดังกล่าวไว้ที่อุณหภูมิห้อง ปล่อยให้แห้งตามธรรมชาติ เมื่อครีบปลาแห้ง DNA ในเซลล์จะถูกรักษาไว้ (หากสามารถตัดครีบออกจากปลาที่เพิ่งตายใหม่ ๆ ได้ ก็จะดีมากนะคะ เพราะถ้าปล่อยไว้นาน DNA อาจจะเสียได้ค่ะ)
4. บัณทึกข้อมูล วันที่จับปลาได้ แหล่งที่พบ (ตำแหน่ง GPS หรือตำแหน่งคร่าว ๆ ก็ได้ค่ะ) น้ำหนักของปลาช่อนทะเล ความยาวจากปลายจมูกถึงปลายหาง
5. เมื่อชิ้นตัวอย่างแห้งแล้ว (วันเดียวก็แห้งค่ะ) ช่วยส่งไปรษณีย์แบบเก็บเงินปลายทางมาที่
ดร.จรส พินจงสกุลดิษฐ
ภาควิชาชีววิทยา สำนักวิชาวิทยาศาสตร์
มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์
อ.ท่าศาลา
จ.นครศรีธรรมราช 80160
ทั้งนี้อาจจะรอให้เก็บตัวอย่างได้เยอะก่อนแล้วค่อยส่งมาทีเดียวก็ได้นะคะ และหากสะดวก รบกวนช่วยเขียนชื่อ (ตามแต่ที่อยากให้ปรากฎในใบเกียรติคุณ) และที่อยู่ที่สามารถติดต่อกลับได้ให้ด้วยนะคะ อาจารย์จะได้ส่งใบเกียรติคุณไปให้นะคะ ขอบคุณมากนะคะ
ที่มา:http://www.weekendhobby.com/fishing/webboard/Question.asp?ID=2267
นางสาว สวามินี ดีเสมอ ID 52SP2760056 ZA
ตอบลบจุฬาฯคิดยาสีฟันสูตรเปลือกทุเรียน
ทันตแพทยฯ พบสารสำคัญในเปลือกทุเรียน สามารถฆ่าเชื้อแบคทีเรียต้นเหตุโรคฟันผุได้
รศ.ทพ.ดร.พสุธา ธัญญะกิจไพศาล อาจารย์ประจำภาควิชากายวิภาคศาสตร์ คณะทันตแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้ทดลองนำสารโพลีแซคคาไรด์ที่สกัดได้จากเปลือกทุเรียนมาเติมลงยาสีฟันสูตรมาตรฐานที่คณะทันตแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย คิดค้นเพื่อทดสอบประสิทธิภาพกำจัดแบคทีเรียของยาสีฟันสูตรใหม่ โดยเปรียบเทียบกับยาสีฟันสูตรเดิมที่ทำขึ้น
ปัญหาฟันผุเกิดจากเชื้อแบคทีเรียในคราบจุลินทรีย์มายึดเกาะผิวฟันในรูปไบโอฟิล์ม โดยมีเชื้อสเตร็ปโตคอกคัส มิวแทนส์ เป็นสาเหตุสำคัญของโรคฟันผุ ก่อนหน้านี้เคยมีงานวิจัยที่ค้นพบคุณสมบัติยับยั้งแบคทีเรียจากเปลือกทุเรียน ที่ผ่านมาเป็นเพียงขยะเหลือทิ้งหลังจากบริโภค หรือแกะเนื้อมาแปรรูปผลิตภัณฑ์แล้ว
ทีมวิจัยได้นำยาสีฟันที่มีส่วนผสมของสารโพลีแซคคาไรด์จากเปลือกทุเรียนมาทดสอบความเป็นกรดด่าง หาปริมาณแอคทีฟฟลูออไรด์ไอออน สารปนเปื้อน เช่น ทองแดง ตะกั่ว แคดเมียม หรือเชื้อจุลินทรีย์ปนเปื้อน และการมีเสถียรภาพต่อการเก็บโดยวิธีการเร่งภาวะตามกำหนดมาตรฐานของสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม
ขั้นตอนต่อมา ทีมวิจัยได้ทดสอบความสามารถในการยับยั้งเชื้อสเตร็ปโตคอกคัส มิวแทนส์ เปรียบเทียบกับยาสีฟันที่ได้มาตรฐาน มอก.เช่นเดียวกัน ซึ่งพบว่ายาสีฟันที่ทีมนักวิจัยพัฒนาขึ้นมีสารออกฤทธิ์สำคัญคือ โพลีแซคคาไรด์ และมีประสิทธิภาพในการยับยั้งเชื้อสเตร็ปโตคอกคัสมากกว่ายาสีฟันมาตรฐานเดียวกันถึงร้อยละ 31.75 ที่ระดับความเจือจาง 8 เท่า ของน้ำหนักยาสีฟันเริ่มต้น
"ยาสีฟันต้นแบบที่พัฒนาขึ้นมีความเข้มข้นของสารโพลีแซคคาไรด์ 100 มิลลิกรัมต่อยาสีฟัน 1 มิลลิลิตร หรือคิดเป็นร้อยละ 10 โดยน้ำหนัก เนื่องจากความเข้มข้นดังกล่าวจะช่วยในการออกฤทธิ์ยับยั้งเชื้อแบคทีเรียได้ภายใน 1 นาที และทำให้ฟันแข็งแรง และป้องกันการเกิดโรคฟันผุได้จากสารดังกล่าวไปช่วยเคลือบ และไม่ส่งมีความเป็นพิษต่อเซลล์สร้างเส้นใยเหงือก หรืออวัยวะอื่นใดในช่องปาก" นักวิจัย กล่าว
อย่างไรก็ดี ผู้วิจัยยังพบปัญหาการเกิดฟองอากาศขึ้นในเนื้อยาสีฟัน หลังจากการทดสอบด้วยวิธีเร่งภาวะเป็นเวลา 3 เดือน 15 วัน เนื่องจากไม่ได้ผสมยาสีฟันภายใต้ระบบสุญญากาศที่ใช้ในอุตสาหกรรมผลิตยาสีฟัน ซึ่งต้องแก้ไขและพัฒนาต่อไปหากผลิตในเชิงพาณิชย์
งานวิจัยดังกล่าวเป็นการต่อยอดผลงานสกัดสารโพลีแซคคาไรด์จากเปลือกทุเรียนซึ่ง รศ.ดร.สุนันท์ พงษ์สามารถ และทีมงานค้นพบวิธีสกัดมาตั้งแต่ปี 2545 โดยสารดังกล่าวมีฤทธิ์ยับยั้งแบคทีเรียทั้งชนิดแกรมบวกและแกรมลบหลายชนิด และไม่มีอันตรายแต่อย่างใดเมื่อทำการทดสอบในสัตว์ทดลอง
ที่มา : หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ วันที่ 4 มิถุนายน 2550
http://www.bangkokbiznews.com/2007/06/04/WW54_5401_news.php?newsid=76853
นายภูริภัทร บุญนิล รหัส 52SP2760028 ตอนเรียน ZA
ตอบลบปัจจุบัน เครื่องสำอาง จาก สมุนไพรไทย มีจำหน่ายมากมาย หาซื้อได้ง่ายในท้องตลาด ทั้งผลิตภัณฑ์ เครื่องสำอาง โอท็อป เครื่องสำอาง นำเข้า จากญี่ปุ่น จีน ไต้หวัน ฝรั่งเศส มีมากมายให้คุณเลือกซื้อ แต่คุณจะแน่ใจได้อย่างไงว่า ผลิตภัณฑ์ เครื่องสำอาง เหล่านั้น เป็นผลิตภัณฑ์ เครื่องสำอาง จากธรรมชาติ จริง ๆ ตลอดจนความปลอดภัยในการใช้ เครื่องสำอาง เหล่านั้น
สำหรับผลิตภัณฑ์ เครื่องสำอาง จาก สมุนไพรไทย ของ DSC Laboratory นี้ เป็นผลิตภัณฑ์ เครื่องสำอาง ของคนไทยแท้ ๆ โดยเกิดจากความร่วมมือของนักเคมี และนักวิทยาศาสตร์ ภาควิชาเคมี คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ที่ก่อตั้งโดย ศาสตราจารย์ ดร.โสภณ เริงสำราญ อดีตหัวหน้าภาควิชาเคมี และหัวหน้าหน่วยงานวิจัยชีวอินทรีย์เคมี (Bioorganic research unit) ได้นำองค์ความรู้เกี่ยวกับ สมุนไพรไทย การผลิต เครื่องสำอาง จาก สมุนไพรไทย ที่ถูกต้องปลอดภัยตามหลักวิทยาศาสตร์ ผสานกับการวิเคราะห์ วิจัยถึงความปลอดภัยของผลิตภัณฑ์ เครื่องสำอาง จาก สมุนไพรไทย ที่ได้จากธรรมชาติ มาศึกษาตามหลักขั้นตอนทางวิทยาศาสตร์ จนกระทั้งได้ผลิตภัณฑ์ เครื่องสำอาง จาก สมุนไพรไทย ที่คงคุณค่า และสามารถใช้ได้ผลอย่างแท้จริง ในยี่ห้อของผลิตภัณฑ์ เครื่องสำอาง จาก สมุนไพรไทย DSC Laboratory
จากผลการวิจัยนี้ พบว่า สมุนไพรไทย มีสรรพคุณ และคุณค่า ในเรื่องของ ผิวพรรณ หรือ ความงาม ไม่แพ้สารสกัดที่นำเข้าจากต่างประเทศ และราคาก็ยังถูกกว่าอีกด้วย จากงานวิจัยนี้ ทาง DSC Laboratory จึงได้ผสานความร่วมมือไปยังนักวิจัยในมหาวิทยาลัยทั่วประเทศไทย อาทิ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง มหาวิทยาลัยหัวเฉียวเฉลิมพระเกียรติ เป็นต้น จนได้ผลิตภัณฑ์ เครื่องสำอาง จาก สมุนไพรไทย DSC Laboratory ที่มีมาตรฐาน น่าเชื่อถือ ได้ผลจริง และผ่านการผลิตที่ได้รับมาตรฐานในระดับสากลอีกด้วย
ผลิตภัณฑ์ เครื่องสำอาง จาก สมุนไพรไทย DSC คุณมั่นใจได้ว่าผลิตภัณฑ์ของเรา เป็นสินค้าที่มีมาตรฐาน ปลอดภัย ปราศจากสารเคมีอันตราย ไม่มีผลข้างเคียง ใช้แล้วเห็นผลได้จริง สามารถพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์ได้ และเป็นผลิตภัณฑ์ของคนไทยอย่างแท้จริง
ตัวอย่างผลิตภัณฑ์ เครื่องสำอาง จาก สมุนไพรไทย DSC Laboratory
ครีมทาฝ้า Skin Lightening Cream
ครีมทาสิว
ครีมชะลอริ้วรอยสูตรธรรมชาติ 98%
ครีมมาส์คหน้าบัวหิมะ
ครีมกระชับทรวงอก
ครีมกระชับสัดส่วน
ครีมกันแดด สูตรธรรมชาติ SPF30 PA+++
โลชั่นล้างเครื่องสำอาง
อื่น ๆ
อ้างอิงจาก http://thai-herbal-cosmetic.blogspot.com/2010/06/test.html
นายภูริภัทร บุญนิล รหัส 52SP2760028 ตอนเรียน ZA
นาย วนศักดิ์ กสินศักดิ์ ID 52SP2760055
ตอบลบงานวิจัยพาเสียว พบสารเคมีก่อมะเร็งใน "ถุงยาง"
หลั่งทันทีที่สัมผัสกับของเหลวจากร่างกาย เสี่ยงโรคร้ายระบบทางเดินหายใจ ปอด ตับ อย. สั่งเก็บตัวอย่างตรวจสอบด่วน พร้อมเตือนอย่าเพิ่งตกใจ ต้องศึกษาให้รอบคอบ
รายงานข่าวจากประเทศเยอรมนี แจ้งว่า นักวิทยาศาสตร์ชาวเยอรมนีได้เปิดเผยผลการศึกษาล่าสุด "เรื่องถุงยางอนามัย" โดยระบุว่าถุงยางอนามัยจำนวนมากมีส่วนผสม ของสารเคมีที่เป็นสาเหตุสำคัญให้เกิดโรคมะเร็งประกอบอยู่ โดยนักวิทยาศาสตร์จากสถาบันวิจัยเคมี ประเทศเยอรมนี กล่าวว่า จากการศึกษาถุงยางอนามัยชนิดต่างๆ จำนวน 29 ชนิด ใน 32 ประเภท พบสารเคมี Carcinogen N-Nitrosamine ซึ่งสารดังกล่าวเป็นสาเหตุสำคัญที่จะก่อให้เกิดโรคมะเร็ง
โดยสาร Carcinogen N-Nitrosamine นั้น นำมาใช้เพื่อให้ถุงยางอนามัยมีความยืดหยุ่นดีขึ้น ทั้งนี้ เมื่อวัสดุที่เป็นยางมาสัมผัสกับของเหลวจากร่างกาย จะทำให้ปล่อยสาร N-Nitrosamine ออกมา นอกจากนั้นหากใช้ถุงยางอนามัยเป็นประจำทุกวัน จะทำให้เกิดการสะสมของสาร N-Nitrosamine ในปริมาณมาก และยิ่งจะเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคมะเร็งมากกว่าการบริโภคอาหารที่มีสาร N-Nitrosamine ประกอบอยู่ถึง 3 เท่า
น.พ.สถาพร วงษ์เจริญ รองเลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) กล่าวว่า ต้องมีการนำงานวิจัยฉบับเต็มมาศึกษาโดยรอบคอบ และต้องมีการเก็บตัวอย่างถุงยางอนามัยที่จำหน่ายอยู่ในท้องตลาดมาตรวจสอบดูว่ามีส่วนผสมของสาร N-Nitrosamine หรือไม่ ซึ่งสารชนิดนี้เป็นสารก่อมะเร็งในระบบทางเดินปัสสาวะ มะเร็งตับ มะเร็งปอด แต่ต้องได้รับการสะสมในระยะยาวจึงจะก่อโรค ทั้งนี้ แม้จะมีสารดังกล่าวอยู่ในถุงยางอนามัยจริง ก็ยังต้องดูว่าขณะที่ใช้งาน ระหว่างการเสียดสี มีสารหล่อลื่นออกมา จะมีส่วนใดละลายไปติดบนร่างกายของทั้งฝ่ายชายและฝ่ายหญิงหรือไม่
"แต่เท่าที่ผ่านมาในประเทศไทย ยังไม่เคยมีรายงานว่าพบสารตัวนี้ในถุงยางอนามัย จึงไม่อยากให้ประชาชนตระหนกตกใจ และถึงมีจริงก็ใช่ว่าจะละลายมาติดตัวได้ง่ายๆ โดยปกติสารชนิดนี้ใช้ฉีดลงไปในเนื้อหมู เนื้อสัตว์ เพื่อให้มีสีสันน่ารับประทาน แต่เป็นสารที่ต้องควบคุม เพราะหากได้รับในปริมาณมากก็จะก่อมะเร็งได้" รองเลขาธิการ อย. ระบุ
ด้าน น.พ.สมทรง รักษ์เผ่า อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กล่าวว่า ในถุงยางอนามัยหากแยกสารเคมีที่เป็นส่วนประกอบออกมา มีเป็นแสนๆ ชนิด และหากกล่าวถึงสารเคมีชนิดนี้ จึงมีความเป็นไปได้ที่จะเกิดมะเร็ง แต่ก็ไม่ใช่จะเกิดขึ้นได้ง่ายๆ โดยเฉพาะถุงยางอนามัยขณะที่ใช้งาน ไม่มีส่วนใดละลายไปติดกับส่วนใดส่วนหนึ่งของทั้งผู้ชาย ผู้หญิง และไม่เคยมีรายงานว่าคนใช้ถุงยางอนามัยมีเปอร์เซ็นต์ของการเป็นมะเร็งสูงกว่าคนที่ไม่ใช้ถุงยาง มีแต่รายงานว่าผู้ชายที่ไม่ใช้ถุงยางนำเชื้อไวรัส HPV ซึ่งเป็นต้นเหตุของมะเร็งปากมดลูกมาสู่ผู้หญิง รวมทั้งโรคอื่นๆ.
ที่มา : http://www.mango-mag.com/mm/board/read.php?qid=1124&type=board&cat=02
นายกันตณัฐ อินทร์ศรี รหัส 52SP2760032 ZA
ตอบลบนักวิจัยเมืองผู้ดีค้นพบว่า ผลไม้มีปริมาณสารเคมีโพลีฟีนอลสูงกว่า ที่เคยบันทึกไว้แต่ก่อนถึง 5 เท่า เพราะการย่อยได้สลายเป็นสารอาหารที่ให้คุณต้านอนุมูลอิสระ...
คณะนักวิทยาศาสตร์ได้นำเอาคุณสมบัติของผลไม้ต่างๆไปวิเคราะห์ใหม่ และได้พบว่าผลไม้อย่าง ลูกแอปเปิ้ล ล้วนแต่มีสารต่อต้านอนุมูลอิสระสำคัญในระดับสูงกว่า ที่เคยคาดผิดไว้แต่เมื่อก่อน คณะวิเคราะห์ได้ศึกษาที่สถาบันวิจัยอาหารในเมืองนอรวิชของอังกฤษ ได้รู้ว่า ผลไม้เหล่านั้นมีปริมาณของสารเคมีโพลีฟีนอลชั้นสูง มากกว่าที่เคยบันทึกไว้แต่ก่อนถึง 5 เท่า
ดร.ปอล ครูน กล่าวว่า สารประกอบเหล่านี้ในมนุษย์ จะถูกแบคทีเรียในลำไส้ย่อยสลายกลายเป็นสารในกระบวนการสร้างและสลายที่ให้คุณ
อย่างเช่นในด้านต่อต้านอนุมูลอิสระ รายงานผลการวิจัย ซึ่งเผยแพร่ในวารสารเคมีการเกษตรและอาหารของสหรัฐฯ ได้แสดงว่าสารเคมีซึ่งปกตินักเคมีอาหารมองข้ามไปนั้น แท้จริงเป็นส่วนสำคัญของอาหารบำรุงร่างกาย.
From: http://variety.teenee.com/science/16954.html
นาย วัชรกร อุดมกฤตยา 52SP2760043 ZA
ตอบลบงานวิจัยสิ่งแวดล้อมทางทะเล
งานสิ่งแวดล้อมทางทะเล มีหน้าที่ในการศึกษา ค้นคว้า และวิจัยเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงคุณภาพสิ่งแวดล้อมทางทะเล โดยเฉพาะในบริเวณชายฝั่งภาคตะวันออก โดยมีเป้าหมายสูงสุดเพื่อการจัดการมลภาวะชายฝั่งทะเลแบบบูรณาการ และมีขอบเขตความรับผิดชอบ ดังนี้
1. การติดตามตรวจสอบคุณภาพสิ่งแวดล้อมในทะเล ทางกายภาพ เคมี และชีวภาพ ในน้ำทะเล ดินตะกอน และสิ่งมีชีวิต ตลอดจนศึกษาปัญหามลพิษทางทะเล
2. การศึกษาผลกระทบของสารมลพิษต่อสิ่งมีชีวิตในทะเลและการประเมินผลกระทบ รวมทั้งการแจ้งเตือนความเสื่อมโทรมของคุณภาพสิ่งแวดล้อมทางทะเล
3. การฟื้นฟูคุณภาพสิ่งแวดล้อมทางทะเลเพื่อการดำรงชีวิตที่ดีของสิ่งมีชีวิตในทะเล
4. การให้บริการตรวจสอบคุณภาพสิ่งแวดล้อมทางทะเล
งานสิ่งแวดล้อมทางทะเล แบ่งออกเป็น 4 หน่วยย่อย ดังนี้
1. หน่วยสมุทรศาสตร์
2. หน่วยพิษวิทยาทางน้ำและการประเมินความเสี่ยง
3. หน่วยฟื้นฟูคุณภาพสิ่งแวดล้อม
4. หน่วยบริการวิเคราะห์ตัวอย่าง
ลักษณะงานที่ปฏิบัติ
1.หน่วยสมุทรศาสตร์ มีหน้าที่ในการศึกษา ค้นคว้า วิจัยเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงคุณภาพสิ่งแวดล้อมในทะเลทางกายภาพ เคมี และชีวภาพ เช่น อุณหภูมิ ตะกอนแขวนลอย ความเค็ม ความเป็นกรด-ด่าง ออกซิเจนละลายน้ำ ธาตุอาหารปริมาณน้อย โลหะหนัก ยาปราบศัตรูพืชและสัตว์ สารประกอบไฮโดรคาร์บอน โคลิฟอร์มแบคทีเรีย เป็นต้น การเฝ้าระวังและติดตามตรวจสอบการปนเปื้อนของสารมลพิษในน้ำทะเล ดินตะกอน และสิ่งมีชีวิตในทะเล การศึกษาเส้นทางการเดินและการเปลี่ยนแปลงรูปแบบของสารมลพิษในทะเล รวมทั้งการศึกษาสภาวะแวดล้อมในทะเลที่มีผลต่อการแพร่กระจายและความชุกชุมของสิ่งมีชีวิต โดยเฉพาะแพลงก์ตอนพืชและแพลงก์ตอนสัตว์ และความอุดมสมบูรณ์ในทะเล
2.หน่วยพิษวิทยาทางน้ำ มีหน้าที่ในการศึกษา ค้นคว้า และวิจัยเกี่ยวกับความเป็นพิษของสารมลพิษบางชนิดต่อสิ่งมีชีวิตที่สำคัญในทะเล ทั้งความเป็นพิษแบบเฉียบพลันและพิษแบบเรื้อรัง การใช้ดัชนีทางชีวภาพในการติดตามตรวจสอบมลภาวะ (bioindicator) การประเมินความเสี่ยงต่อระบบนิเวศวิทยาทางทะเล และการประเมินความเสี่ยงของสารมลพิษที่มีต่อสุขภาพอนามัยของมนุษย์ รวมทั้งการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมทางทะเล
3.หน่วยฟื้นฟูคุณภาพสิ่งแวดล้อม มีหน้าที่ในการศึกษา ค้นคว้า และวิจัยเกี่ยวกับการลดความเป็นพิษของสารมลพิษบางชนิดในทะเล โดยใช้เทคนิคทางกายภาพ เคมี และ/หรือชีวภาพ เช่น การใช้สิ่งมีชีวิตหรือสิ่งไม่มีชีวิตในการดูดซับสารมลพิษออกจากน้ำทะเล การใช้แบคทีเรียในการขจัดคราบน้ำมัน เป็นต้น
4.หน่วยบริการวิเคราะห์ตัวอย่าง มีหน้าที่สำคัญในการรับบริการตรวจวิเคราะห์ตัวอย่างสิ่งแวดล้อมทางทะเล ได้แก่ น้ำทะเล ดินตะกอน และสิ่งมีชีวิต ให้กับผู้ขอใช้บริการทั้งจากหน่วยงานภายในและภายนอกสถาบันฯ เช่น สถานเลี้ยงสัตว์น้ำเค็ม เกษตรกรผู้เลี้ยงกุ้ง เป็นต้น
นาย สิทธิชัย ทับเทศ 52SP2760029
ตอบลบงานวิจัยเรื่อง การพัฒนาทักษะการอ่านคำศัพท์ภาษาอังกฤษของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5
จากการประเมินการอ่าน คิดวิเคราะห์ และเขียน ตามแนวทางปฏิรูปการเรียนรู้ในกลุ่มสาระการเรียนรู้
ภาษาอังกฤษ ครั้งที่ 1 ตามแผนปฏิบัติงาน การประเมิน ปพ.5/1 ของโรงเรียน เมื่อสอนจบหน่วยการเรียนรู้ที่
2 เรื่อง My family พบว่า นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 จำนวน12 คน ไม่ผ่านการประเมิน การวิจัยในชั้น
เรียนนี้จึงมีวัตถุประสงค์และเป้าหมายของการวิจัยเพื่อแก้ไขปัญหาการอ่านคำศัพท์ภาษาอังกฤษของนักเรียนชั้น
ประถมศึกษาปีที่5โรงเรียนเทศบาล1นาเริ่งราษฎร์บำรุง โดยมีเป้าหมายให้นักเรียนที่ไม่ผ่านการประเมิน สามารถ
อ่านคำศัพท์ หน่วยการเรียนรู้ที่ 2 เรื่อง My family ได้คะแนนผ่านเกณฑ์ ระดับ 1 ขึ้นไปทุกคน
เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยได้แก่บัตรคำศัพท์ 3 ชุดๆละ 9 คำรวม 27 คำ Fishing Game ฝึกอ่าน
คำศัพท์ 3 ชุดๆ ละ 9 คำ Bingo Game ฝึกอ่านคำศัพท์ 3 ชุดๆ ละ 9 คำ แบบบันทึกการสอบอ่านคำศัพท์
ภาคปฏิบัติ แบบทดสอบการอ่านคำศัพท์ภาคความรู้ และ แบบสังเกตพฤติกรรมการอ่าน (ระเบียนพฤติกรรม )
ดำเนินการวิจัยโดยใช้เวลาช่วงพักกลางวันในการเก็บรวบรวมข้อมูลทั้ง สิ้น 18 วัน โดยให้นักเรียน
ฝึกอ่านและบอกความหมายคำศัพท์ ชุดที่ 1 ด้วยการเล่นเกม Bingo 2 วัน ฝึกซ้ำด้วย Fishing Game โดยใช้
คำศัพท์ชุดเดิมอีก 2 วันและครูฝึกเพิ่มเติมตามความจำเป็น วันที่ 5 จึง ทดสอบอ่านคำศัพท์ภาคปฏิบัติ ชุดที่ 1
จำนวน 9 คำ โดยครูแจ้งเกณฑ์การประเมินผลการอ่านก่อนสอบ ครูบันทึกผล และแจ้งผลการประเมิน ให้
นักเรียนทราบตามระดับความสามารถที่ตั้งเกณฑ์ไว้ แล้วฝึกอ่านคำที่นักเรียนอ่านยังไม่ได้อีกครั้ง ในวันที่ 6
ของการฝึกให้นักเรียนทำแบบทดสอบการอ่านคำศัพท์ภาคความรู้ ชุดที่ 1 จำนวน 9 คำแล้วตรวจให้คะแนนคำ
ละ1คะแนน โดยสังเกตพฤติกรรมของนักเรียนในขณะปฏิบัติกิจกรรม และจดบันทึกทุกครั้งลงในระเบียน
พฤติกรรมเพื่อนำข้อมูลไปใช้ในการปรับปรุงการพัฒนาการสอนอ่านคำศัพท์ตรั้งต่อไป ดำเนินการฝึกอ่านและ
บอกความหมายคำศัพท์ ชุดที่ 2 ชุดละ 9คำและชุดที่ 3ชุดละ 9คำ ในวันที่ 7 – 12 และวันที่13 – 18 ตามลำดับ
ผลการวิจัยปรากฏว่า. ผลจากการทดสอบการอ่านคำศัพท์ ภาคปฏิบัติ โดยการอ่านคำศัพท์ ครั้งละ
9 คำ ทั้ง 3 ครั้ง พบว่า โดยเฉลี่ยนักเรียนอ่านคำศัพท์ได้ตามเกณฑ์ที่ตั้งไว้ โดยอ่านได้ในระดับ 1 ขึ้นไปทุก
คน และผลการทดสอบการอ่านคำศัพท์โดยใช้แบบทดสอบภาคความรู้ทั้ง 3 ครั้งๆละ9คำ พบว่า นักเรียนได้
คะแนนร้อยละ 50 ขึ้นไป ซึ่งถือว่าสอบผ่านทุกคน ส่วนผลการสังเกตพฤติกรรมการอ่าน พบว่า ปัญหาในการ
อ่านคำศัพท์ของนักเรียนคือ นักเรียนไม่กล้าออกเสียง ทั้งนี้อาจเป็นเพราะครู ไม่ได้ฝึกทักษะการอ่านคำศัพท์ให้
นักเรียนมากเพียงพอ ขณะสอนปกติในห้องเรียน ทำให้อ่านไม่คล่อง ส่วนการฝึกอ่านคำศัพท์ด้วยเกม ทำให้
นักเรียน สนุกสนานและกระตือรือร้น อยากอ่านมากขึ้น โดยเฉพาะการฝึกด้วย Bingo game และ Fishing
game ที่เล่นเป็นกลุ่มทำให้นักเรียนกล้าที่จะออกเสียงและฝึกบอกความหมายมากขึ้น
นาย ธฤต อมาตยกุล 52SP2760041 ZA
ตอบลบผลงานวิจัยทางวิทยาศาสตร์ของญี่ปุ่นลดลง แต่จีนเพิ่มขึ้น
วันพุธ ที่ 23 มิ.ย. 2553 ฮ่องกง 23 มิ.ย. - ตามรายงานที่เผยแพร่โดยสำนักข่าวธอมสัน รอยเตอร์ ระบุว่า ผลงานทางวิทยาศาสตร์ของนักวิจัยชาวญี่ปุ่น มีจำนวนน้อยลงกว่าในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ในขณะที่ผลงานวิจัยของจีน กลับมีจำนวนเพิ่มขึ้น 4 เท่า
รายงานชี้ให้เห็นว่า สัดส่วนของประเทศมหาอำนาจทางเศรษฐกิจอย่าง ญี่ปุ่น สหรัฐ อังกฤษ ในโลกวิชาการทางวิทยาศาสตร์มีจำนวนลดลง ในขณะที่ประเทศกำลังพัฒนาเช่นจีน กลับขยายเพิ่มขึ้นมากในด้านนี้
โดยญี่ปุ่น ผลิตรายงานการวิจัยทั้งหมด 78,500 ฉบับ ในปี 2552 เพิ่มขึ้นเล็กน้อยจาก 72,000 ฉบับ ในปี 2543 ในขณะที่รายงานจากจีน มีมากถึง 125,000 ฉบับ ในปี 2552 เกือบเป็น 4 เท่า ของปี 2543
สำหรับส่วนแบ่งของญี่ปุ่น ในการผลิตงานวิจัยของโลก ตกลงเหลือ 6.75% ในปี 2552 จาก 9.45% ในปี 2552 เช่นเดียวกับสหรัฐ ที่สัดส่วนตกลงเหลือ 28.5% ในปี 2552 จาก 33.5% ในปี 2543 และอังกฤษ ตกลง 7.68% จาก 9.43% ในช่วงเวลาเดียวกัน
รายงานที่มุ่งศึกษาผลงานการวิจัยทางวิทยาศาสตร์ของญี่ปุ่น ในช่วง 10 ปี ที่ผ่านมา ได้กระตุ้นให้นักวิทยาศาสตร์ของญี่ปุ่น ทำงานร่วมกับนักวิทยาศาสตร์ในภูมิภาค โดยนายโจนาธาน อดัมส์ ผู้อำนวยการประเมินผลงานวิจัยของบริษัทธอมสัน รอยเตอร์ ระบุว่า ปัจจัยที่ทำให้ผลงานของญี่ปุ่นตกต่ำลง เป็นเพราะอัตราความร่วมมือระหว่างประเทศมีน้อย เนื่องจากนักวิจัยถูกผลักดันให้ดำเนินกิจกรรมภายในประเทศแทนโอกาสในการสร้างสรรค์นวัตกรรมใหม่ร่วมกับประเทศเพื่อนบ้านที่กำลังพัฒนาไปอย่างรวดเร็ว และว่าการวิจัยของญี่ปุ่น มุ่งไปที่สาขาฟิสิกซ์ และผลิตผลงานวิจัยประมาณ 54,800 ฉบับ ระหว่างปี 2548-2552 หรือ 11% ของผลงานวิจัยรวมทั้งโลก. -สำนักข่าวไทย
นางสาวจันจิรัตน์ เรืองคง 52SP2760012 ZA นิเทศศาสตร์
ตอบลบการพัฒนาอาหารนกกระจอกเทศ
โอสถ นาคสกุล 1 คัมภีร์ ภักดีไทย 1 ศุภชัย อุดชาชน 1 จีระวัชร์ เข็มสวัสดิ์ 2
อุดมศรี อินทรโชติ 3 วีระศักดิ์ คันธอุลิศ 3 และ Anders Friestad 4
บทคัดย่อ
การศึกษานี้ดำเนินขึ้นเพื่อทราบผลของระดับโปรตีนในสูตรอาหารต่อสมรรถนะการเจริญเติบโตของนกกระจอกเทศและการทดสอบสูตรอาหารในระดับฟาร์ม การดำเนินงานแบ่งออกเป็น 2 ส่วน ส่วนที่ 1 ใช้ลูกนกกระจอกเทศของศูนย์วิจัยและบำรุงพันธุ์สัตว์กบินทร์บุรี อายุ 1-7 วัน จำนวน 18 ตัว จัดแบ่งลูกนกออกเป็นคู่ๆ แต่ละคู่มีอายุและน้ำหนักตัวใกล้เคียงกัน ให้อาหารทดลองที่มีโปรตีนแตกต่างกันตามช่วงอายุ( 0-3 เดือน และ 3-6 เดือน ) คือ อาหารที่มีระดับโปรตีน 26-22 และ 22-19% ส่วนที่ 2 นำอาหารที่ทราบผลการทดสอบแล้วไปทดสอบและปรับสูตรอาหารให้เหมาสมตามที่ฟาร์มนกกระจอกเทศปากช่องและศูนย์วิจัยและบำรุงพันธุ์สัตว์กบินทร์บุรีต้องการ การทดสอบส่วนที่1 ผลการทดสอบ พบว่า ในช่วงอายุ 0-3 เดือน นกระจอกเทศที่ได้รับอาหารที่มีระดับโปรตีน 26 และ 22% เมื่ออายุ 3 เดือน มีน้ำหนักตัว 28.13 และ 25.64 กิโลกรัมต่อตัว น้ำหนักเพิ่ม 27.35 และ 24.80 กิโลกรัมต่อตัว ปริมาณอาหารที่กิน 53.42 และ 61.51 กิโลกรัมต่อตัว อัตราการแลกเนื้อ 1.95 และ 2.48 และมีต้นทุนค่าอาหาร 486.66 และ 491.70 บาทต่อตัว ตามลำดับ ในช่วงอายุ 0-6 เดือน นกระจอกเทศที่ได้รับอาหารที่มีระดับโปรตีน 26-22 และ 22-19% เมื่ออายุ 6 เดือน มีน้ำหนักตัว 71.40 และ 72.90 กิโลกรัมต่อตัว น้ำหนักเพิ่ม 70.62 และ 72.06 กิโลกรัมต่อตัว ปริมาณอาหารที่กิน 195.45 และ 230.38 กิโลกรัมต่อตัว อัตราการแลกเนื้อ 2.77 และ 3.20 และมีต้นทุนค่าอาหาร 1,621.48 และ 1,705.16 บาทต่อตัว หรือ มีค่า 22.96 และ 23.66 บาทต่อกิโลกรัมของน้ำหนักเพิ่ม ตามลำดับ การทดสอบส่วนที่ 2 พบว่า นกกระจอกเทศของฟาร์มนกกระจอกเทศที่ใช้อาหารทดสอบของศูนย์วิจัยและพัฒนาอาหารสัตว์นครราชสีมามีน้ำหนักตัวสูงกว่า ปริมาณอาหารที่กินมากกว่า อัตราการแลกเนื้อดีกว่า อัตราการรอดตายสูงกว่า และมีโครงสร้างของกระดูกที่แข็งแรงกว่าอาหารสำเร็จรูปอื่นๆที่ใช้ทดสอบ ฟาร์มนกกระจอกเทศปากช่องพอใจในสูตรอาหารโดยไม่มีการปรับสูตรอาหารที่นำไปทดสอบและให้ศูนย์วิจัยและพัฒนาอาหารสัตว์นครราชสีมาผลิตอาหารตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2546 ถึง กุมภาพันธ์ 2547 จำนวน 24,700 กิโลกรัม อาหารทดสอบที่ศูนย์วิจัยและบำรุงพันธุ์สัตว์กบินทร์บุรีได้ปรับสูตรอาหารให้นกกระจอกเทศกินอาหารได้มากขึ้น โดยที่ไม่มีการปรับระดับของโภชนะในสูตรอาหาร อาหารที่ศูนย์วิจัยและพัฒนาอาหารสัตว์นครราชสีมาผลิตจำเป็นต้องปรับสูตรให้สามารถผลิตได้สะดวกและรวดเร็วขึ้น
เอกสารวิชาการเลขที่
1 ศูนย์วิจัยและพัฒนาอาหารสัตว์นครราชสีมา 2 กองอาหารสัตว์ กรมปศุสัตว์
น.ส. กรกนก ยุพการนนท์ 52SP2760045 - ZA
ตอบลบกรมอนามัยวิจัย 10 ผลไม้ไทย มีสารต้านมะเร็งสูง นางนัทยา จงใจเทศ นักวิทยาศาสตร์การแพทย์ กองโภชนาการ กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กล่าวว่า จากการทำวิจัย "องค์ความรู้เรื่องปริมาณสารต้านอนุมูลอิสระในผลไม้เพื่อส่งเสริมสุขภาพ (วิตามินซี วิตามินอี และ เบต้าแคโรทีน) ในผลไม้" ที่ทำการศึกษาในผลไม้ 83 ชนิด พบว่า
ผลไม้ 10 อันดับแรกที่มีเบต้าแคโรทีนสูงคือ
1. มะม่วงน้ำดอกไม้สุก
2. มะเขือเทศราชินี
3. มะละกอสุก
4. กล้วยไข่
5. มะม่วงยายกล่ำ
6. มะปรางหวาน
7. แคนตาลูปเนื้อเหลือง
8. มะยงชิด
9. มะม่วงเขียวเสวยสุก
10. สับปะรดภูเก็ต
ผลไม้ทั้งหมดนี้มีเนื้อสีเหลืองและสีเหลืองเข้ม
ส่วนผลไม้ที่ไม่มีเบต้าแคโร ทีนเลย
1. แก้วมังกร
2. มะขามเทศ
3. มังคุด
4. ลิ้นจี่
5. สาลี่
ส่วน 10 อันดับแรกของผลไม้ที่มีวิตามินซีสูงคือ
1. ฝรั่งกลมสาลี่
2. ฝรั่งไร้เมล็ด
3. มะขามป้อม
4. มะขามเทศ
5. เงาะโรงเรียน
6. ลูกพลับ
7. สตรอเบอร์รี่
8. มะละกอสุก
9. ส้มโอขาว
10. แตงกวา
11. พุทราแอปเปิล
การศึกษานี้พบผลไม้ที่มีวิตามินอีสูง 10 อันดับแรกคือ
1. ขนุนหนัง
2. มะขามเทศ
3. มะม่วงเขียวเสวยดิบ
4. มะเขือเทศราชินี
5. มะม่วงเขียวเสวยสุก
6. มะม่วงน้ำดอกไม้สุก
7. มะม่วงยายกล่ำสุก
8. แก้วมังกรเนื้อสีชมพู
9. สตรอเบอร์รี่
10. กล้วยไข่
ผลไม้ที่มีเบต้าแคโรทีน วิตามินซี และวิตามินอีน้อยทั้ง 3 ตัว คือ สาลี่ องุ่น และแอปเปิล
ส่วนผลไม้ที่มีสารทั้ง 3 ตัว ค่อนข้างสูงคือ มะเขือเทศราชินี
ทั้งนี้ เบต้าแคโรทีน วิตามินซีและอี เป็นกลุ่มของสารอาหารที่ช่วยกำจัดอนุมูลอิสระที่ก่อให้ร่างกายเกิดการอักเสบ ทำลายเนื้อเยื่อ เกิดต้อกระจกในผู้สูงอายุ โรคมะเร็ง โรคหัวใจและหลอดเลือด สารทั้ง 3 ตัว โดยเฉพาะ เบต้าแคโรทีนจะช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน ยับยั้งการก่อกลายพันธุ์ ป้องกันเนื้องอก ลดความเสี่ยงการเป็นต้อกระจก มะเร็งและหัวใจได้
จึงควรรับประทานผลไม้ในปริมาณมากพอสมควรทุกวัน หรืออย่างน้อยวันละ 4 ส่วนของอาหารที่รับประทาน เพื่อสุขภาพที่ดี
ที่มา : http://www.edtguide.com/dontmiss/activity_detail.php?id=2327
นายสาธิต แก้วสวี รหัส 52SP2760046 ZA
ตอบลบโครงการค้นคว้าวิจัย “ อาหารทะเลเพื่อสุขภาพ”
สหภาพยุโรป (EU) ได้ให้เงินสนับสนุนจำนวน 26 ล้าน US แก่โครงการวิจัยเกี่ยวกับอาหารทะเลที่มีชื่อว่า “SEAFOODplus” โครงการวิจัยนี้จะมุ่งเน้นถึงความต้องการของผู้บริโภคที่เน้นสุขภาพ ผลิตภัณฑ์ที่ปลอดภัยที่ได้จากวิธีการและกระบวนการที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมและยั่งยืน นี่เป็นครั้งแรกและเป็นโครงการที่ใหญ่ที่สุดที่ได้รับการสนับสนุนจากสหภาพยุโรป โครงการนี้มีระยะเวลา 4 ปีครึ่ง ซึ่งจะทำการศึกษาใน 4 ประเด็น คือ ส่วนประกอบของอาหารมีอิทธิพลต่อคุณภาพของสัตว์น้ำอย่างไร องค์ประกอบที่หายไประหว่างการผลิต การใช้ประโยชน์จากของเหลือทิ้ง ประโยชน์ของผลิตภัณฑ์สัตว์น้ำต่อสุขภาพนอกเหนือไปจากกรดไขมันโอเมกา-3 นอกจากนั้นยังศึกษาลึกเข้าไปถึงระบบการทวนสอบย้อนกลับตั้งแต่ปลาสดไปจนถึงผลิตภัณฑ์ที่พร้อมจะบริโภคหรือที่รู้จักกันทั่วไปว่า จากฟาร์มถึงช้อนส้อม (Farm to Fork) โครงการนี้มีนักวิจัยประมาณ 70 คน จาก 16 ประเทศสมาชิกสหภาพยุโรปทั้งจากสถาบันวิจัยต่างๆ และบริษัทขนาดกลางและขนาดย่อมโดยมี Dr. Torger Borreson ซึ่งเป็นนักวิจัยด้านอาหารทะเลจากประเทศเดนมาร์ก เป็นหัวหน้าโครงการ และมีผู้เชี่ยวชาญสนับสนุนอีก 12 คน ครอบคลุมพื้นที่โครงการทั้งหมด
ที่มา http://www.infofish.org/cf/board/board.cfm วันที่ 5/03/2004
นางสาว กรพินธ์ จิตรมั่น 52SP2760014 ตอนเรียน ZA
ตอบลบเชื่อหรือไม่ว่า ช็อคโกแลต บางชนิดช่วยแก้ไอได้
ดาร์กช็อคโกแลต ที่มีสาร ธีโอโบรไมน์
ซึ่งจะไปออกฤทธิ์ที่เส้นประสาทชื่อ เวกัสเนอร์ฟ ที่ทำหน้าที่เกี่ยวกับการไอ ทำให้ ผู้ที่รับประทานช็อกโกแลตเป็นประจำ สามารถหยุดอาการไอเรื้อรังอย่างได้ผล
บีบีซีนิวส์ – นักวิจัยชาวสก็อตและเมืองมักกะโรนีเผยผลงานวิจัยสวนกระแสกับบรรดาคอช็อกโกแลตที่ว่า ดาร์กช็อกโกแลตจะมีสารต่อต้านอนุมูลอิสระที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย มากกว่าช็อกโกแลตใส่นมที่มีสีอ่อนกว่า พร้อมเตือน ถึงแม้มีผลดีแต่ก็ไม่ให้กินในปริมาณมากเกินไป
นักวิจัยในสกอตแลนด์และในอิตาลีเปิดเผยผลการวิจัยที่ว่าช็อกโกแลตแท้ที่ไม่ผสมนม (ดาร์กช็อกโกแลต)จะมีประโยชน์ต่อร่างกายมากกว่าช็อกโกแลตที่ผสมนม เนื่องจากว่าช็อกโกแลตสีเข้มจะมีสารต่อต้านอนุมูลอิสระมากกว่า ซึ่งสารนี้จะช่วยป้องกันไม่ให้อนุมูลอิสระที่อาจจะก่อตัวขึ้นบริเวณหัวใจและหลอดเลือด โดยนักวิจัยได้ระบุว่านมที่ผสมอยู่ในช็อกโกแลตอาจจะไประงับสารต่อต้านอนุมูลอิสระที่มีอยู่ในช็อกโกแลต
นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยกลาสโกว์ร่วมมือกับนักวิจัยของสถาบันวิจัยทางด้านอาหาร และโภชนาการของอิตาลีได้ศึกษาประโยชน์ ที่แตกต่างกันระหว่างดาร์กช็อกโกแลตกับช็อกโกแลตผสมนม ที่ได้รับการตีพิมพ์ในวารสารเนเจอร์ โดยก่อนหน้านี้มีผลงานวิจัยที่ศึกษาเพียงแต่ว่าช็อกโกแลตจะช่วยป้องกันไม่ให้เกิดโรคหัวใจและโรคมะเร็ง แต่ยังไม่มีงานวิจัยใดที่ศึกษาความแตกต่างระหว่างดาร์กช็อกโกแลตกับช็อกโกแล็ตที่ผสมนม
นักวิจัยได้คัดเลือกอาสาสมัครที่มีสุขภาพดีเป็นชาย 4 คนและหญิง 7 คน โดยให้อาสาสมัครทั้งหมดทานดาร์กช็อกโกแลตและช็อกโกแลตผสมนม โดยนักวิจัยให้อาสาสมัครที่มีอายุระหว่าง 25 – 35 ปีทานช็อกโกแลตผสมนมเป็นสองเท่าของอาสาสมัครคนอื่นๆ ซึ่งนักวิจัยพบว่าอาสาสมัครที่ทานช็อกโกแลตนมเป็นสองเท่าจะได้รับสารต่อต้านอนุมูลอิสระ ในปริมาณที่เท่ากับคนที่ทานช็อกโกแลตทั้งสองอย่างเท่ากัน
นอกจากนี้นักวิจัยยังเฝ้าสังเกตผลที่เกิดจากการให้อาสาสมัครทานดาร์กช็อกโกแลตพร้อมกับดื่มนมในเวลาเดียวกัน ซึ่งพบว่านมจะทำให้สารอนุมูลอิสระในช็อกโกแลตมีปริมาณลดลงเหลือเพียงแค่ร้อยละ 20 เท่านั้น โดยศาสตราจารย์ อลัน โครเซียร์นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยกลาสโกว์เผยว่าโปรตีนในนมจะทำให้ร่างกาย ไม่สามารถดูดซึมสารอนุมูลอิสระได้อย่างเต็มที่ ทั้งนี้รวมถึงสารอนุมูลอิสระที่อยู่ในอาหารอื่น เช่น ผลไม้ ชา หรือไวน์แดง เป็นต้น
ศาสตราจารย์โครเซียร์ได้กล่าวเตือนบรรดาคอช็อกโกแลตทั้งหลายว่า ถึงแม้อาจจะมองเห็นถึงประโยชน์ของช็อกโกแลตว่ามีสารต่อต้านอนุมูลอิสระ แต่ช็อกโกแลตนี้เองไม่ว่าใส่นมหรือไม่ใส่นมก็ยังมีไขมันอิ่มตัวในปริมาณมาก ซึ่งอาจจะทำให้คลอเรสเตอรอลที่เป็นสาเหตุหนึ่งของโรคหัวใจมีปริมาณเพิ่มมากขึ้นอีกด้วย โดยโครเซียร์แนะนำว่า ควรกินช็อกโกแลตหนึ่งแท่งเล็กๆต่อวันก็พอ และหากต้องการสารต่อต้านอนุมูลอิสระในปริมาณที่เท่ากับช็อกโกแลตหนึ่งแท่งก็ควรที่จะหัน ไปทานผลไม้หรือผักห้าชิ้นต่อวันแทนจะดีกว่า
http://dek-d.com/board/view.php?id=1727791
คำมั่นสัญญาด้านการวิจัยและการทดลองทางวิทยาศาสตร์ของยูนิซิตี้
ตอบลบยูนิซิตี้ อินเตอร์เนชั่นแนลได้อุทิศตนใหกับการพัฒนาผลิตภัณฑ์เพื่อการโภชนาการและสุขภาพให้ได้คุณภาพสูงสุด การเข้าถึงอย่างครอบคลุมในการพัฒนาผลิตภัณฑ์สามารถรับประกันได้ว่าสูตรที่เราคิดค้นขึ้นมีประสิทธิภาพ สมบูรณ์แบบ สมดุลและปลอดภัยแล้ว ผลิตภัณฑ์ทุกผลิตภัณฑ์ของเราต่างก็อยู่บนพื้นฐานของการวิจัยทางวิทยาศาสตร์อย่างดีเยี่ยม ด้วยส่วนผสมที่ได้รับการรับรองจากการศึกษาขงสถาบันการวิจัยมากกว่าหนึ่งแห่งซึ่งอยู่เบื้องหลังความมีประสิทธิภาพนี้ภายใต้การนำของผู้อำนวยการด้านวิทยาศาสตร์ของยูนิซิตี้ ดร.โทมัส คัลเลอร์ นักวิทยาศาสตร์ของเรามีความเพียรพยายามในการทบทวนการทดลองทางวิทยาศาสตร์และการศึกษาวิจัยเพื่อให้มั่นใจว่าส่วนผสมที่ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพมีปริมาณที่พอเหมาะเพื่อศักยภาพสูงสุด เมื่อทุกอย่างพอเหมาะอย่างเหมาะสมผลิตภัณฑ์ของยูนิซิตี้ผ่านการวิจัยขั้นแรก
นักวิทยาศาสตร์ของยูนิซิตี้ทำงานเป็นคู่กับนักวิจัยและนักเทคนิคของสถาบันวิจัยชั้นนำ มหาวิทยาลัย โรงพยาบาลในเครือข่ายของการวัยทางวิทยาศาสตร์ จากทวีปออสเตรเลียถึงเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และทวีปยุโรปถึงอเมริกา ความรับผิดชอบในเรื่องวิทยาศาสตร์เป็นที่ยอมรับในระดับสากล เนื่องจากเราเสนอผลงานทางวิทยาศาสตร์ของเราอย่าสมํ่าเสมอที่งานประชุมวิชาการยาและได้รับการลงชื่อในหนังสือ Physicians'Desk Reference อันทรงเกียรติ
เนื่องจากโภชนาการเป็นวิทยาศาสตร์ที่ไม่หยุดนิ่ง ผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ต้องได้รับการปรับปรุงให้ทันสมัยอยู่เรื่อยๆ เพื่อให้ทันกับการวิจัยและการพัฒนาทางด้านเทคโนโลยีที่ดีที่สุดในขณะนั้น ผลลัพธ์คือ นวัตกรรมเป็นหัวใจของผลิตภัณฑ์ การวิจัยอย่างต่อเนื่องของเราได้รวบรวมการศึกษาวิถีชีวิตของผู้บริโภคอย่างใกล้ชิดเพื่อให้เป็นการแน่ใจว่านวัตกรรมของเราคงความเป็นธุรกิจและในขณะเดียวกันก็คงคุณค่าทางด้านโภชนาการด้วย
มาตรฐานที่เยี่ยมยอดของเรา
คุณภาพและความปลอดภัยเป็นเครื่องหมายของสูตรที่คิดค้นขึ้นของยูนิซิตี้ ผลิตภัณฑ์ของเราผลิตขึ้นภายใต้แนวคิดของ GMP(Good Maunfacturing Practices) อย่างเข้มงวด ตามที่กำหนดไว้โดยกฎระเบียบขั้นตอนของรัฐบาล จากการวิจัยทางวิทยาศาสตร์และการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆเพื่อการผลิตและบรรจุภัณฑ์ ยูนิซิตี้ดูแลทุกขั้นตอนคุณภาพด้วยความเข้มงวด จากการค้นพบความแตกต่าง ด้วยมาตรฐานที่เยี่ยมยอดของเราจะช่วยให้คุณมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น และมีสุขภาพที่แข็งแรงขึ้น
ที่มา http://unicity.udeplaza.com/index.php?app=store&act=article&id=210
นางสาวอุไรวรรณ เอี่ยมพงษ์ 52SP2760051(ZA)
ตอบลบการดื่มนมทำให้เป็นสิว??
วัยรุ่นทั้งหลายต่างถูกกระตุ้นให้ดื่มนมเพื่อเสริมสร้างกระดูกให้แข็งแรง ... ว่าแต่นมนั้นทำให้เกิดผลข้างเคียงอันตรายใด ๆ ต่อร่างกายหรือเปล่า?? แพทย์ผิวหนังหลายคนเชื่อว่านมและผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ที่ได้จากนมนั้นอาจสามารถเป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้เกิดสิวได้
นิตยสารของ American Academy of Dermatology รายงานว่านมพร่องมันเนย (Skim milk) กับสิวนั้นมีความเกี่ยวเนื่องกัน ได้มีการทดลองกับผู้หญิงจำนวน 47,335 เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ของนมกับสิว ผู้หญิงที่ได้เข้ารับการทดลองนั้นจะถูกตั้งคำถามเกี่ยวกับนมที่เธอเหล่านั้นดื่ม และคำถามที่ว่าเธอเหล่านั้นมีอาการของสิวรุนแรงในวัยรุ่นหรือไม่
ผลที่ได้จากการวิจัยแสดงให้เห็นว่า 44% ของหญิงที่ดื่มนมพร่องมันเนยวันละ 2 แก้วขึ้นไปจะมีความเป็นไปได้ในการเกิดสิวอักเสบและสิวหนองได้สูงกว่าผู้หญิงที่ไม่ได้ดื่มนม ผู้หญิงที่ดื่มนมพร่องมันเนยมากกว่า 2 แก้วต่อวันจะมีความเป็นไปได้ในการเกิดสิว มากกว่าผู้ที่ดื่มนมปราศจากไขมันวันละ 1 แก้ว 22% - - จากข้อมูลดังกล่าว ทีมวิจัยจึงสร้างความสัมพันธ์ในแง่บวกระหว่างนมกับสิวได้ นิตยสารของ American Academy of Dermatology รายงานว่าปัจจัยหลักของการเกิดสิวจากนมคือฮอร์โมนและโมเลกุลชีวภาพ (ซึ่งเป็นโมเลกุลเคมีที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติในสิ่งมีชีวิต)
ผลิตภัณฑ์จากนมชนิดอื่น ๆ ที่ได้รับการทดสอบระหว่างการวิจัยนี้แตกต่างจากผลิตภัณฑ์จากนมเช่น ชีส ซึ่งไม่มีความสัมพันธ์กับสิวมากเท่ากับนมพร่องมันเนย ส่วนนมปกติและนมไขมันต่ำไม่มีรายงานแสดงผลที่ได้
ธาตุไอโอดีนในนมอาจเป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้เกิดสิว เนื่องจากเห็นได้ชัดเจนว่าในนมมีส่วนของธาตุไอโอดีนอยู่ เพราะเจ้าของฟาร์มจะให้อาหารที่เสริมคุณค่าไอโอดีนให้กับวัวเพื่อป้องกันการติดเชื้อ จึงเป็นสาเหตุที่มีปริมาณของธาตุไอโอดีนอยู่ในผลิตภัณฑ์นมธาตุไอโอดีนนั้นเป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้เกิดสิว แต่ฮอร์โมนและโมเลกุลชีวภาพก็เป็นปัจจัยที่เกี่ยวข้องด้วยเช่นเดียวกัน
อย่างไรก็ตาม ในประเด็นนี้ยังคงต้องการงานวิจัยเพิ่มเติม, จึงจะสามารถสรุปได้ว่า ควรงดการดื่มนมพร่องมันเนยเพื่อป้องกันการเกิดสิว ส่วนผลิตภัณฑ์จากนมชนิดอื่น ๆ ก็ควรรับประทานแต่พอประมาณเพื่อป้องกันการเกิดสิว
Reference : ezinearticles.com
เรียบเรียงและแปลโดย Acnethai.com
ที่มา http://acnethai.com/content/view/234/44/