หลักสูตรการจัดการสิ่งแวดล้อมเมืองและอุตสาหกรรม

หลักสูตรการจัดการสิ่งแวดล้อมเมืองและอุตสาหกรรม
คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต

วันพฤหัสบดีที่ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2553

วิทยาศาสตร์ในชีวิตประจำวัน-บทที่ 3

ให้นักศึกษานำเสนอข้อมูลเกี่ยวกับยาในปัจจุบัน โดยสังเขป พร้อมระบุที่มาของข้อมูล

50 ความคิดเห็น:

  1. ศักยภาพของการผลิตยาในปัจจุบันและแนวโน้มของเทคโนโลยีการผลิตยาในอนาคต

    วัตถุประสงค์ของโครงการวิจัยนี้เป็นการศึกษาเพื่อหาแนวทางในการสนับสนุนและพัฒนาอุตสาห-กรรมผลิตยา โดยรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลในด้านศักยภาพของการผลิตยาในปัจจุบัน และแนวโน้มของเทคโนโลยีในอนาคต

    การศึกษาแบ่งออกเป็นสองส่วนใหญ่ ส่วนที่หนึ่งทำโดยประชุมระดมสมองกลุ่ม ผู้ประกอบการและผู้แทนภาครัฐที่เกี่ยวข้องเพื่อรวบรวมแนวคิด และประสบการณ์จากผู้ประกอบการ มีผู้ เข้าร่วมประชุมทั้งสิ้น 34 คน โดยเป็นผู้ประกอบการภาคเอกชน 26 คน และตัวแทนจากสำนักงาน คณะกรรมการอาหารและยา (อ.ย.) 1 คน ส่วนที่สองทำโดยออกแบบสอบถามสำรวจสถานภาพของ โรงงานในปัจจุบันและข้อคิดเห็นจากโรงงานในประเด็นต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการผลิตและพัฒนาตำรับยา โรงงานยาที่ตอบแบบสอบถามมาทั้งสิ้น 24 โรงงาน ในจำนวนนี้ 2 โรงงาน ยังไม่ได้หนังสือรับรอง มาตรฐานการผลิตยา (GMP certificate)

    จากการรวบรวมและประมวลข้อมูลทั้งสองส่วนสามารถสรุปได้ว่าอุตสาหกรรมยาภายในประเทศมีลักษณะการผลิตเป็นกระบวนการขั้นปลาย การวิจัยและพัฒนาเป็นการหาสูตรตำรับ และปรับปรุงกระบวนการผลิต ความช่วยเหลือจากภาครัฐและมหาวิทยาลัยที่มีต่อโรงงานยาในด้านการผลิตและควบคุมคุณภาพอยู่ในระดับต่ำ ส่วนความช่วยเหลือในด้านการปรับปรุงให้ได้ตามแนวทางที่ดีในการผลิตยาและด้านการ ส่งออกเป็นที่น่าพอใจ วัตถุดิบที่ใช้ในการผลิตประมาณร้อยละ 90 ต้องนำเข้าในขณะที่เภสัชภัณฑ์ที่ผลิตได้ส่งออกเฉลี่ยเพียงร้อยละ 6 ตำรับยาที่ผลิตเป็นยาสามัญ การผลิตยาที่อาศัยเทคโนโลยีระดับสูงมีน้อยมาก การที่โรงงานไม่ได้ผลิตยาที่ใช้เทคโยโลยีสูงส่วนหนึ่งเกิดจากการขาดเทคโนโลยีและอุปกรณ์ที่มีราคาแพง การพัฒนาอุตสาหกรรมควรเน้นให้ผู้ผลิตยาอยู่บนพื้นฐานการแข่งขันที่เป็นธรรม อีกประการหนึ่งในด้านการตลาดคือการที่นโยบายของรัฐเน้นราคาต่ำ การแข่งขันจึงเป็นไปในด้านราคามากกว่าคุณภาพ จากข้อมูลเหล่านี้พอจะเข้าใจได้ว่าอุตสาหกรรมยามีศักยภาพที่จะเติบโต แข่งขันกับประเทศอื่นๆได้ ในขณะที่จำนวนโรงงานยาและทะเบียนตำรับยามีแนวโน้มจะลดลง หากได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลในด้านการแข่งขันเสรีในประเทศ และการทบทวนการประมูลยาโดยราคาต่ำ การที่ให้มหาวิทยาลัยร่วมในการพัฒนายา และสารช่วยต่างๆ จะผลักดันให้เกิดความรุดหน้าในอุตสาหกรรมยาเร็วขึ้น

    ที่มา http://library.hsri.or.th/abs/res/hs0888t.doc

    ตอบลบ
  2. นายธนพล โพธิ์ทอง 52SP2760004

    สร้างยาชนิดใหม่ ป้องกันไวรัส วันที่ 30 มิ.ย. 2553

    ทีมวิจัยเปิดเผยว่า การที่คนเราเป็นไข้หวัดใหญ่นั้นเนื่องจากร่างกายไม่สามารถสร้างแอนติบอดีที่มีประสิทธิภาพสูงพอในการกำจัดเชื้อไข้หวัดทั้งหมดออกไปจากร่างกาย การค้นพบครั้งใหม่นี้รายงานในวารสาร Proceedings of the National Academy of Sciences แสดงให้เห็นว่าโปรตีนที่สร้างขึ้นในหนูทดลองอาจสามารถช่วยชีวิตผู้ป่วยที่ได้รับไวรัสปริมาณมากได้

    Yoshihiro Kawaoka ผู้เชี่ยวชาญด้านไข้หวัดจากมหาวิทยาลัย University of Wisconsin-Madison และ University of Tokyo กล่าวว่า แอนติบอดีที่สร้างขึ้นนี้สามารถช่วยรักษาชีวิตหนูทดลองที่ได้รับเชื้อร้ายแรงได้ คาดว่าแอนติบอดีเหล่านี้น่าจะมีความสำคัญในอนาคตมาก หากมีไวรัสสายพันธุ์รุนแรงชนิดใหม่เกิดขึ้นมา
    ขณะนี้เชื้อไข้หวัดหมู H1N1 ยังมีการระบาดทั่วโลก กลายเป็นโรคติดต่อแห่งศตวรรษที่ 21 แม้ในขณะที่มันยังเป็นสายพันธุ์ที่ไม่รุนแรงนัก ระดับการคร่าชีวิตผู้หญิงและเด็กยังมีมากกว่าเชื้อไข้หวัดในสมัยก่อนและอาจทำให้มีผู้เสียชีวิตมากกว่านี้หากเชื้อกลายพันธุ์เป็นสายพันธุ์รุนแรงมากขึ้น องค์กรอนามัยโลกรายงานว่า โดยปกติแล้วเชื้อไข้หวัดตามฤดูกาลมีโอกาสทำให้มีผู้เสียชีวิตได้จำนวน 250,000 - 500,000 คนทั่วโลกในแต่ละปี
    เชื้อไข้หวัดสายพันธุ์ใหม่อาจเกิดขึ้นในประชากรมนุษย์ได้ทุกเวลา เช่น เชื้อไข้หวัดนก H5N1 ที่ทำให้มีผู้เสียชีวิตไปแล้วจำนวน 295 รายจาก 499 รายที่ติดเชื้อตั้งแต่ปี 2003

    ขณะนี้ในท้องตลาดมียารักษาไข้หวัดทั้งสิ้น 4 ชนิด อย่างไรก็ตามไวรัสเกือบทุกชนิดพัฒนาความสามารถในการดื้อยารุ่นแรก ๆ ได้เกือบทั้งหมด เชื้อไวรัสตามฤดูกาลบางสายพันธุ์กลายพันธุ์จนไม่สามารถใช้ยา Tamiflu รักษาได้ สำหรับการใช้ยาที่ถูกต้องนั้นแพทย์แนะนำว่าควรได้รับการรักษาโดยยา Relenza และ Tamiflu ตั้งแต่สองวันแรกที่ได้รับเชื้อ จึงจะสามารถช่วยทุเลาอาการได้
    ด้วยเหตุนี้ทำให้นักวิทยาศาสตร์ต้องคิดค้นวิธีรักษาใหม่...
    ขณะนี้บริษัท Theraclone กำลังคิดค้นแอนติบอดีชนิดใหม่ โดยใช้เทคนิคสกรีนหาแอนติบอดีที่พบได้ยากในร่างกายแต่มีประสิทธิภาพสูง โดยขณะนี้อยู่ในขั้นการเพิ่มปริมาณแอนติบอดีและทดสอบต่อในหนู
    แอนติบอดีที่สร้างขึ้นนี้เข้าจับไวรัสตรงส่วนสำคัญที่ไวรัสทุกชนิดมีและเป็นส่วนที่ไม่มีการกลายพันธุ์มาก
    ทีมวิจัยกล่าวว่า เมื่อให้เชื้อไข้หวัดสายพันธุ์ H1N1 และ H5N1 ปริมาณมากถึงขั้นทำให้เสียชีวิตในหนูที่ได้รับแอนติบอดี พบว่า หนูสามารถหายจากอาการไข้หวัดได้ 60-80% เมื่อเปรียบเทียบกับหนูที่ไม่ได้รับแอนติบอดีซึ่งสามารถหายได้เพียง 10%

    ทีมวิจัยเชื่อว่า ในอนาคตอาจมีแอนติบอดีที่มีประสิทธิภาพมากกว่านี้โดยการใช้เทคนิดทางวิศวพันธุกรรมเข้าช่วย เป็นทางเลือกใหม่ในการรักษาไข้หวัด...


    ที่มา: http://www.abc.net.au/science/articles/2010/06/29/2940166.htm



    อ้างอิง: http://en.wikipedia.org/wiki/Influenza

    ตอบลบ
  3. ความคิดเห็นนี้ถูกผู้เขียนลบ

    ตอบลบ
  4. นายธณพล บูรณดี ID 52SP2760063

    "นักวิจัยไทยวิจัยยานาโนพิชิตมะเร็ง "
    นักวิจัยศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ คว้าทุนวิจัยออสเตรเลีย พัฒนาระบบนำส่งยาจิ๋วรักษามะเร็งปากมดลูก บรรจุใส่ซิลิกอนนำส่งยาจู่โจมถึงเป้าหมาย
    ดร.พิกุลทอง ขอเพิ่มทรัพย์ นักวิจัยห้องปฏิบัติการระบบนำส่ง ศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ (นาโนเทค) ในสังกัดสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ เป็น 1 ใน 19 นักวิจัยไทยที่ได้รับทุนสนับสนุนงานวิจัยหลังปริญญาเอก Enbavour Awards ปี 2010 จากประเทศออสเตรเลีย คิดเป็นเงินสนับสนุนประมาณ 6.5 แสนบาท ในเวลา 6 เดือน

    นักวิจัยมีแผนทำวิจัยร่วมกับนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยฟลินเดอร์ ซึ่งเป็นสถาบันการเรียนที่เปิดสอนหลักสูตรด้านนาโนเทคโนโลยีมานานถึง 10 ปี เพื่อศึกษาวิจัยภายใต้โจทย์เรื่อง นาโนซิลิกอนที่มีโครงสร้างรูพรุนขนาดนาโนกับการพัฒนาเป็นระบบส่งยารักษามะเร็งปากมดลูก

    ก่อนหน้านี้ นักวิจัยจากศูนย์นาโนเทคร่วมกับองค์การเภสัชกรรม และคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล พัฒนาองค์ความรู้ในการวิจัยระบบนำส่งยาระดับนาโนเมตรรักษามะเร็งปากมดลูกมาประมาณ 1 ปีกว่าแล้ว จากระยะเวลาโครงการรวมทั้งสิ้น 5 ปี

    ปัจจุบัน ทีมวิจัยสามารถพัฒนาความรู้ในส่วนของการนำเอาไลโปโซม ซึ่งทำจากผนังเซลล์ตัวบรรจุยาทรงกลมขนาด พัฒนาเป็นโครงสร้างสำหรับใส่เทคโนโลยีดีเอ็นเอ และสารสกัดจากขมิ้นได้แล้ว และกำลังจะศึกษาต่อด้วยการสังเคราะห์ซิลิกอน ที่มีโครงสร้างรูพรุนขนาดนาโน ซึ่งปกติเป็นธาตุที่ใช้ทำวงจรรวม หรือไอซี สำหรับเครื่องใช้ไฟฟ้า อุปกรณ์คอมพิวเตอร์ แต่ยังนำมาประยุกต์ใช้ทางการแพทย์ ได้เช่นกัน

    การสังเคราะห์ซิลิกอน เพื่อใช้เป็นระบบนำส่งยาเป็นเทคโนโลยีใหม่ ที่กำลังได้รับความสนใจจากวงการวิทยาศาสตร์ นักวิจัยยังเตรียมศึกษาความรู้ทางวิชาการด้านอื่น เช่น ประสิทธิภาพของยารักษามะเร็งเมื่อบรรจุอยู่ในโครงสร้างระดับนาโนเมตร ความสม่ำเสมอในการปลดปล่อยสารสำคัญของตัวยา พิษวิทยาต่อเซลล์ปกติ ความรู้ดังกล่าวนักวิจัยมั่นใจว่าสามารถนำมาต่อยอดในไทย เพื่อนำไปสู่การพัฒนายารักษาโรคมะเร็งปากมดลูกตัวใหม่ได้ในอนาคต

    "หากการพัฒนาโครงสร้างสำหรับกักเก็บและนำส่งยาสำเร็จ ไม่เพียงจะเป็นผลดีต่อการรักษาโรคมะเร็งปากมดลูกที่มีอุบัติการณ์สูงในคนไทยเท่านั้น แต่ยังสามารถนำองค์ความรู้ในการพัฒนาระบบนำส่งยาไปใช้กับยารักษาโรคอื่น เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการรักษาได้อีกด้วย" นักวิจัยกล่าว

    นักวิจัยที่ได้รับทุน Enbavour Awards ยังประกอบด้วย นักวิจัยจากศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ และเจ้าหน้าที่ส่วนกลางของ สวทช. 2 ท่าน และอีก 16 ท่านที่เหลือเป็นนักวิจัยจากหลายสถาบันทั่วประเทศ

    "นอกจากสานต่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศแล้ว การมอบทุนวิจัยยังทำให้เกิดการแลกเปลี่ยนความรู้ระหว่างสถาบันวิจัยระหว่างประเทศ รวมถึงเพิ่มโอกาสในการรู้จักคนที่มีความรู้และทักษะในเรื่องเดียวกัน ซึ่งอาจนำไปสู่การต่อยอดในอนาคต" นักวิจัยนาโนเทคกล่าว

    อ้างอิง:กรุงเทพธุรกิจ วันที่ 2 มิถุนายน 2553 โดย : กานต์ดา บุญเถื่อน

    ที่มาhttp://www.safetybio.agri.kps.ku.ac.th/index.php?option=com_content&task=view&id=7722&Itemid=42

    ตอบลบ
  5. นางสาวฐาปนี แก่นเขียว ID 52SP2760054

    "วิจัยและพัฒนายาที่ใหญ่ที่สุดในโลก"

    ไฟเซอร์เป็นบริษัทค้นคว้าวิจัยและพัฒนายาที่ใหญ่ที่สุดในโลก ด้วยงบประมาณ 7,600 ล้านเหรียญสหรัฐ ในการทำวิจัยและพัฒนาเพื่อพัฒนายาให้มีประสิทธิภาพสูงสุด โดยมีนักวิจัยที่อยู่ตามศูนย์วิจัย
    ทั่วโลกมากกว่า 13,000 ราย

    ไฟเซอร์ค้นคว้าหาวิธีรักษาใหม่ๆ ด้วยการขยายโครงการวิจัยครอบคลุมกลุ่มการรักษาโรคต่างๆ กว่า
    18 กลุ่ม ซึ่งมากกว่าบริษัทยาอื่นๆ โดยทีมงานนักวิทยาศาสตร์ แพทย์ และผู้เชี่ยวชาญที่เกี่ยวข้อง
    รวมถึงเทคโนโลยีและอุปกรณ์การวิจัยที่ล้ำสมัย เช่น Robotic high-throughput screening (ซึ่งเป็น
    วิธีการที่ริเริ่มโดยไฟเซอร์) ที่ใช้ในงานวิจัยด้านพันธุกรรมอันสลับซับซ้อน เพื่อที่จะนำมาซึ่งนวัตกรรมยาสำหรับมนุษย์และสัตว์อย่างต่อเนื่องโดยในปี พ.ศ. 2549 จากรายงานการจัดอันดับบริษัทที่ลงทุนในการวิจัยและพัฒนาของโลก (อาร์แอนด์ดี สกอร์บอร์ด) ไฟเซอร์คือบริษัทที่ลงทุนในการวิจัยและพัฒนา สูงที่สุดในโลก ด้วยงบวิจัยฯ กว่า 3,883 ล้านปอนด์ หรือ 2.6 แสนล้านบาท

    จากความร่วมมือกับทั้งองค์การศึกษาและองค์กรธุรกิจกว่า 250 ราย เพื่อสร้างความแข็งแกร่งในการวิจัยด้านวิทยาศาสตร์การแพทย์และเทคโนโลยีชีวภาพ ไฟเซอร์ได้สนับสนุนทั้งอุปกรณ์และข้อมูลที่สำคัญ เพื่อใช้การวิจัยและพัฒนายาให้ทันกับยุคสมัย โดยเมื่อกว่าครึ่งศตวรรษที่ผ่านมา ท่ามกลางวิกฤตของโรคภัยที่คุกคาม ไฟเซอร์ได้เป็นผู้ริเริ่มผลิตยา Penicillin แบบอุตสาหกรรมซึ่งนับเป็นจุดเริ่มต้นของการเข้าสู่ยุคสมัยใหม่ของวงการยา
    ซึ่งปัจจุบันนี้ นักวิจัยของไฟเซอร์ทั่วทุกมุมโลกกว่า 13,000 คน ยังคงมุ่งมั่นที่จะค้นคว้าให้ได้มาซึ่งนวัตกรรมยาเพื่อมนุษยชาติ ด้วยจิตวิญญาณของ
    ผู้บุกเบิกเช่นเดิม

    สำหรับฝ่ายการแพทย์ของบริษัท ไฟเซอร์ ในประเทศไทย ได้มีส่วนร่วมในการศึกษาวิจัยและพัฒนายาชนิดใหม่ๆ ที่เป็นประโยชน์สำหรับผู้ป่วยในประเทศไทย ผ่านการศึกษาวิจัยในสถาบันทางการแพทย์หลายแห่ง ซึ่งข้อมูลจากการศึกษาวิจัยได้ถูกนำไปใช้ในการปรับปรุงและพัฒนาการใช้ยาให้มีความเหมาะสมกับผู้ป่วยชาวไทยต่อไป

    จวบจนปัจจุบัน บริษัทฯ ได้ดำเนินการศึกษาวิจัยร่วมกับคณะแพทย์ในสถาบันทางการแพทย์ต่างๆ
    กว่า 18 โครงการ นอกจากนี้ยังมีส่วนร่วมในการสนับสนุนหน่วยงานของรัฐ เผยแพร่ความรู้เกี่ยวกับมาตรฐานใหม่ของการศึกษาวิจัย เช่นโครงการอบรม “แนวทางการปฏิบัติการวิจัยทางคลินิกที่ดี”
    ซึ่งบริษัทฯ ได้ดำเนินโครงการมาตั้งแต่ปี 2544 จนถึงปัจจุบัน โดยมีแพทย์และบุคลากรทางการแพทย์เข้ารับการฝึกอบรมกว่า 2,000 คน

    จุดมุ่งหมายสำคัญของฝ่ายการแพทย์ของบริษัทฯ คือ การพัฒนาการศึกษาวิจัยทางการแพทย์
    การมีส่วนช่วยสนับสนุนแพทย์ และนักวิจัยของไทยในการพัฒนาองค์ความรู้ใหม่ๆ และยกระดับมาตรฐานงานศึกษาวิจัย เพื่อให้เป็นที่ยอมรับถึงคุณภาพ และคุณประโยชน์ในระดับสากล อีกทั้งยังเป็นประโยชน์แก่คนไทยทุกคน

    ที่มา:http://www.pfizer.co.th/Research.aspx

    ตอบลบ
  6. นางสาววัลลภา ศิรสุวรรณ 52SP2760003 (ZA)

    อเมริกา เจ๋ง ! ค้นพบยาลดน้ำตาลในเลือด!!

    ลดระดับน้ำตาลในเลือดต่ำของผู้ป่วยเบาหวานได้ถึงร้อยละ 93

    ผลการศึกษาจากการประชุมทางวิทยาศาสตร์ประจำปีของสมาคมโรคเบาหวานแห่งสหรัฐอเมริกา (American Diabetes Association หรือ ADA) ครั้งที่ 68 เกี่ยวกับการใช้ยาต้านเบาหวานโดยการยับยั้งเอนไซม์ DPP4 พบว่าสามารถลดภาวะระดับน้ำตาลในเลือดต่ำของผู้ป่วยได้ถึงร้อยละ 93 เมื่อเปรียบเทียบกับการรักษาแบบดั้งเดิมซึ่งเป็นวิธีการรักษาด้วยยากระตุ้นการหลั่งอินซูลินจากตับอ่อน (หรือ Sulfonylurea)

    การศึกษาครั้งนี้เป็นการทดลองกับผู้ป่วยโรคเบาหวานที่ใช้ยาชนิดใหม่ 588 คน และผู้ป่วยที่ใช้ยาแบบดั้งเดิมจำนวน 584 คน เป็นเวลา 52 สัปดาห์ ผลที่ได้คือมีผู้ป่วยถึง 492 คน จากกลุ่มที่ใช้ยาแบบดั้งเดิมที่มีภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ ส่วนในกลุ่มที่ใช้ยาตัวใหม่มีผู้ป่วยเพียง 37 คนเท่านั้นที่มีภาวะเดียวกันนี้ ยาต้านเบาหวานตัวใหม่มีผลในการรักษาระดับกลูโคสในเลือดของผู้ป่วยโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ในผู้ใหญ่ ทำให้ไม่เกิดอาการข้างเคียง คือภาวะระดับน้ำตาลในเลือดต่ำลงและน้ำหนักตัวที่เพิ่มขึ้น

    นพ.พงศ์อมร บุนนาค แพทย์ประจำหน่วยต่อมไร้ท่อ และเมตะบอลิสม คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี กล่าวว่า สิ่งที่สำคัญในการรักษาผู้ป่วยโรคเบาหวานชนิดที่ 2 คือการรักษาสมดุลของระดับน้ำตาลในเลือด โดยการควบคุมไม่ไห้ระดับน้ำตาลในเลือดสูง และในขณะเดียวกันพยายามหลีกเลี่ยงภาวะระดับน้ำตาลในเลือดต่ำ โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ป่วยสูงอายุที่มีโรคหัวใจ เพราะภาวะระดับน้ำตาลในเลือดต่ำจะมีผลกระทบที่ร้ายแรงต่อคนไข้กลุ่มนี้

    ทั้งนี้ เปรียบเทียบการใช้ยาในกลุ่มยับยั้งเอนไซม์ DPP 4 และยากระตุ้นการหลั่งอินซูลินจากตับอ่อน ผลการศึกษาชี้ให้เห็นว่า ความเสี่ยงในการเกิดภาวะระดับน้ำตาลในเลือดต่ำ ในกลุ่มผู้ป่วยอายุ 65 ปีขึ้นไป ลดลงเป็นสัดส่วนมากกว่ากลุ่มผู้ป่วยที่มีอายุน้อยกว่า 65 ปี โดยในกลุ่มแรกผู้ป่วยมีความเสี่ยงต่อภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำลดลงถึงร้อยละ 97 ในขณะที่ผู้ป่วยกลุ่มหลังที่มีอายุน้อยกว่า 65 มีความเสี่ยงต่อภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำลดลงถึงร้อยละ 91


    ที่มา1: หนังสือพิมพ์มติชน
    ที่มา2: http://www.thaihealth.or.th/node/5637

    ตอบลบ
  7. นายภวินท์ พู่พันธ์พานิช 52SP2760001

    คณะวิทย์ฯ ม.มหิดล พัฒนาพันธุกรรมพืชสมุนไพร “ฟ้าทะลายโจร” และ “ชิงเฮา” เชื่อผลิตยาตัวชนิดใหม่ ช่วยต้านเชื้อโรคได้มากขึ้นเป็นครั้งแรก

    คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ได้พัฒนาการคัดแปรพันธุกรรม ดึงคุณสมบัติของ “ฟ้าทะลายโจร” และ “ชิงเฮา” เข้ารวมกันให้เกิดเป็นพืชชนิดใหม่ มีฤทธิ์ต้านการกระจายตัวของเชื้อที่ดื้อยาได้ดีกว่าเดิม และสามารถนำไปสู่การค้นพบยาชนิดใหม่อันเป็นประโยชน์ต่อวงการเภสัชกรรม

    อาจารย์กัณยารัตน์ สุไพบูลย์วัฒน ที่ปรึกษาโครงการการพัฒนาพันธุกรรมพืชและสมุนไพร คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวว่า ปัจจุบันพบว่าโรคติดเชื้อ และโรคอุบัติเหตุใหม่หลายชนิดทวีความรุนแรงยิ่งขึ้น

    “ความต้องการพัฒนายาชนิดใหม่ที่มีประสิทธิภาพในการป้องกัน และรักษาโรคติดเชื้อ หรือการดื้อยามีมากขึ้น ทั้งนี้เราคำนึงถึงความปลอดภัยต่อผู้บริโภค รวมทั้งราคาไม่แพง ซึ่งถือว่าเป็นปัจจัยสำคัญของการพัฒนาด้านเภสัชของประเทศไทย อีกทั้งยังเป็นกระแสการนำพืชสมุนไพรมาใช้ประโยชน์ด้านเภสัชและเครื่องสำอางยังคงได้รับความสนใจจากทั่วโลก”

    อาจารย์กัณยารัตน์ กล่าวถึงกระบวนการวิจัยในครั้งนี้ที่ต้องใช้ความพยายามคิดหาแนวทางเพิ่มศักยภาพของสมุนไพรไทย อย่าง “ฟ้าทะลายโจร”และ "ชิงเฮา"
    "ฟ้าทะลายโจร มีคุณสมบัติในการสร้างสารออกฤทธิ์ประเภทเทอร์พินอยให้สาระสำคัญหรือคือ แอนโดกราโฟไลน์ ที่มีฤทธิ์แก้อักเสบ และต้านเชื้อหลายชนิด ผ่านทางเทคโนโลยีการหลอมโปรโพลาสต์ และแปรพันธุกรรม โดยการนำเซลล์ของฟ้าทะลายโจรมาลอกผิวเซลล์ชั้นนอกออก แล้วนำมาหลอมรวมกับโปรโตรพลาสต์ของ “ต้นชิงเฮา” ซึ่งเป็นพืชสมุนไพรอีกหนึ่งชนิดที่มีคุณสมบัติในการสร้างสารอารทีมิซินิน ที่มีฤทธิ์ต้านเชื้อมาเลเรียนชนิดที่ดื้อยา เพื่อให้เกิดผลพืชชนิดใหม่ที่สามารถสร้างสารต้านเชื้อได้มากขึ้น ซึ่งถือว่าเป็นการสร้างโคโลนีได้สำเร็จเป็นครั้งแรก และถือว่าเป็นก้าวสำคัญของการปรับปรุงพืชสมุนไพรไทย”

    สำหรับปัญหาที่เกิดจากพืชสมุนไพรทั้งสองชนิด อย่าง "ชิงเฮา" ถือว่าเป็นสมุนไพรถูกค้นพบที่ประเทศจีน เกาหลี มีลักษณะการปลูกบนพื้นที่ราบสูง อากาศเย็น คงจะเป็นเรื่องยากที่เราจำนำสมุนไพรชนิดนี้มาปลูกที่ประเทศ อาจจะทำได้เพียงแค่ผลิตเซลล์ให้มีจำนวนมากขึ้น เพื่อรองรับการวิจัยครั้งนี้ ส่วนการปลูก "ฟ้าทะลายโจร" ที่พบในประเทศไทย ผู้เพาะพันธุ์สมุนไพรยังขาดคุณสมบัติการเลี้ยงดู ที่ต้องเอาใจใส่ เพื่อรักษาคุณสมบัติในการเป็นตัวยารักษาโรค

    สำหรับการวิจัยครั้งนี้ นอกจากจะต้องมีการทดสอบประสิทธิภาพของสารออกฤทธิ์ และความปลอดภัยของการนำมาใช้ "เราต้องคำนึงถึงการเพิ่มศักยภาพพืชสมุนไพรทั้งด้านปริมาณและคุณภาพ ซึ่งเป็นสาระสำคัญในการนำเสนอและขอรับการสนับสนุนจากองค์กรเภสัช หรือภาคเอกชน ในการทำมาใช้ในระดับอุตสาหกรรมมากขึ้น"

    www.moe.go.th

    ตอบลบ
  8. น.ส.ทวีพร สัญจรดี รหัส 52SP2760006 ZA

    ยาใหม่สำหรับลดโคเลสเตอรอลในเลือด

    ในชื่อการค้าว่าเมวาคอร์ เป็นยาลดไขมันในเลือดกลุ่มใหม่ ออกฤทธิ์ควบคุมการสร้างโคเลสเตอรอล เหมาะสำหรับผู้ป่วยที่มีระดับไขมันในเลือดสูงมากๆ

    เมื่อต้นเดือนกันยายน ศกนี้ องค์การอาหารและยาสหรัฐอเมริกา ได้ให้การรับยาลดไขมันในเลือดตัวใหม่ “โลวาสแตติน (lovastatin)”

    ซึ่งจากผลการทดลองทางคลินิกยืนยันว่า สามารถลดไขมันในเลือดได้ผลดียิ่ง เชื่อกันว่า ยานี้จะช่วยยืดอายุและบรรเทาความทุกข์ทรมานของผู้ป่วยโรคหัวใจอันเนื่องมาจากระดับไขมันในเลือดสูงลงได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งชาวอเมริกันซึ่งกำลังผจญ “โรคแห่งการกินอยู่เกินพอดี” เป็นอันดับหนึ่งอยู่ในขณะนี้

    บริษัทเมิร์ก ซึ่งเป็นบริษัทยาขนาดใหญ่เป็นผู้พัฒนาและผลิตโลวาสแตดิน ในชื่อการค้าว่า “เมวาคอร์ (Mevacor)” นี้ ซึ่งเป็นยาลดไขมันในเลือดกลุ่มใหม่ ออกฤทธิ์ควบคุมการสร้างโคเลสเตอรอล เหมาะสำหรับผู้ป่วยที่มีระดับไขมันในเลือดสูงมากๆ

    ความพยายามเสาะหายาลดไขมันในเลือดชนิดนี้ได้เริ่มขึ้นโดยอะคิโร เอนโดะ นักวิทยาศาสตร์แห่งบริษัทยาซังเกียว เมื่อเขาได้สังเกตเห็นว่า เชื้อราชนิดหนึ่งสามารถฆ่าเชื้อแบคทีเรียชนิดหนึ่งที่มีส่วนประกอบของโคเลสเตอรอลได้โดยที่มันอาจจะไปยับยั้งการสังเคราะห์โคเลสเตอรอลนั้น ในปี 2519 เอนโดะค้นพบเอนไซม์ที่เป็นกุญแจสำคัญในกระบวนการสังเคราะห์โคเลสเตอรอล

    ในเวลาไล่เลี่ยกันนี้ นักวิจัยแห่งบริษัทเมิร์กก็ได้ค้นพบสารเคมีที่มีคุณสมบัติคล้ายคลึงกันนี้ รวมทั้งโลวาสแตดิน อย่างไรก็ตาม การค้นพบครั้งนี้ก็คงจะต้องหยุดยั้งแค่นี้ หากไม่มีผลงานของโจเซฟ โกล์ดสไตน์และไมเคิล บราวน์ นักวิจัยรางวัลโนเบลสนับสนุน

    ในปี 2513 โกล์ดสไตน์ และบราวน์ได้ศึกษาเกี่ยวกับกลไกที่ร่างกายควบคุมระดับโคเลสเตอรอล เนื่องจากความรู้ที่ว่าน้ำมันและน้ำไม่สามารถรวมกันได้หากไม่มีดีเทอร์เจนช่วย ดังนั้นโคเลสเตอรอลซึ่งเป็นไขมันก็จะไม่สามารถเข้าสู่กระแสเลือดได้ หากไม่มีสารอื่นนำเข้าไป ซึ่งสารที่เป็นตัวนำเข้าไปนี้ได้แก่ ไลโปโปรตีน ซึ่งจะนำไปยังตำแหน่งที่รับสารนี้ นอกจากนี้เขายังค้นพบว่า ระดับโคเลสเตอรอลในระดับต่ำๆจะกระตุ้นให้มีการสร้าง “ที่รับ (receptor)” มากขึ้น ซึ่งมันจะทำหน้าที่ดึงไลโปโปรตีน (ที่มีโคเลสเตอรอลอยู่ด้วย) ออกจากกระแสเลือด แต่ถ้าตับไม่สร้าง “ที่รับ” อย่างเพียงพอ ระดับของไลโปโปรตีนในเลือดจะสูงขึ้น ดังนั้นหากมีการกระตุ้น “ที่รับ” จะเป็นการลดระดับโคเลสเตอรอล

    โลวาสแตดินมีกลไกการทำงานโดยการไปทำให้ระดับของไลโปโปรตีนที่ทำหน้าที่นำโคเลสเตอรอลออกจากกระแสเลือดเพิ่มขึ้น ได้มีการทดลองให้ยานี้ในผู้ป่วย 750 คน ผลปรากฏว่า สามารถยับยั้งการสร้างโคเลสเตอรอลในตับได้ดี อย่างไรก็ตาม นายแพทย์โกล์ดเบิร์ก แห่งศูนย์การแพทย์โคลัมเบีย เพรสไบทีเรียน นิวยอร์ก ได้ตั้งข้อสังเกตว่า ผู้ป่วยที่ได้รับยาโลวาสแตดิน และมีระดับโคเลสเตอรอลลดลง 30-40% แต่ผู้ป่วยบางคนเริ่มมีอาการข้างเคียงบางอย่าง เช่น เป็นต้อกระจก หรือโรคตับ ซึ่งจะต้องติดตามผลการใช้ยานี้ทางคลินิกต่อไปอย่างใกล้ชิด

    สำหรับผู้ป่วยไขมันในเลือดสูงในบ้านเรา จะใช้ยานี้ก็พึงระมัดระวังด้วย แต่ทางที่ดีก็หาทางป้องกันอย่าให้เกิดขึ้นจะดีกว่า

    ที่มา :http://www.doctor.or.th/node/4975

    ตอบลบ
  9. ความคิดเห็นนี้ถูกผู้เขียนลบ

    ตอบลบ
  10. ความคิดเห็นนี้ถูกผู้เขียนลบ

    ตอบลบ
  11. นายกันตณัฐ อินทร์ศรี รหัส 52SP2760032 ZA

    "นักวิจัย ค้นพบ ยารักษา HIV แล้ว
    วิจัยพบยาที่กำลังทดลองรักษามะเร็งตัวหนึ่ง มีคุณสมบัติขับ HIV ออกจากเซลล์ ความหวังใหม่สำหรับการรักษา ซึ่งตอนนั้นนักวิจัยตื่นเต้นกันใหญ่ ว่าคุณสมบัติของมัน ในการขับให้ HIV ที่ซ่อนอยู่ในเซลล์ ถูกขับออกมาได้เกือบร้อยเปอร์เซ็นต์ อาจเป็นความหวังให้การรักษา HIV ให้หายขาด โดยทดลองร่วมกับการใช้ยากลุ่ม Protease inhibitor

    แต่การทดลองในช่วงสี่ปีที่ผ่านมาพบว่า ถึงแม้จะสามารถขับให้ไวรัสออกจากเซลล์มาได้ แต่ก็เกิดผลกระทบอย่างกว้างขวาง เกิดการอักเสบของระบบภูมิคุ้มกันไปทั่วร่างกาย เพราะเอชไอวีซึ่งซ่อนตัวแล้วถูกกรดวัลโพรอิคขับออกมา จะทำให้ซีดีโฟว์ปกติ พากันติด HIV ไปใหญ่ การทดลองจึงหยุดไป

    แต่ล่าสุด นักวิจัยชาวอิตาลี ไปพบว่า ยาที่กะลังทดลองใช้รักษามะเร็งตัวหนึ่งที่ชื่อentino stat (MS-275) มีคุณสมบัติที่สามารถเข้าถึงเอชไอวีที่๋๋ซ่อนตัวอยู่ และสามารถทำลายเชื้อเหล่านั้นได้ด้วย แต่ปัญหาที่พบคือ ต้องใช้ปริมาณยาในขนาดที่สูงมากจนอาจส่งผลเป็นพิษกับ ร่างกายมนุษย์ได้

    นักวิจัยก็เลยคิดว่าจะทำยังไง ให้สามารถใช้ยาตัวนี้ในปริมาณต่ำๆได้ เพื่อที่จะไม่ส่งผลกระทบเป็นพิษกับร่างกาย ก็เลยลองเอาไปใช้ร่วมกับยาที่ใช้ทดลองรักษามะเร็งอีก ตัวที่ชื่อ buthionine sulfoximine ปรากฏว่า สามารถกำัจัดเชื้อเอชไอวีที่ซ่อนตัวได้หมดแถมไม่เกิด พิษด้วย นักวิจัยจึงรีบผลักดันใ้ห้เข้าสู่การทดลองในสัตว์

    ที่มา http://pha.narak.com/topic.php?No=38825

    ตอบลบ
  12. นายกันตณัฐ อินทร์ศรี รหัส 52SP2760032 ZA

    "นักวิจัย ค้นพบ ยารักษา HIV แล้ว
    วิจัยพบยาที่กำลังทดลองรักษามะเร็งตัวหนึ่ง มีคุณสมบัติขับ HIV ออกจากเซลล์ ความหวังใหม่สำหรับการรักษา ซึ่งตอนนั้นนักวิจัยตื่นเต้นกันใหญ่ ว่าคุณสมบัติของมัน ในการขับให้ HIV ที่ซ่อนอยู่ในเซลล์ ถูกขับออกมาได้เกือบร้อยเปอร์เซ็นต์ อาจเป็นความหวังให้การรักษา HIV ให้หายขาด โดยทดลองร่วมกับการใช้ยากลุ่ม Protease inhibitor

    แต่การทดลองในช่วงสี่ปีที่ผ่านมาพบว่า ถึงแม้จะสามารถขับให้ไวรัสออกจากเซลล์มาได้ แต่ก็เกิดผลกระทบอย่างกว้างขวาง เกิดการอักเสบของระบบภูมิคุ้มกันไปทั่วร่างกาย เพราะเอชไอวีซึ่งซ่อนตัวแล้วถูกกรดวัลโพรอิคขับออกมา จะทำให้ซีดีโฟว์ปกติ พากันติด HIV ไปใหญ่ การทดลองจึงหยุดไป

    แต่ล่าสุด นักวิจัยชาวอิตาลี ไปพบว่า ยาที่กะลังทดลองใช้รักษามะเร็งตัวหนึ่งที่ชื่อentino stat (MS-275) มีคุณสมบัติที่สามารถเข้าถึงเอชไอวีที่๋๋ซ่อนตัวอยู่ และสามารถทำลายเชื้อเหล่านั้นได้ด้วย แต่ปัญหาที่พบคือ ต้องใช้ปริมาณยาในขนาดที่สูงมากจนอาจส่งผลเป็นพิษกับ ร่างกายมนุษย์ได้

    นักวิจัยก็เลยคิดว่าจะทำยังไง ให้สามารถใช้ยาตัวนี้ในปริมาณต่ำๆได้ เพื่อที่จะไม่ส่งผลกระทบเป็นพิษกับร่างกาย ก็เลยลองเอาไปใช้ร่วมกับยาที่ใช้ทดลองรักษามะเร็งอีก ตัวที่ชื่อ buthionine sulfoximine ปรากฏว่า สามารถกำัจัดเชื้อเอชไอวีที่ซ่อนตัวได้หมดแถมไม่เกิด พิษด้วย นักวิจัยจึงรีบผลักดันใ้ห้เข้าสู่การทดลองในสัตว์

    ที่มา http://pha.narak.com/topic.php?No=38825

    ตอบลบ
  13. นายกันตณัฐ อินทร์ศรี รหัส 52SP2760032 ZA

    "นักวิจัย ค้นพบ ยารักษา HIV แล้ว
    วิจัยพบยาที่กำลังทดลองรักษามะเร็งตัวหนึ่ง มีคุณสมบัติขับ HIV ออกจากเซลล์ ความหวังใหม่สำหรับการรักษา ซึ่งตอนนั้นนักวิจัยตื่นเต้นกันใหญ่ ว่าคุณสมบัติของมัน ในการขับให้ HIV ที่ซ่อนอยู่ในเซลล์ ถูกขับออกมาได้เกือบร้อยเปอร์เซ็นต์ อาจเป็นความหวังให้การรักษา HIV ให้หายขาด โดยทดลองร่วมกับการใช้ยากลุ่ม Protease inhibitor

    แต่การทดลองในช่วงสี่ปีที่ผ่านมาพบว่า ถึงแม้จะสามารถขับให้ไวรัสออกจากเซลล์มาได้ แต่ก็เกิดผลกระทบอย่างกว้างขวาง เกิดการอักเสบของระบบภูมิคุ้มกันไปทั่วร่างกาย เพราะเอชไอวีซึ่งซ่อนตัวแล้วถูกกรดวัลโพรอิคขับออกมา จะทำให้ซีดีโฟว์ปกติ พากันติด HIV ไปใหญ่ การทดลองจึงหยุดไป

    แต่ล่าสุด นักวิจัยชาวอิตาลี ไปพบว่า ยาที่กะลังทดลองใช้รักษามะเร็งตัวหนึ่งที่ชื่อentino stat (MS-275) มีคุณสมบัติที่สามารถเข้าถึงเอชไอวีที่๋๋ซ่อนตัวอยู่ และสามารถทำลายเชื้อเหล่านั้นได้ด้วย แต่ปัญหาที่พบคือ ต้องใช้ปริมาณยาในขนาดที่สูงมากจนอาจส่งผลเป็นพิษกับ ร่างกายมนุษย์ได้

    นักวิจัยก็เลยคิดว่าจะทำยังไง ให้สามารถใช้ยาตัวนี้ในปริมาณต่ำๆได้ เพื่อที่จะไม่ส่งผลกระทบเป็นพิษกับร่างกาย ก็เลยลองเอาไปใช้ร่วมกับยาที่ใช้ทดลองรักษามะเร็งอีก ตัวที่ชื่อ buthionine sulfoximine ปรากฏว่า สามารถกำัจัดเชื้อเอชไอวีที่ซ่อนตัวได้หมดแถมไม่เกิด พิษด้วย นักวิจัยจึงรีบผลักดันใ้ห้เข้าสู่การทดลองในสัตว์

    ที่มา http://pha.narak.com/topic.php?No=38825

    ตอบลบ
  14. นายกันตณัฐ อินทร์ศรี รหัส 52SP2760032 ZA

    นักวิจัยมหาวิทยาลัย Temple ค้นพบยารักษามะเร็งตัวใหม่ที่จะหยุดการแบ่งตัวของเซลล์มะเร็งเพื่อหยุดการเกิดเนื้องอก ยาตัวนี้จะไปขัดขวางการทำงานของยีนที่มีชื่อว่า Plk1 และยาตัวนี้ก็กำลังอยู่ในขั้นตอนทดลองรักษาในมนุษย์ระยะแรก โดยงานวิจัยนี้ถูกตีพิมพ์ไปเมื่อเดือนมีนาคมในวารสาร Cell Cancer


    Plk1 เป็นหนึ่งในหลายๆโมเลกุลที่มีความสำคัญในการแพร่กระจายของมะเร็ง ในการศึกษาก่อนหน้านี้พบว่าผู้ป่วยโรคมะเร็งหรือผู้มีเนื้องอกจะมี Plk1 ในปริมาณที่มาก แต่เมื่อทำให้ Plk1 หยุดการทำงาน จะทำให้เซลล์มะเร็งไม่มีการแบ่งตัว และเซลล์เนื้องอกตายในที่สุด


    ทีม Temple ซึ่งเป็นทีมที่ค้นพบตัวยาใหม่นี้ นำทีมโดย ศาสตราจารย์ด็อกเตอร์ Prem Reddy ซึ่งเป็นนักชีวเคมีและผู้อำนวยการสถาบัน Fels Institute for Cancer Research ของมหาวิทยาลัย Temple University School of Medicine ทำการค้นหาสารตัวใหม่ที่สามารถยับยั้งการทำงานของ Plk1 ซึ่งเป็นสารโมเลกุลขนาดเล็กที่พวกเขาค้นพบและพัฒนาจนมาเป็น ON01910 โดยที่จะยับยั้งมะเร็งต่างๆของมนุษย์ได้ถึง 94 ชนิด Reddy กล่าวว่า “พวกเราพบว่า ON01910 สามารถยับยั้งการเจริญเติบโตของเนื้องอกได้ นอกจากนี้ยังทำงานได้ดีเมื่อใช้คู่กับยาต้านมะเร็งที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบัน


    สถาบัน Johns Hopkins Medicine และ Mt. Sinai Medical Center เป็นสถาบันแรกที่ได้ทดลองใช้ ON01910 ในการรักษาผู้ป่วยที่อยู่ในระยะ advanced และ ระยะ metastatic (ระยะแพร่กระจาย) ของมะเร็ง การศึกษาผลของการใช้ยานี้จะทำการดูผลการรักษาของคนไข้ประมาณ 56 คน ON01910 หรือ ที่รู้จักว่า target therapy ซึ่งจะดูจากอัตราการรอดของเนื้องอก โดยการรักษานี้จะไปยับยั้งโมเลกุลที่ทำให้เนื้องอกไม่สามารถทำหน้าที่ ได้ ซึ่งทำให้เนื้องอกไม่สามารถมีชีวิตต่อไปได้


    ในการทำงานที่จำเพาะของ ON01910 นั้น Reddy กล่าวว่า “ยาของเรานั้นสามารถป้องกันการรุกรานของเนื้องอกไปยังเนื้อปกติได้โดยมีทั้งหมด 3 วิธี คือ อย่างแรกมันจะไปป้องกันการแทรกตัวของเนื้องอก อย่างที่สองคือจะป้องกันการสร้างเส้นเลือดที่จะส่งไปเลี้ยงยังเนื้องอก และอย่างสุดท้ายคือยาจะทำการชักนำให้เนื้องอกเกิดการตาย ซึ่งอยู่ในวิธีการที่ปลอดภัยต่อเซลล์อื่นๆ” นักวิจัยคนอื่นๆ ของทีมได้แก่ Kiranmai Gumireddy1, M.V. Ramana Reddy, Stephen C. Cosenza1, R. Boomi Nathan, Stacey J. Baker, Nabisa Papathi1, Jiandong Jiang, และ James Holland.
    ที่มาhttp://www.vcharkarn.com/vnews/29940

    ตอบลบ
  15. นายกันตณัฐ อินทร์ศรี รหัส 52SP2760032 ZA

    นักวิจัยพัฒนายาเม็ดคุมกำเนิดชาย ออกฤทธิ์เร็วทันใจ-ไร้ผลข้างเคียง
    เดลิเมล์ - นักวิจัยอังกฤษซุ่มพัฒนายาเม็ดคุมกำเนิดชายที่ออกฤทธิ์รวดเร็วทันใจและคืนความสามารถในการเจริญพันธ์ให้กับหนุ่มภายในไม่กี่ชั่วโมง ที่สำคัญยาตัวนี้ยังปลอดจากอาการข้างเคียงเหมือนยาอื่นๆ

    ยาคุมกำเนิดชนิดใหม่น่าจะเป็นที่ยอมรับได้สำหรับผู้ชายมากกว่ายาคุมกำเนิดอื่นๆ ที่อยู่ระหว่างการพัฒนา ซึ่งทำงานด้วยการทำให้สมองระงับการสั่งผลิตอสุจิ และส่วนใหญ่พัฒนาออกมาในรูปยาฉีด การฝัง และแผ่นติด อีกทั้งยังต้องใช้ล่วงหน้านาน

    แต่สำหรับยาตัวใหม่ประกอบด้วยสารเคมีที่มีฤทธิ์ยับยั้งการหลั่งน้ำอสุจิ และอยู่ในรูปยาเม็ด โดยผู้ชายต้องกินวันละเม็ด เหมือนยาคุมกำเนิดของผู้หญิง หรือกินก่อนมีเพศสัมพันธ์ 2-3 ชั่วโมง

    ดร.เนเมกา แอมโบรี (Nnaemeka Amobi) จากคิงส์ คอลเลจ ลอนดอน (King s College London) ยืนยันว่า ยาตัวใหม่จะไม่มีผลต่อความพึงพอใจในเพศสัมพันธ์ และการที่ปลอดจากฮอร์โมนโดยสิ้นเชิงหมายความว่า ความสามารถในการเจริญพันธุ์ของผู้ชายจะกลับสู่ระดับปกติภายในไม่กี่ชั่วโมงหลังหยุดยา

    ยาคุมกำเนิดชายชนิดใหม่นี้ได้แรงบันดาลใจจากยาสองตัวที่มีอยู่เดิมคือ ยารักษาโรคจิตเภทและความดันโลหิตสูง ซึ่งมีฤทธิ์ยับยั้งการหลั่งน้ำอสุจิ อย่างไรก็ดี ผลข้างเคียง เช่น อาการวิงเวียนศรีษะ และเซื่องซึม ทำให้ไม่สามารถวางตลาดยาสองตัวนี้ในฐานะยาคุมกำเนิดได้

    กระนั้น หลังจากศึกษากลไกในการยับยั้งการหลั่งน้ำอสุจิ นักวิจัยของคิงส์คอลเลจได้พัฒนายาเม็ดชนิดใหม่ที่มีฤทธิ์ตามต้องการโดยปราศจากผลข้างเคียง โดยคาดว่าจะนำไปทดลองกับคนในเร็ววันนี้ ก่อนวางตลาดภายใน 5 ปี

    ปัจจุบัน ผู้ชายที่ต้องการรับผิดชอบการคุมกำเนิดมีทางเลือกจำกัด เช่น ใช้ถุงยางอนามัย การทำหมันชาย หรือง่ายๆ คืองดเว้นการมีเพศสัมพันธ์

    ยาตัวนี้ยังน่าจะเป็นที่ไว้ใจของผู้หญิง เพราะไม่ต้องเป็นห่วงว่า คู่ของตนจะกินยาทุกวันหรือเปล่า นอกจากนั้น ผู้หญิงยังหมดกังวลกับความเสี่ยงของอาการเส้นเลือดในสมองตีบ หัวใจวาย และเส้นเลือดอุดตัน จากการกินยาคุมกำเนิด

    ทางด้านผู้เชี่ยวชาญเชื่อว่า ยาของนักวิจัยจากคิงส์ คอลเลจจะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงต่อการวางแผนครอบครัว ด้วยการเปิดโอกาสให้สามี-ภรรยาร่วมกันรับผิดชอบการคุมกำเนิด จากเดิมที่ปล่อยให้ฝ่ายหญิงรับผิดชอบเพียงลำพัง

    ศาสตราจารย์จอห์น กิลโบด์ (John Guillebaud) หนึ่งในผู้เชี่ยวชาญการคุมกำเนิดของอังกฤษ ยกย่องว่ายาคุมกำเนิดชายตัวใหม่เป็นการค้นพบอันสุดยอด โดยเฉพาะการที่ยาตัวนี้ไม่ใช้ฮอร์โมนที่อาจทำให้เกิดผลข้างเคียง อาทิ อาการร้อนวูบวาบ และอารมณ์แปรปรวน

    ขณะเดียวกัน หากยาตัวนี้ประสบความสำเร็จย่อมหมายถึงรายได้มหาศาลสำหรับคิงส์ คอลเลจ ทั้งนี้ ประเมินจากยอดขายยาคุมกำเนิดหญิงที่ปีหนึ่งมีมูลค่าถึง 21,000 ล้านปอนด์ (1,470,000 ล้านบาท) กระนั้น หลายคนยังห่วงว่า ผู้ชายไม่ค่อยกระตือรือร้นในการคุมกำเนิด จึงยากที่ผู้หญิงจะวางใจในเรื่องนี้ได้เต็มที่
    ที่มาhttp://www.healthcorners.com/new_read_news.php?id=52

    ตอบลบ
  16. 52SP2760015 (ZA)
    นางสาว กมลเนตร รัตนบานชื่น
    Chocolate ใช้รักษาอาการไอเรื้อรังได้ดีกว่ายาในปัจจุบัน
    ผลการศึกษาล่าสุดชี้ให้เห็นว่า สารในชอคโกแลต อาจใช้รักษาอาการไอเรื้อรัง ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากกว่ายาที่ใช้อยู่ในปัจจุบันเสียอีก นอกจากนี้ยังไม่พบผลข้างเคียงดังเช่นยาแผนปัจจุบันอีกด้วย

    ผลการศึกษาโดย Imperial College London ซึ่งตีพิมพ์ในวารสาร FASEB journal เผยให้เห็นว่า สาร theobromine ในชอคโกแลต มีฤทธิ์ยับยังการไอได้ดีกว่า codeine ซึ่งเป็นยาที่ใช้อยู่ในปัจจุบันประมาณ 30% และยังไม่มีผลข้างเคียงเช่น ทำให้ง่วงด้วย
    Professor Peter Barnes หัวหน้าทีมวิจัย กล่าวว่า อาการไอมักจะยังคงอยู่อีกหลายอาทิตย์หลังการติดเชื้อไวรัส และรักษาได้ยาก ถึงแม้ว่ามันจะเป็นอาการที่คนส่วนมากต้องประสบอยู่บ่อยๆ แต่กลับไม่มีการรักษาที่ได้ผลดีเลย และยาที่ใช้อยู่ก็มักจะเป็นตระกูลเดียวกับฝิ่น หรือมอร์ฟีน จึงไม่สามารถให้ยาในขนาดมากๆได้ เพราะจะมีผลข้างเคียง และจริงอยู่ว่าอาการไอเรื้อรังนั้นมักไม่ได้เป็นอันตรายอะไรมากมาย แต่ก็มีผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตได้ค่อนข้างมาก การค้นพบนี้ถือเป็นก้าวสำคัญในการรักษาอาการไอเลยทีเดียว

    นักวิจัยได้ให้อาสาสมัครที่มีสุขภาพปกติ จำนวน10คน ทาน theobromine สารจากโกโก้ หรือ codeine ยาแก้ไอแผนปัจจุบัน หรือ ยาหลอก ในเวลาต่างๆกัน หลังจากนั้นก็ให้อาสาสมัครหายใจอากาศที่มี capsaicin ซึ่งเป็นอนุพันธุ์จากพริก เพื่อกระตุ้นให้เกิดอาการไอ พบว่า คนที่ได้ทาน theobromine ไปก่อน จะต้องใช้ capsaicin มากกว่าคนที่ได้ยาหลอกหรือ codein ประมาณ 1ใน 3เท่า และ codeinมีประสิทธิภาพในการแก้ไอดีกว่ายาหลอกเพียงนิดหน่อยเท่านั้น

    นอกจากนี้ ยังไม่พบผลข้างเคียงจากการใช้ theobromine เช่นที่ codein ซึ่งจัดเป็นสารเสพติดมี ได้แก่ อาการง่วง และท้องผูก หมายความว่า เราจะทาน theobromine เมื่อไรก็ได้ โดยไม่ต้องเป็นกังวลว่าทานแล้วจะง่วงนอน หรือทำงานไม่ได้
    อาสาสมัครได้รับ theobromine เทียบได้กับปริมาณในโกโก้สองถ้วย Professor Barnes อธิบายว่า ขั้นต่อไปจะเป็นการศึกษาถึงปริมาณยาที่ต่างๆกันว่าจะมีผลอย่างไร การที่ไม่พบผลข้างเคียงใดๆเลย หมายความว่าเรายังสามารถให้ยาในปริมาณที่มากกว่านี้ได้อีก ซึ่งอาจทำให้ประสิทธิภาพในการแก้ไอดีขึ้นไปด้วย
    นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่า theobromine ออกฤทธิ์โดยยับยั้งการทำงานของ เส้นประสาท vagus ที่วิ่งผ่านทางเดินหายใจจากปอดสู่สมอง ในขณะที่ capsaicin ออกฤทธิ์โดยกระตุ้นปลายประสาท vagus ซึ่งทำให้เกิดการไอ

    ผลกระทบของการศึกษานี้อาจจะมากกว่าที่เราคิด เนื่องจากผู้ป่วยโรคปอด ก็มักจะมีอาการไอเรื้อรัง และถ้า theobromine สามารถใช้ได้ผลในคนไข้เหล่านี้ด้วย มันก็จะมีประโยชน์อย่างมาก Helena Shovelton หัวหน้า British Lung Foundation กล่าวว่า จำเป็นต้องมีการศึกษาถึงรายละเอียดการออกฤทธิ์ของ theobromine มากกว่านี้ ก่อนที่มันจะได้รับการยืนยันให้เป็นยาตัวใหม่ ปัจจุบันตลาดยาแก้ไอมีมูลค่าถึงประมาณ 100ล้านปอนด์ต่อปีในอังกฤษ เป็นเงินที่ใช้ไปกับยาที่ไม่มีหลักฐานแน่ชัดด้วยซ้ำว่ามันใช้ได้ผล!

    แหล่งที่มา http://shopping.yellowgreenthailand.com/article/baeuty/016.html

    ตอบลบ
  17. นางสาวชนากานต์ อึงสวัสดิ์ รหัส 52SP2760020 ZA

    อันตราย ! จากยาลดความอ้วน
    ผลเสียจากความอ้วน คือหนทางนำไปสู่โรคร้ายนานาชนิด เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ หรือโรคร้ายอย่างมะเร็ง เป็นต้น โดยเฉพาะคุณผู้หญิง ซึ่งนอกจากโรคร้ายที่กล่าวมาแล้วข้างต้น ยังเกี่ยวเนื่องกับ ความสวยความงามอีกด้วย
    ดังนั้น เมื่อคนส่วนใหญ่มีปัญหาเรื่องน้ำหนักตัวเกินมาตรฐาน จึงต้องการลดน้ำหนักส่วนเกินด้วยกันทั้งสิ้น ต่างแสวงหาวิธีการต่างๆ นานา ที่จะทำให้น้ำหนักส่วนเกินนั้นหายไป หรือหากเป็นไปได้ไ ม่ต้องทำอะไรมาก แค่กินยาอย่างเดียว เจ้าไขมันส่วนเกินก็หายไปในบัดดล หรือจะด้วยวิธีใดก็ตามที่ไม่ต้อเสียเหงื่อ ออกแรงมาก ก็สามารถกำจัดเจ้าไขมันเหล่านี้ออกไปจากร่างกายได้

    ด้วยเหตุนี้จึงทำให้หลายคน มองข้ามอันตราย ที่จะเกิดกับสุขภาพของตนเองไป การใช้ยาลดความอ้วนดูเหมือนจะเป็นวิธีที่นิยมมาก ในกลุ่มคนเจ้าเนื้อทั้งหลาย แต่ทราบหรือไม่ว่า ยาลดความอ้วนที่วางขายอยู่ตามท้องตลาดนั้น ส่วนใหญ่เป็นตัวยาที่อยู่ในกลุ่มท ี่ช่วยลดความอยากอาหาร หรือทำให้เบื่ออาหารเท่านั้น ที่สำคัญยาในกลุ่มนี้ จะมีข้อเสียมากกว่าข้อดี เพราะหลังจากที่คุณรับประทานยานี้แล้ว จะทำให้นอนไม่หลับ ปากแห้ง กระหายน้ำ หงุดหงิด คลื่นไส้ อาเจียน เวียนศีรษะ และเมื่อใช้ยาไประยะหนึ่งจะเกิดภาวะดื้อยา ทำให้ต้องเพิ่มขนาดของยามากขึ้น และอาจจะเป็นอันตรายต่อร่างกายได้ ดังนั้น การใช้ยาประเภทนี้ จึงต้องอยู่ภายใต้ความดูแลของแพทย์ อย่างใกล้ชิดเท่านั้น และเมื่อคุณหยุดใช้ยาส่วนใหญ่ จะกลับมามีน้ำหนักเท่าเดิม หรือเพิ่มมากขึ้นกว่าเดิม

    ก่อนหน้ามียาคู่แฝดมหัสจรรย์ซึ่งเคยได้รับอนุญาติให้สามารถจำหน่ายได้ แต่ปัจจุบันถูกระงับใช้ ไปเรียบร้อยแล้ว นั่นคือ ยาเฟน-เฟน (Fen-Phen) ซึ่งหมายถึง เฟนฟลูรามีน (Fenfluramine) กับ เฟนเทอร์มีน (Phentermine) อันเป็นยายอดฮิตในการลดความอ้วน ความเสี่ยงของยาเฟนฟลูรามีนนี้ อาจทำให้ผู้รับประทานเกิดภาวะควมดันโลหิตสูงในหลอดเลือดส่งไปยังปอด ทำให้เลือดดำเปลี่ยนเป็น เลือดแดงที่ปอดไม่ได้ ร่างกายก็จะขาดออกซิเจน มีอาการหายใจลำบาก หายใจไม่เต็มอิ่ม เจ็บปวดที่หน้าอก เป็นลมง่าย บางครั้งเลือดไหลเวียนไม่ดีมีอาการบวมที่ขาด้วย และหากท่านใช้ เฟนฟลูรามีน ควบคู่กับ เฟนเทอร์มีน จะพบว่าทำให้ลิ้นหัวใจผิดปกติ ไม่สามารถปิดสนิท อันนำไปสู่ภาวะหัวใจล้มเหลวได้

    นอกจากตัวยาที่กล่าวแล้วข้างต้น การใช้ยาระบาย ยาขับปีสสาวะและสมุนไพรต่างๆ ซึ่งเป็นที่นิยมเช่นกัน แต่ผู้ใช้ก็ต้องระวัง เนื่องจากตัวยาเหล่านี้ มีคุณสมบัติเป็นยาถ่ายอย่างแรง มีผลให้ร่างกายขับถ่ายน้ำออกไปเท่านั้น โดยที่ ไม่ได้ละลายไขมันออกมาเลย และหากใช้ยาระบายติดต่อกันเป็นประจำ จะส่งผลให้ลำไส้บีบตัวเองไม่เป็น ในที่สุดก็เกิดภาวะท้องผูกเรื้อรัง นอกจากนี้ยังทำให้ร่างกายสูญเสียเกลือแร่บางอย่างมากเกินไป โดยเฉพาะโปแตสเซียม ซึ่งจำเป็นต่อการเต้นของหัวใจ เกิดความไม่สมดุลของเกลือแร่ในร่างกาย อาจทำให้หัวใจเต้นผิดปกติ หรืออาจจะหยุดเต้นได้

    ทางที่ดีที่สุดของการลดความอ้วนให้ปลอกดภัย ควรเริ่มจากตัวคุณเอง เริ่มฝึกตัวเองให้มีบริโภคนิสัยที่ดี หลีกเลี่ยงอาหารที่มไขมันและให้พลังงานสูง บริโภคผักและผลไม้เป็นประจำ หมั่นออกกำลังกายและพักผ่อนให้เพียงพอ หากคุณปฎิบัติได้ตามนี้ คุณก็ไม่จำเป็นต้องพึ่งยาขนานใด เพื่อลดน้ำหนักส่วนเกินเลยก็ได้
    ที่มา http://www.rx12.wsnhosting.com/panpup/obestoxic.html

    ตอบลบ
  18. นาย สาธิต แก้วสวี รหัส 52SP2760046 za

    ยาใหม่ในการรักษาผู้ป่วยโรคเบาหวาน Sitagliptin

    "โรคเบาหวาน" ถือเป็นภัยคุกคามชีวิตและสร้างมูลค่าความเสียหายอย่างมหาศาล ทั้งความเสียหายทางการแพทย์ และเศรษฐกิจ โดยองค์การอนามัยโลก (WHO) ได้จัดให้เป็นโรคที่มีความสำคัญเป็นลำดับที่ 2 ที่จำเป็นต้องให้ความใส่ใจในการป้องกัน และรักษา รองจากโรคเอดส์ เพราะต้องใช้ทรัพยากรในการรักษาจำนวนมากปัจจุบัน ทั่วโลกมีผู้ป่วยเบาหวานประมาณ 246 ล้านคน ในจำนวนนี้เป็นผู้ป่วยในประเทศไทย ประมาณ 2 ล้านคน ซึ่งในรอบ 10 ปีที่ผ่านมา ประชากรทั่วโลกป่วยเป็นโรคเบาหวานเพิ่มมากขึ้นถึง 10 เท่าตัว ขณะที่ผู้ป่วยเบาหวานมีความเสี่ยงในการเสียชีวิตมากกว่าคนปกติถึง 2 เท่าเบาหวาน แบ่งได้ 2 ชนิดหลัก โดยชนิดแรก (Type I) ชนิดที่ต้องพึ่งอินซูลิน เพราะตับอ่อนบกพร่องมาตั้งแต่กำเนิด ไม่สามารถผลิตอินซูลินได้เอง ส่วนใหญ่พบในเด็กเล็กอายุไม่เกิน 10 ปี ผู้ป่วยกลุ่มนี้ต้องได้รับการรักษาด้วยการฉีดอินซูลินสังเคราะห์เบาหวานชนิดที่ 2 (Type II) เป็นชนิดที่ไม่ต้องพึ่งอินซูลิน ผู้ป่วยเบาหวานในไทย เป็นชนิดนี้ร้อยละ 98 และมีผู้ป่วยทั่วโลก ร้อยละ 90-95 ผู้ป่วยเบาหวานชนิดนี้เป็นผู้ใหญ่เกือบทั้งหมด สาเหตุเกิดจากร่างกายไม่สามารถตอบสนองต่อฤทธิ์ของอินซูลินที่ตับอ่อนผลิตได้ การรักษาเบาหวานชนิดที่ 2 ค่อนข้างซับซ้อน เพราะต้องใช้การรักษาหลายวิธีควบคู่กันไป ซึ่งบางวิธีอาจมีผลข้างเคียงเกิดขึ้น เช่น น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้น คลื่นไส้ อาเจียน และปัญหาที่สำคัญคือ ภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ

    American Diabetes Association (ADA) guidelines แนะนำให้ใช้ metformin และ lifestyle changes เป็น first-line therapy ในผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 แต่ถ้าผู้ป่วยยังไม่สามารถควบคุมระดับน้ำตาลได้ หรือมีข้อห้ามใช้ metformin จะให้การรักษาขั้นตอนที่ 2 ซึ่งประกอบด้วย insulin, sulfonylureas, หรือ thiazolidinediones (TZDs) แต่การใช้ยาเหล่านี้ถูกพบว่ามีข้อจำกัดเนื่องจากหลาย ๆ ปัจจัย เช่น sulfonylureas จะมีประสิทธิผลลดลงเมื่อใช้ไปในระยะเวลานาน และหลักฐานที่พบเร็ว ๆ นี้บ่งว่า rosiglitazone ซึ่งเป็นยาในกลุ่ม TZDs อาจจะเพิ่มปัจจัยเสี่ยงในการเกิด cardiovascular disease และ แม้ว่า metformin และ TZDs จะช่วยรักษา insulin resistance แต่ก็ไม่ได้ช่วยหยุดยั้งการลดลงของ beta-cell function ในผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 ดังนั้นวิธีการรักษาใหม่ ๆ จึงเป็นที่ต้องการ โดยหนึ่งในการรักษาใหม่นั้นมีเป้าหมายการรักษาอยู่ที่ incretin hormones

    "ลำไส้ ซึ่งเป็นทางเดินของอาหาร มี incretin hormones ทำหน้าที่ควบคุมระดับน้ำตาลโดยเพิ่มการสังเคราะห์และปล่อยอินซูลินจาก beta cells ของตับอ่อน และลดการปล่อยฮอร์โมน glucagon จาก alpha cells ของตับอ่อน นอกจากนี้ยังช่วย improves beta-cell function ร่ายกายจะผลิต incretin hormones ได้ต่อเมื่อที่มีอาหารเดินทางผ่านลำไส้เท่านั้น แต่ปัญหาก็คือ ขณะเดียวกันร่างกายก็จะหลั่งเอ็นไซม์ dipeptidyl peptidase 4 หรือ DPP-4 ทำหน้าที่ย่อยสลาย incretin hormones ทำให้ incretin hormones ที่หลั่งออกมามีฤทธิ์อยู่ได้ไม่นาน และ incretin hormones ในผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 จะถูกสร้างลดลงด้วย นักวิจัยจึงคิดค้นตัวยา หรือสาร Sitagliptin ช่วยในการยับยั้งไม่ให้เอ็นไซม์ DPP-4 ย่อยสลาย incretin hormones ทำให้ incretin hormones เพิ่มระดับมากขึ้นเป็นผลให้ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้ กลไกการทำงานของยา sitagliptin จะขึ้นอยู่กับกลูโคส (glucose-dependent) โดยยาจะมีผลตอบสนองต่อระดับกลูโคสที่เพิ่มขึ้นและการปล่อยอินซูลิน รวมถึงการลดระดับฮอร์โมน glucagons เฉพาะเมื่อระดับน้ำตาลในเลือดเพิ่มขึ้น ซึ่งจะลดแนวโน้มการเกิดภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำทีมวิจัยได้ทำการทดลองศึกษาในประเทศจีน อินเดีย เกาหลี และไทย เป็นเวลา 18 สัปดาห์ โดยเปรียบเทียบระหว่างกลุ่มที่ได้รับยาจริง และยาหลอก โดยเป็นยาเม็ด ขนาด 100 มิลลิกรัม ให้ยาทุกวัน วันละ 1 เม็ด พบว่า การยับยั้งเอ็นไซม์ DPP-4 สามารถควบคุมน้ำตาลได้ ลดระดับน้ำตาลในเลือดได้อย่างมีนัยสำคัญ โดยผู้ป่วยมีระดับน้ำตาลในเลือดสะสม (A1C) ร้อยละ 8.7 และ 7.7 เมื่อเทียบกับกลุ่มที่ได้รับยาหลอก ขณะที่คนปกติจะมีระดับน้ำตาลในเลือดสะสมอยู่ที่ ร้อยละ 6

    ที่มา:เอกสารอ้างอิง1. หนังสือพิมพ์มติชน. ความหวังใหม่ผู้ป่วยเบาหวาน อย.ขึ้นทะเบียนตำรับยา "Sitagliptin".
    http://phramy.exteen.com/20091027/sitagliptin

    ตอบลบ
  19. น.ส.กรกนก ยุพการนนท์ 52SP2760045 - ZA


    คิดยาเม็ดรักษาโรคสมองเสื่อมขึ้นได้แล้ว หยุดโรคได้กลางคัน


    นับเป็นความก้าวหน้าครั้งใหญ่ครั้งหนึ่ง เมื่อนักวิทยาศาสตร์สามารถคิดยากินวันละเม็ด ที่อวดว่า สามารถยุติโรคสมอง เสื่อมลงได้กลางคัน โดยที่ไม่ทำให้เซลล์ สมองตายลงเรื่อยๆอีกต่อไป ทั้งยังบำรุงความจำให้แจ่มใส

    คณะนักวิทยาศาสตร์มหาวิทยาลัยเท็กซัส เซาธ์เวสเติร์นของสหรัฐฯได้แจ้งว่า ยาที่คิดได้ ตั้งชื่อว่า "พี 7 ซี 3" ช่วยหยุดยั้งอาการโรคสมองเสื่อม ไม่ให้ดำเนินไปจนถึงระยะสุดท้าย ซึ่งจะก่อความเสียหายอย่างรุนแรง ถึงขั้นที่ไม่ อาจเดินเหิน พูดจา และกลืนอาหารได้ โรคจะ ทำลายสมองลงเป็นลำดับ มีผู้ป่วยด้วยอาการนี้ ทั่วโลกเกือบ 26 ล้านคน โดยกว่าจะพบยาได้ ต้องทดลองสารเคมีกับหนูไม่ต่ำกว่า 1,000 ชนิด ในจำนวนสารเคมี 300,000 ชนิดด้วยกัน

    หัวหน้าทีมนักวิจัย นานาชาติ อาจารย์สตีวน แมคไนท์ เปิดเผยว่า "หนูที่ใช้ทดลองเหล่านี้ไม่อาจจะสร้างหน่วยประสาทใหม่ขึ้นอีกง่ายๆ ปัญหาจึงอยู่ที่ว่า จะต้องแก้ให้ได้ และก็สามารถทำได้ไม่แต่เพียงเซลล์สมองใหม่จะเกิดขึ้นเท่านั้น หากยังทำงานได้ดีด้วย"

    เขารายงานว่า ยาได้แสดงสรรพคุณให้เห็น ช่วยให้หนูแก่มีความจำดีขึ้น หาหนทางออกจากทางวกวนได้เร็วขึ้น และเมื่อผ่าสมองออกดูได้พบว่า มีหน่วยประสาทเกิดใหม่ในสมองสูงกว่าปกติถึง 3 เท่า.


    ที่มา : http://www.thairath.co.th/content/life/95887

    ตอบลบ
  20. นางสาว สุรีพร ยะวงษ์ศรี 52SP2760057

    FDA อนุมัติยารักษาโรคไข้หวัดใหญ่ชนิดใหม่

    องค์การอาหาร และยา หรือ FDA ของสหรัฐ อนุมัติให้มีการใช้ยาชนิดใหม่ที่ใช้รักษาอาการบางอย่างของโรคไข้หวัดใหญ่ได้ และยาดังกล่าวจะวางตลาดโดยผู้ผลิตยา Glaxo Wellcome ภายใต้ชื่อ Relenza (Zanamivir)

    สำหรับการใช้ยา Relenzaนั้นจะต้องมีอุปกรณ์พลาสติกสำหรับสูดเข้าปาก ที่เรียกว่าDiskhaler และที่สำคัญยาชนิดนี้นับว่าเป็นยาชนิดแรกที่ได้รับการอนุมัติจากFDAให้ใช้รักษาอาการของโรคไข้หวัดใหญ่ นับตั้งแต่มีการRimantadineในปี ๑๙๙๓

    ผลการศึกษาพบว่า หลังจากผู้ป่วยใช้ยา Relenza วันละ ๒ ครั้ง เป็นเวลา ๕ วันติดต่อกัน จะช่วยลดอาการของโรคให้หายได้รวดเร็วขึ้นประมาณ ๑ ถึง ๒ วัน ซึ่งถ้าจะให้ได้ผลดีแล้วจะต้องใช้ยาให้เร็วที่สุดทันทีที่อาการของโรคไข้หวัดใหญ่ได้เริ่มขึ้น อีกทั้ง FDA ยังย้ำว่า ยาชนิดนี้ใช้ได้ผลกับผู้ป่วยที่ปรากฏอาการของโรคไข้หวัดใหญ่ได้เพียงแค่ ๒ วัน และยา Relenza นี้จะใช้ได้ผลน้อยกับผู้ที่มีไข้สูง หรือมีอาการของโรคไข้หวัดใหญ่ที่รุนแรง

    Dr. Arnold Monto แห่ง University of Michigan กล่าวว่า ยาชนิดนี้ มีความสำคัญเพราะสามารถ
    ต่อต้านเชื้อ Influenza และความอ่อนเพลีย นอกจากนี้ ยาดังกล่าวอาจจะนำมาซึ่งความเปลี่ยนแปลงในวิธีการรักษา เพราะเรียกได้ว่าเป็นยารักษาอาการของโรคไข้หวัดใหญ่ที่ให้ผลดีในการต่อต้าน
    ชนิดของโรคทั้งชนิด A และ B ซึ่งในปัจจุบันนี้ ยาที่มีจำหน่ายในท้องตลาด เป็นยาสำหรับต่อต้าน Influenza A

    ทางด้าน Elizabeth Zolowicz ผู้รับการทดสอบ กล่าวว่า ยา Relenza ใช้ได้ผลดีกับตนเองอย่างเห็นได้ชัด โดยเธอใช้ยาในช่วงเที่ยงคืน และพบว่าในตอนเช้าอาการไข้ได้หายไปและอาการโดยรวมก็ดีขึ้นมา
    การศึกษาล่าสุด ยังพบว่า Relenza ช่วยป้องกันไข้หวัดได้ดีพอ ๆ กับการฉีดยาซึ่งทางบริษัท Glaxo
    Wellcome มีโครงการจะนำเสนอให้ FDA อนุญาติให้นำมาใช้ในการป้องกันไข้หวัดใหญ่ ในปลายปีนี้

    ยา Relenza นี้ คาดว่าจะสามารถนำออกวางจำหน่ายตามร้านขายยาในสหรัฐได้ในช่วงฤดูใบไม้ร่วงปีนี้ ในขณะที่ยาดังกล่าว ได้นำออกวางจำหน่ายในออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ไปแล้ว ยิ่งไปกว่านั้น ยา Relenza ยังได้รับการยอมรับจากประเทศในยุโรป ๑๕ ประเทศและในสวิสเซอร์แลนด์มาแล้ว

    ส่วนผู้ป่วยที่สามารถจะใช้ยาดังกล่าวได้ จะต้องมีอายุ ๑๒ ปีขึ้นไป และยังต้องระมัดระวังในการนำมาใช้กับผู้ที่มีอาการหอบหืด เพราะยาดังกล่าวอาจทำให้เกิดอาการหอบหืด(Bronchial Spasm) ได้

    http://www.thaiclinic.com/news_flu.html

    ตอบลบ
  21. นางสาวรติรมย์ ถมยา 52SP2760047 (ZA)

    ค้นพบยาต้านไวรัสไข้หวัดนกสายพันธุ์มรณะได้แล้ว

    นักวิทยาศาสตร์ฮ่องกง ค้นพบยาที่สามารถต้านไวรัสไข้หวัดนกสายพันธุ์มรณะได้แล้ว

    ทีมนักวิจัยของฮ่องกง ได้ประสบความสำเร็จในการทดสอบยาตัวใหม่ที่ใช้ตัวยา 3 ชนิดผสมกันที่อาจช่วยต่อต้านไวรัสไข้หวัดนกในมนุษย์ โดยในรายงานการวิจัยที่กำหนดจะเผยแพร่ในวารสาร โพรซีดดิ้งส ออฟ เดอะ เนชั่นแนล อะคาเดมี่ ออฟ ไซเอินซ์ ของสหรัฐ ในวันพฤหัสบดีนี้ ระบุว่า การใช้ตัวยา 3 ชนิดผสมกัน ได้ช่วยทำให้อัตราการรอดชีวิตของหนูทดลอง ที่ถูกทำให้ติดเชื้อไวรัสมรณะ H5N1 รอดชีวิต

    ทีมนักวิจัย 13 คน ของมหาวิทยาลัยฮ่องกง ที่ร่วมกันค้นคว้าเรื่องนี้ ระบุว่า การใช้ยาตัวใหม่ในการรักษาอาจช่วยเพิ่มโอกาสรอดให้กับคนที่ติดเชื้อไวรัส H5N1 ถ้าประสบความสำเร็จในการใช้กับมนุษย์ การทดสอบใช้ยาตัวใหม่กับหนูที่ถูกฉีดเชื้อไวรัสมรณะเข้าสู่ร่างกาย ทำให้พบว่า การใช้ยา 3 ชนิดผสมกัน ช่วยทำให้อัตราการรอดชีวิตเพิ่มขึ้นจาก 13.3 เปอร์เซ็นต์ เป็น 53.3 เปอร์เซ็นต์ ขณะที่อัตราการเสียชีวิตของมนุษย์ที่ติดเชื้อไข้หวัดนก อยู่ที่ระหว่าง 45-81 เปอร์เซ็นต์

    องค์การอนามัยโลก ระบุว่า มีบริษัทผลิตยาหลายแห่ง ต่างกำลังค้นคว้าวิจัยวัคซีนที่จะนำมาใช้ป้องกันไข้หวัดนก ที่คร่าชีวิตประชาชนกว่า 240 คน ส่วนใหญ่ในเอเชีย นับตั้งแต่ปี 2546 เป็นต้นมา

    ทีมา:
    http://news.sanook.com/technology/technology_274188.php

    ตอบลบ
  22. พบยาใหม่ใช่รักษาโรคหัวใจ เม็ดเดียว 5 ขนาน


    นางสาว ธนาภรณ์ จิระชาญชัยศิริ 52SP2760040 ZA

    ทดลองใช้ยารักษาโรคหัวใจและหลอดเลือดสมองรวม 5 ขนานในเม็ดเดียวประสบความสำเร็จ เชื่อมั่นจะสามารถช่วยรักษาชีวิตคนทั้งโลกได้ เรือนเป็นสิบ ๆ ล้านคน


    ยาดังกล่าวเป็นยาเม็ดที่รวมยาแอสไพริน ยาลดไขมัน และยาลดความดันโลหิต 3 อย่าง อยู่ในเม็ดเดียวกัน เพื่อสำหรับผู้ที่มีวัยเกิน 55 ปี ใช้กินป้องกันโรคหัวใจและโรคหลอดเลือดสมอง เป็นการประหยัดเงินด้วย
    เจ้าหน้าที่ได้จัดให้มีการทดลองใช้ยา ขึ้นตามศูนย์การแพทย์ทั่วอินเดีย 50

    แห่ง กับผู้ที่แข็งแรงดีและปลอดจากโรคหลอดเลือดสมอง หากแต่มีอาการความดันโลหิตสูง หรือเคยสูบบุหรี่มาเป็นเวลานานอยู่บ้าง จำนวน 2,053 ราย และ ปรากฏว่าได้ผลดี ไม่แพ้กับที่เคยจ่ายยาแต่ละชนิดให้กัน คน เหล่านั้นต่างมีความดันโลหิตและไขมันในเลือดลดต่ำลง


    ศาสตราจารย์ไซมอน ทอม แห่งมหาวิทยาลัยอิมพีเรียล คอลเลจ ลอนดอน ได้กล่าวบอกว่า คงยังต้องรออีกไม่ต่ำกว่า 5 ปี กว่าจะรวบรวมข้อมูลกันได้มากพอที่เจ้าหน้าที่อาหารและยา จะตกลงอนุมัติให้ใช้ยาเม็ดรวม 5 ขนานนี้ได้



    ที่มา

    http://blog.eduzones.com/wanwan/21595

    ตอบลบ
  23. นางสาวจันจิรัตน์ เรืองคง 52SP2760012 za




    ชื่อสามัญ Dextromethorphan

    ชื่อการค้า
    Dextropac tablets(ชื่อบริษัท)



    รูปแบบยา ยาเม็ด

    ยานี้ใช้สำหรับ
    รักษาอาการไอ เนื่องจากไข้หวัด หวัด

    วิธีใช้ยา
    ยานี้เป็นยาเม็ดสำหรับรับประทาน โดยทั่วไปรับประทานครั้งละ 1 เม็ด วันละ 3- 4 ครั้ง
    ควรรับประทานยานี้ตามวิธีที่ระบุไว้บนฉลาก ไม่ควรรับประทานยาในขนาดที่มากหรือน้อยกว่าที่ระบุ หากมีข้อสงสัยให้สอบถามแพทย์หรือเภสัชกร

    เมื่อได้รับยาเกินขนาด อาจแสดงอาการดังต่อไปนี้
    หายใจลำบาก
    ปากเขียว เล็บเขียว
    มึนศีรษะ
    คลื่นไส้ อาเจียน
    ประสาทหลอน
    ใจสั่น
    กล้ามเนื้อเกร็ง
    ความดันโลหิตเปลี่ยนแปลง โดยอาจเกิดได้ทั้งความดันสูงและความดันต่ำ
    หากสงสัยว่าได้รับยาเกินขนาด แนะนำให้นำตัวส่งโรงพยาบาลทันที
    ข้อมูลที่จำเป็นต้องแจ้งให้แพทย์ทราบ เพื่อเป็นประโยชน์ในการช่วยชีวิต
    อายุ น้ำหนัก และอาการของผู้ป่วย
    ชื่อสามัญทางยา ชื่อการค้า และขนาดยา หากเป็นไปได้ให้นำผลิตภัณฑ์นั้นติดตัวไปด้วย
    เวลาที่เริ่มรับประทานยาเกินขนาด
    เวลาที่เริ่มเกิดอาการผิดปกติ
    จำนวนของยาที่ได้รับประทานเข้าไป




    สิ่งที่ควรแจ้งแพทย์หรือเภสัชกรทราบ
    ประวัติแพ้ยา dextromethorphan หรือแพ้ยาอื่นๆ
    ยาประจำใช้อยู่ทั้งที่แพทย์สั่งจ่ายหรือยาที่ซื้อใช้เอง รวมถึงวิตามิน อาหารเสริม และยาสมุนไพร
    โรคประจำตัว อาการหรือโรคที่เคยเป็นมาในอดีต
    ตั้งครรภ์ วางแผนในการตั้งครรภ์ หรืออยู่ระหว่างให้นมบุตร หากตั้งครรภ์ระหว่างใช้ยานี้ต้องแจ้งให้แพทย์ทราบ

    ทำอย่างไรหากลืมรับประทานยาหรือใช้ยา
    โดยทั่วไปถ้าลืมรับประทานยา ให้รับประทานยาทันทีที่นึกได้ ถ้าเป็นเวลาใกล้มื้อถัดไป ให้ข้ามไปรับประทานยามื้อต่อไปได้เลยโดยไม่ต้องเพิ่มขนาดยาเป็นสองเท่า

    อาการอันไม่พึงประสงค์จากการใช้ยา
    อาการอันไม่พึงประสงค์ที่ต้องแจ้งแพทย์หรือเภสัชกรทันที
    ผื่นคันที่ผิวหนัง หน้าบวม ปากลวม ลิ้นบวม หายใจลำบาก สับสน ตื่นเต้น กระสับกระส่าย นอนหลับไม่ค่อยได้ หรือ โกรธง่าย ชัก
    อาการอันไม่พึงประสงค์อื่นที่อาจเกิดระหว่างใช้ยา หากเป็นต่อเนื่อง หรือ รบกวนชีวิตประจำวัน ให้ แจ้งแพทย์หรือเภสัชกรทราบ
    ปวดศีรษะ ไม่สบายท้อง อ่อนเพลีย

    การเก็บรักษายา
    เก็บยานี้ในภาชนะบรรจุเดิมที่บรรจุมา ปิดภาชนะให้สนิท และเก็บให้พ้นมือเด็ก
    เก็บยานี้ที่อุณหภูมิห้องโดยไม่ให้ร้อนกว่า 30 องศาเซลเซียส เช่น บริเวณที่ถูกแสงแดดโดยตรง และไม่เก็บยาในบริเวณที่เปียกหรือชื้น
    ทิ้งยานี้เมื่อยาหมดอายุ


    ที่มา
    http://www.yaandyou.net/search2_web.php?nsetid=1141&genname=Dextromethorphan&dosageform=0&gen_name=dextromethorphan

    ตอบลบ
  24. นางสาว กรพินธ์ จิตรมั่น 52SP2760014 ตอนเรียนZA

    ยาใหม่รักษาไวรัสบี ความหวังในคนไข้ตับอักเสบ
    ก้าวใหม่ในการรักษาตับอักเสบเรื้อรังจากไวรัสบี
    ยาตัวนี้ชื่อว่า Hepsera ได้รับการอนุมัติจากองค์การอาหารและยาของสหรัฐอเมริกาเมื่อกันยายน ปีที่แล้ว ในการรักษาตับอักเสบเรื้อรังจากไวรัสบี ความแตกต่างที่เหนือกว่ายาเก่าสองตัว (คือ อินเตอร์ฟีรอน และ ลามิวูดิน) คือยานี้ ทำให้เกิดเชื้อดื้อยาน้อยกว่ามาก ผู้ป่วยมีผลข้างเคียงน้อยกว่า
    จากการเปรียบเทียบกับยาเก่าคือ ลามิวูดิน (ชื่อการค้าคือ zeffix ที่หลายคนเคยได้ใช้)ปรากฎว่ายาใหม่นี้ไม่มีเชื้อดื้อยาเลย เมื่อเทียบกับลามิวูดิน ที่มีเชื้อดื้อยา 15% ต่อปี บางรายงานถึง 65% การศึกษานี้ตีพิมพ์ลงใน New England Journal of Internal medicine เมื่อ กุมภาพันธ์ปีนี้ โดยเชื่อว่า การรักษาที่ได้ผลจากยากลุ่มใหม่นี้ เป็นการเปิดยุคใหม่ของการรักษาตับอักเสบจากไวรัสเลยทีเดียว
    จากการวิจัย โดยใช้กลุ่มตัวอย่างไวรัสบี พบว่า 53% -64% ของคนไข้ที่มีเชื้อไวรัสบี และมีตับอักเสบเรื้อรัง มีอาการดีขึ้นชัดเจน ไม่มีการดื้อยา และผลข้างเคียงต่ำ แม้จนขณะนี้สองปี ผู้ป่วยก็ยังรับประทานยาอยู่
    "Hepsera เป็นยาตัวแรก ในยากลุ่มใหญ่ที่เรากำลังทดสอบ ซึ่งแน่นอน เมื่อมีตัวยาหลากหลาย ก็จะสามารถมีตัวเลือกในการใช้ยารวม มากขึ้นในกลุ่มผู้ติดเชื้อไวรัสบี คล้าย ๆ กับเอดส์ และไวรัสซี"
    มากกว่า 350 ล้านคนทั่วโลก เป็นไวรัสตับอักเสบบี ในไทย ผู้ที่มีเชื้อประมาณ 10 % ของประชากรทั้งหมด เชื้อนี้ติดต่อกันง่ายมากทางการรับประทานอาหารร่วมกัน เพศสัมพันธ์ และการรับเลือด ติดง่ายกว่าเอดส์ และผู้ที่มีอาการเฉียบพลัน จะมีตัวเหลือง ตาเหลือง และโอกาสเป็นไวรัสตับเรื้อรังได้ ผู้ที่เป็นเรื้อรัง จะมีโอกาสเป็นตับแข็ง และมะเร็งตับสูงกว่าปกติ
    Hepsera แรก ๆนั้นพัฒนามาเพื่อใช้ในคนไข้เอดส์ แต่พบว่าในขนาดที่รักษาโรคเอดส์ มีผลข้างเคียงต่อไต เมื่อลดขนาดให้เหลือน้อยลง( 10 มิลลิกรัมต่อวัน) พบว่าให้ผลการรักษาเท่ากัน แต่ไม่ทำอันตรายต่อไต
    ในอนาคต เชื่อว่า ยาในกลุ่มนี้ จะเป็นความหวังในผู้ที่ดื้อยาตัวอื่น หรือผู้ที่จำเป็นจะต้องได้รับยาเป็นระยะเวลานาน ๆ

    http://www.thaihealth.net/h/article51.html

    ตอบลบ
  25. นาย จักรพันธ์ กิจประชา รหัส 52SP2760024 ZA

    Ixabepilone ยารักษาโรคมะเร็งเต้านมตัวใหม่
    Ixabepilone เป็นยารักษาโรคมะเร็งเต้านมที่เพิ่งได้รับอนุมัติจาก US FDA ให้จำหน่ายในชื่อการค้า Ixempra ของบริษัทบริสตอล ไมเออร์ สควิปส์ นับเป็นยาตัวใหม่Microtubule ตัวแรกในกลุ่ม epothilones ที่ออกฤทธิ์ฆ่าเซลล์มะเร็งโดยการยับยั้งการสร้างเส้นใย microtubule เป็นเส้นใยพอลิเมอร์ประกอบด้วย a- และ b-tubulin ซึ่งเป็นตัวสำคัญต่อการทำงานของเซลล์ ได้แก่ การแบ่งตัวและการเจริญเติบโต microtubule เป็นสารซับซ้อนมีโครงสร้างแปรเปลี่ยนได้ ซึ่งจำเป็นต่อการทำงานของเซลล์ มีสารหลายชนิด ทำปฏิกิริยากับ tubulin และทำลายการเปลี่ยนโครงสร้างที่ใช้ในการแบ่งตัว สารเหล่านี้จึงมีฤทธิ์ยับยั้งการแบ่งตัวของเซลล์ ใช้เป็นยาต้านมะเร็ง สารเหล่านี้แบ่งได้เป็น 2 กลุ่มคือ สารที่ทำให้ microtubule ไม่คงสภาพ เช่น อัลกาลอยด์จากต้นพังพวย และสารที่ทำให้ microtubule คงตัว ได้แก่ taxanes เช่น paclitaxel และ docetaxel ซึ่งเป็นยาฆ่าเซลล์มะเร็งที่ได้ผลในปัจจุบัน แต่ยังมีข้อจำกัดบางประการ ดังนั้น จึงมีการพัฒนายาใหม่เพื่อขจัดข้อจำกัดนี้ สาร Epothilones แยกได้จากเชื้อ Sorangium cellulosum ซึ่งจัดอยู่ในกลุ่มสารที่ทำให้ microtubule คงตัว ค้นพบในทศวรรษที่ 1990 พบว่ามีฤทธิ์ต้านเซลล์มะเร็งได้พอควร แต่มีปัญหาในทางเภสัชจลนศาสตร์ ซึ่งได้ดัดแปลงสูตรเคมีได้อนุพันธ์กว่า 300 ตัว ในที่สุดก็พบสาร ixabepilone หรือ BMS-247550 ที่ใช้เป็นยาได้ ixabepilone เป็นสารที่จับกับ b-tubulin บน microtubule ยับยั้งวงจรการแบ่งเซลล์ ทำให้เซลล์ตาย การทดสอบในหลอดทดลองพบว่า มีฤทธิ์ทำลายเซลล์มะเร็งที่แรงมาก แม้จะเป็นเซลล์มะเร็งที่ดื้อต่อยา paclitaxel มีการพิสูจน์ผลของยา ixabepilone ทางคลินิกหลายการศึกษา การทดลองทางคลินิกระยะที่ 3 ให้ยา ixabepilone (40 mg/m2 information ทุก 3 สัปดาห์) ร่วมกับยา capecitabine (ขนาด 1,000 mg/m2 วันละ 2 ครั้งเป็นเวลา 2 สัปดาห์) แล้วให้พัก 1 สัปดาห์ เปรียบเทียบกับกลุ่มที่ได้ยาcapecitabine อย่างเดียว (ขนาด 1,250 mg/m2 วันละ 2 ครั้ง 2 สัปดาห์ และพัก 1 สัปดาห์) โดยมี คนไข้ที่เข้าร่วมทั้งหมด 752 รายที่มีอาการลุกลามของโรคมะเร็ง หรือมีมะเร็งระยะก้าวหน้า ที่เต้านม คนไข้เคยได้รับการรักษาด้วยยาเคมีบำบัด anthracycline และยา การเปรียบเทียบนี้ใช้ตัวชี้วัดคือ ระยะเวลาการยืดอายุในช่วงที่ปลอดจากการเจริญของมะเร็ง (progression-free survival - PFS) โดยวิเคราะห์จากภาพทางรังสี หรือจากข้อมูลการเสียชีวิต พบว่าการรักษาด้วยยา ixabepilone ร่วมกับ capecitabine ได้ผลแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญ การใช้ยาร่วมมีค่า PFS เฉลี่ย 5.7 เดือน ในขณะที่การใช้ยา capecitabine อย่างเดียวได้ค่า PFS 4.1 เดือน ชนิด แล้วยังคงมีการเจริญของมะเร็งหรือมีการดื้อต่อยาที่ใช้ หรือรายที่ใช้ยา anthracycline ในขนาดสะสมเกินขั้นต่ำแล้วพบว่ามะเร็งโต หรือมีอาการดื้อยา
    2. การใช้ยาเดี่ยว Ixabepilone สำหรับมะเร็งเต้านมระยะกระจายหรืออยู่ที่เต้านมในระยะก้าวหน้า ซึ่งดื้อยาหรือไม่ตอบสนองต่อยา anthracycline และยากลุ่ม taxanes และ capecitabine
    ที่มาhttp://www.medicthai.com/admin/news_cpe_detail.php?id=301

    ตอบลบ
  26. นางสาว สุพินญา ฉลวยธนาพร รหัส 52SP2760016


    สูตรยาสมุนไพรแก้โรคเบาหวาน

    โรคเบาหวาน เป็นต้นเหตุ และปัจจัยทำให้เกิดผลกระทบมากมาย จนอาจทำให้ผู้ป่วยเสียชีวิตในที่สุด เช่น ผู้ป่วยอาจไม่สามารถเข้ารับการผ่าตัดได้ เพราะเป็นเบาหวาน เป็นต้น อาม่าของผมได้ทานยาสมุนไพรสูตรหนึ่ง และไม่น่าเชื่อว่าได้หายจากโรคเบาหวานแล้ว ทั้งที่อายุมากแล้ว หลายปีก่อนเกิดอุบัติเหตุกับท่าน จึงมีความจำเป็นที่ต้องเข้ารับการผ่าตัด บริเวณกระดูกเชิงกราน ส่วนข้อต่อกระดูก คือต้องใส่ข้อเทียม

    อาม่าผมอายุมากแล้ว แต่ก็สามารถเข้ารับการผ่าตัดได้ และฟื้นตัวค่อนข้างเร็ว และยังสามารถเดินระยะสั้นๆ ได้อีก การที่ไม่เป็นเบาหวานก็เป็นปัจจัยที่ทำให้ผ่าตัดได้ครับ

    สูตรยาที่ผมจะบอกทุกคนคือ

    1. นำใบเตย 24 ใบ มาซอยเป็นชิ้นเล็กๆ ตากแดดซัก 2-3 แดดให้แห้งสนิท ไม่มีความชื้น

    2. นำใบสัก 7 ใบ ที่ยังอยู่บนต้นสัก ไม่ตกลงพื้น มาตากแดดซัก 2-3 แดดจนแห้ง ซึ่งจะกรอบ และทำให้เป็นชิ้นเล็กๆ

    3. นำใบเตย และใบสักที่แห้งสนิท ตามสัดส่วนมาผสมให้เข้ากัน เก็บในภาชนะปิดสนิท เช่นขวดกาแฟ เป็นต้น

    4. นำใส่แก้ว เติมน้ำร้อน หรือใส่กาน้ำชา ดื่มคล้ายน้ำชา เริ่มจากวันละ 1 แก้ว ช่วงไหนของวันก็ได้ จนเป็น 3 แก้วต่อวัน

    5. คอยสังเกตุ ติดตามผลการตรวจวัดน้ำตาล จากโรงพยาบาล ว่าค่าน้ำตาลลดลงหรือไม่ เพราะถ้าน้ำตาลลดลงจนอยู่ในเกณฑ์ปกติแล้ว ให้หยุดดื่มน้ำชาสูตรพิเศษนี้ทันที เพราะถ้าดื่มต่อ อาจทำให้ค่าน้ำตาลต่ำ ซึ่งก็ไม่ดีอีก

    6. จากนั้นคอยติดตามผลการวัดค่าน้ำตาลจากทางโรงพยาบาลต่อ ถ้าค่าน้ำตาลขึ้นอีก ก็เริ่มดื่มน้ำชาสูตรนี้ใหม่อีกครั้ง อดทนปฏิบัติเช่นนี้ไปเรื่อยๆ นานๆ เข้าก็จะสามารถหายจากโรคเบาหวานได้

    7. ข้อควรระวังคือ ถ้าผู้ป่วยที่ดื่มน้ำชาสูตรพิเศษนี้ มีอาการ " ปัสสาวะขัด " แสดงว่าไม่ถูกกันให้หยุดดื่มทันทีครับ หรือถ้าเกิดสิ่งผิดปกติอื่นใดที่สังเกตุเห็นได้อย่างชัดเจน ก็ควรหยุดเช่นกัน สุดท้ายถ้าดื่มแล้วไม่สบายใจ ผมก็แนะนำให้หยุดเช่นกัน

    ผมหวังว่า น้ำชาสมุนไพร แก้โรคเบาหวานนี้ คงเป็นประโยชน์กับผู้อ่านบ้างไม่มากก็น้อย ที่สำคัญ อาม่าของผมก็หายมาแล้ว

    ที่มา http://www.cha-lad.com/index.asp?contentID=10000004&title=%CA%D9%B5%C3%C2%D2%CA%C1%D8%B9%E4%BE%C3%E1%A1%E9%E2%C3%A4%E0%BA%D2%CB%C7%D2%B9+&getarticle=151&keyword=&catid=22

    ตอบลบ
  27. นางสาวอุไรวรรณ เอี่ยมพงษ์ 52SP2760051 (ZA)
    Rituximab เป็นยาใหม่ใช้ในการรักษา เอส แอล อี ที่ไม่ตอบสนองต่อยามาตรฐานที่ใช้ในปัจจุบัน ได้ผลตอบสนองเพิ่มขึ้น

    Rituximab
    เป็น Immunoglobulin ผสมระหว่างคนกับหนู ที่จำเพาะกับ เซลล์ที่สร้างแอนตี้บอดี้ ทำหน้าที่โดยไปจับกับเซลล์ที่สร้างแอนตี้บอดี้และทำลายเซลล์นั้น ผลของมันจะทำให้ปริมาณเซลล์นั้นลดลง เดิมทีใช้รักษาโรคมะเร็งต่อมน้ำเหลือง (lymphoma)
    โรค SLE เป็นโรคที่มีความผิดปกติของเซลล์สร้างแอนตี้บอดี้มาทำลายเนื้อเยื่อตนเอง จึงมีการนำ Rituximab มาใช้ในการรักษาโรค เอส แอล อี ที่ไม่ตอบสนองต่อการรักษาด้วยยามาตรฐาน พบว่าได้ผลตอบสนองเพิ่มมากขึ้น, นอกจาก เอส แอล อี แล้ว มีการนำยา Rituximab มาใช้ในการรักษาโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ พบว่าได้ผลดี (ได้รับการยอมรับข้อบ่งชี้โดย FDA สหรัฐอเมริกา)
    วิธีการบริหารยา ให้ทางหลอดเลือดดำช้า ๆ อาจจะให้ทุก 1-2 สัปดาห์ เป็นระยะเวลา 2-4 ครั้งแล้วแต่ขนาดและปริมาณที่แพทย์กำหนด บางสูตรต้องให้ยา cyclophosphamide ตามหลังยา Rituximab ด้วย ผลข้างเคียงในระยะแรกขณะเริ่มให้ยา เนื่องจาก Rituximab เป็นส่วนผสมของคนและหนู ดังนั้นอาจเกิดปฏิกิริยาต่อต้านในบางคนได้ เช่น ตัวแดง, ความดันตก แต่การให้ช้า ๆ และมีการให้ยาสเตียรยอด์ ก่อนการให้ Rituximab สามารถลดผลข้างเคียงนี้ได้
    ผลข้างเคียงระยะยาว มีรายงานการเกิดโรค PML (Progressive multifocal leukoencephalopathy) ส่วนผลข้างเคียงด้านการติดเชื้อนั้นพบว่าพบน้อยมาก เนื่องจากไม่ทำลาย plasma cell
    - ปัญหาสำคัญของการใช้ยา Rituximab คือ ยังไม่มีการศึกษาขนาดใหญ่ (ปริมาณคนไข้จำนวนมาก) พอที่จะแสดงให้เห็นประโยชน์ที่ชัดเจนของยา Rituximab ทำให้ยังไม่ได้รับการยอมรับโดย FDA ให้เป็นยามาตรฐานในการรักษา SLE
    - อีกหนึ่งปัญหาที่สำคัญคือเรื่องราคา Rituximab 500 mg ราคาประมาณ 80,000 บาท การให้อาจจำเป็นต้องให้ 2-4 ครั้ง ราคาประมาณ 160,000 - 320,000 บาท หลังการให้โดยมากพบว่าโรคจะสงบ หลังจากโรคสงบ 6-9 เดือน ในผู้ป่วยบางรายจะมีอาการกำเริบได้, พบว่าการให้ Course ที่ 2 ก็ยังสามารถทำให้โรคสงบได้เช่นกัน
    http://thai-sle.com/smf/index.php?topic=629.0

    ตอบลบ
  28. นางสาวภูริชญา สุรพัฒน์ 52SP2760036 ( ZA )

    Romiplostim (Nplate, Amgen) เป็นยารักษาภาวะเกล็ดเลือดน้อยในผู้ป่วยที่เป็น Immuno Thrombocytopenia purpura (ITP) เรื้อรังและไม่ตอบสนองต่อยากลุ่มคอร์ติโคสเตียรอยด์ นับเป็นยาใหม่ตัวแรกที่ได้รับอนุมัติจาก US FDA เมื่อเดือนสิงหาคม ค.ศ. 2008
    ภาวะ ITP เป็นความผิดปรกติของระบบภูมิคุ้มกันตนเอง มีลักษณะเด่นคือ มีเกล็ดเลือดน้อย และมีเลือดออก เชื่อว่าเป็นผลมาจากการทำลายเกล็ดเลือด โดยมีเนื้อเยื่อมาโคฟาร์คเป็นสื่อซึ่งกลืนกินเกล็ดเลือดที่ถูกเคลือบด้วยแอนติบอดี การเป็น ITP ยังคงพบในคนหนุ่มสาวส่วนใหญ่และพบประมาณ 20% ในเด็ก วิธีการรักษามักเริ่มด้วยการให้ยาคอร์ติโคสเตียรอยด์ เสริมด้วยการฉีดอิมมูโนโกล บูลินเข้าทางหลอดเลือดดำ หรือให้ anti-D immunoglobulin ทางหลอดเลือดดำ ซึ่งจะทำหน้าที่ในเบื้องต้นเป็นตัวรบกวนการทำลายเกล็ดเลือด ปัญหาที่สำคัญในการรักษาคือ การเกิดพิษจากสเตีย รอยด์ ค่าใช้จ่ายในการรักษาสูง และความไม่สะดวกในการใช้ยาฉีด immunoglobulin ในยุคก่อนมีการรักษาโดยการผ่าตัดม้ามซึ่งเป็นอวัยวะที่กำจัด ITP platelets อย่างมีประสิทธิภาพและเป็นแหล่งผลิต autoantibody ที่สำคัญ การตัดม้ามออกจะให้ผลดีในระยะยาว แต่ประมาณ 30-40% ของหนุ่มสาวที่ได้รับการผ่าตัดไม่ได้ผลดี หรือมีการกลับเป็นซ้ำอีก ดังนั้น จึงจำเป็นต้องพัฒนาวิธีการรักษา chronic ITP ต่อไป
    หลักการค้นพบ การทำลายเกล็ดเลือดอย่างเร็วคาดว่าเป็นสาเหตุทำให้มีเกล็ดเลือดน้อยในผู้ป่วย ITP นอกจากนี้การผลิตเกล็ดเลือดได้น้อยก็เป็นสาเหตุสำคัญในคนไข้จำนวนไม่น้อย Thrombopoitin (TPO) เป็น growth factor ที่ออกฤทธิ์ผ่าน TPO receptor ทำหน้าที่ควบคุมการสร้างเกล็ดเลือด ดังนั้น การหาสารต้าน TPO receptor จึงเป็นกลยุทธ์ทำให้เพิ่มเกล็ดเลือดได้
    ยารุ่นแรกที่เป็น TPO receptor antagonist ได้มาจาก recombinant megakaryocyte growth and development factor (MGDF) ผูกติดกับ PEG ยานี้สามารถเพิ่มจำนวนเกล็ดเลือดในคนไข้ ITP ได้ในการทดลองทางคลินิกขั้นต้น แต่ต่อมาต้องล้มเลิกไป เนื่องจากร่างกายสร้างแอนติบอดีต่อ PEG-MGDF ซึ่งจับกับ TPO ในร่างกายได้ด้วย เกิดอาการข้างเคียงอย่างรุนแรง หลังจากนั้นจึงมุ่งเป้าไปหายาที่เป็น TPO receptor antagonist โดยตรง และ romip-lostim เป็นตัวแรกของยากลุ่มนี้ที่ได้รับอนุมัติจาก FDA
    ผลทางคลินิก การศึกษาประสิทธิภาพและความปลอดภัยของยา romiplostim เป็นแบบปกปิด 2 ทาง มีกลุ่มควบคุมด้วย
    ยาหลอก 2 โครงการ มีคนไข้ทั้งหมด 125 รายที่เป็น ITP เรื้อรังและเคยได้รับการรักษามาแล้วอย่างน้อย 1 ครั้ง รวมทั้งเคยใช้ยาคอร์ติโคสเตียรอยด์ อิมมูโนโกลบิน หรือ rituximab และมีจำนวนเกล็ดเลือด < 30x109 ต่อลิตร ก่อนเข้าร่วมโครงการ คนไข้ได้รับการสุ่มในสัดส่วน 2:1 ได้รับยา romiplostim (1 mg/kg SC) 24 สัปดาห์ หรือได้รับยาหลอก คนไข้ที่ได้รับยา romiplostim สัปดาห์ละครั้ง และมีการปรับขนาดการใช้ในแต่ละรายเพื่อรักษาระดับจำนวนเกล็ดเลือด ระหว่าง 50x109 ต่อลิตร และ 200x109 ต่อลิตร ประสิทธิผลปฐมภูมิคือมีการตอบสนองในจำนวนเกล็ดเลือด กล่าวคือผลสำเร็จ จากการนับเกล็ดเลือดประจำสัปดาห์ > 50x109 ต่อลิตร ในช่วง 6-8 สัปดาห์สุดท้ายของการรักษาทั้งหมด 24 สัปดาห์
    การศึกษาโครงการที่ 1 ประเมินผลคนไข้ 62 รายที่ไม่เคยผ่าตัดม้าม ได้รับยา ramiplostim มีผลตอบสนองในคนไข้ 25 ราย จาก 41 ราย (คิดเป็น 61%) เทียบกับกลุ่มควบคุมที่ได้รับยาหลอก มีจำนวนเกล็ดเลือด 5x109 ต่อลิตรหรือมากกว่าที่ค่าเฉลี่ยการรักษา 15.2 สัปดาห์ เปรียบเทียบกับ 1.3 สัปดาห์ในกลุ่มที่ได้รับยาหลอก
    การศึกษาที่ 2 ในคนไข้ 63 รายที่ได้ผ่าตัดม้ามแล้ว มี 16 รายจาก 42 ราย (คิดเป็น 38%) ที่ได้รับยา romiplostim ที่ได้ผลตอบสนองในการเพิ่มเกล็ดเลือด เปรียบเทียบกับคนไข้ที่ได้รับยาหลอก 21 ราย คนไข้ที่ได้รับยา romiplostim มีค่าเกล็ดเลือด 50x109 ที่เวลาเฉลี่ย 12.3 สัปดาห์ เปรียบเทียบกับกลุ่มยาหลอกที่ได้รับ 0.2 สัปดาห์ นับว่ายา romiplostim ให้ประโยชน์คุ้มกับความเสี่ยง
    ข้อบ่งใช้ romiplostim ใช้รักษาภาวะ ITP เรื้อรังซึ่งไม่ตอบสนองต่อการใช้ยาคอร์ติโคสเตียรอยด์เท่าที่ควร ไม่ควรใช้เพื่อเพิ่มจำนวนเกล็ดเลือดให้ขึ้นสูง

    ที่มา : http://www.medicthai.com/admin/news_cpe_detail.php?id=333

    ตอบลบ
  29. นางสาว ลลิตา สุสิลา
    52SP2760048
    นิเทศศาสตร์ ZA


    สมุนไพรกับโรคเก้าท์

    หมอเมือง

    โรคเก๊าท์ ชื่อนี้เรียกตามฝรั่ง เขียนเป็นภาษาฝรั่งว่า GOUT คือโรคปวดตามข้อต่อกระดูก ข้อนิ้ว ข้อเข่า ข้อเท้า ข้อศอก เป็นปุ่มเป็นปมและเจ็บปวดมาก โรคชนิดนี้แต่ก่อนพวกเราไม่ค่อยพบเห็นกัน จึงไม่มีชื่อเรียกในภาษาไทย แต่เดี๋ยวนี้เป็นกันเยอะ ไปทางไหนก็เจอ และมีคนป่วยประเภทนี้มาปรึกษาหมอเมืองมากเหลือเกิน ก็เล่าจากปากสู่ปากก็พากันมานั่นแหละ แม้หมอแพทย์บางท่านก็ไล่คนไข้ไปหาหมอเมืองก็มี ทั้งนี้เพราะเป็นที่รู้กันว่ายาสมัยใหม่ที่ใช้รักษาโรคนี้ให้หายขาดไม่มี หาหนังสือที่เขียนขายกันในท้องตลาดเกี่ยวกับโรคเก๊าท์ ท่านบอกเพียงว่าเกิดจากการมีกรดยูริคสะสมที่ข้อต่อจึงทำให้เกิดโรคนี้และบอกว่าเป็นโรคที่รักษาไม่ได้มีแต่รักษาให้บรรเทาความเจ็บปวด และต้องระวังรักษาเรื่องอาหารการกิน อย่ากินอาหารที่มีไขมันและโปรตีนมาก เพราะร่างกายจะเปลี่ยนโปรตีนเป็นกรดยูริคซึ่งจะไปสะสมเพิ่มในข้อต่อทั้งปวงแล้วทำให้เกิดการเจ็บปวดขึ้นมาอีก จึงทำให้คนเป็นโรคนี้ต้องอดกินอาหารที่ถูกปากถูกคอ

    โรคนี้จะเกิดกับผู้ชายวัยกลางคนขึ้นไปเป็นส่วนมาก มีผู้หญิงเป็นกันบ้างไม่มากนัก ผู้ป่วยโรคนี้ก็จะป่วยเป็นโรคเสื่อมสมรรถภาพทางเพศ โรคนิ่ว โรคเบาหวาน ความดันสูง และหัวใจ ค่อยทยอยตามกันมาก่อนบ้างหลังบ้าง ต้นเหตุของมันเกิดจากไตเสื่อมสมรรถภาพในการทำงานจึงไม่สามารถขับกรดยูริดและไขมันส่วนเกินออกจากร่างกายได้ การจะรักษาโรคนี้จึงต้องรักษาฟื้นฟูให้ไตกลับมีสมรรถภาพเหมือนเดิม โรคเก๊าท์ก็จะหายขาดได้ แต่ในขณะที่ไตมีพลังขึ้นมาขับล้างกรดที่สะสมในข้อต่อต่าง ๆ ผู้ป่วยจะเกิดความเจ็บปวดขึ้นเหมือนโรคกำเริบประมาณไม่เกินหนึ่งอาทิตย์ ถ้ากรดยูริคตามข้อลดลงอยู่ขั้นปกติเมื่อไรโรคก็หายเมื่อนั้น ถ้าผู้ป่วยพยายามกินยาหรืออาหารบำรุงรักษาไตให้ดีโรคเก๊าท์ก็จะไม่เกิดขึ้นอีก และสามารถรับประทานอาหารที่ถูกปากได้ทุกชนิด และไม่ต้องกลัวโรคไขมันในเลือดเพิ่มขึ้นแต่อย่างใด แต่พึงระวัง อย่าดื่มสุราเมรัยบ่อยนัก เพราะไตจะเสื่อมอีก

    การจะรักษาฟื้นฟูไตให้กลับมีสมรรถภาพดุจเดิมนั้นทางแพทย์แผนใหม่ไม่มียา นอกจากเปลี่ยนไตโดยเอาไตเทียมหรือไตคนตายมาเปลี่ยนให้ แต่ก็มีชีวิตอยู่ดูโลกได้ไม่นานนัก ทางแพทย์จีนเขาเก่ง เขามียารักษาโรคไตเสื่อม ไตวาย และมียาฟื้นฟูบำรุงไตให้กลับฟื้นเป็นปกติ ยาบำรุงที่เขาใช้คือเขากวางอ่อน นำมาขูดให้เป็นฝอยกินทุกวันไตก็จะฟื้นสภาพขึ้นมา เพราะในเขากวางอ่อนนั้นมีฮอร์โมนเพศชายซึ่งเป็นตัวรักษาฟื้นฟูสภาพไตให้แข็งแรงดุจเดิม แต่เขากวางอ่อนที่เขาใช้กันนั้นเป็นเขากวางจากถิ่นหนาวจัดเช่นไซบีเรียเป็นต้น จึงจะมีฮอร์โมนเพศสูง สามารถใช้ได้ดี ถ้าเป็นเขากวางในเขตร้อนจะได้ผลช้า แต่เขากวางอ่อนดังกล่าวก็แพงเกินที่คนธรรมดา ๆ อย่างเราจะซื้อมากินได้

    สมุนไพรไทยรักษาได้ โชคดีที่ประเทศไทยเรามีสมุนไพรหลากหลายชนิด หมอเมืองเคยทดลองให้ผู้ป่วยโรคไตวายขั้นบวมทั้งตัวและนิมนต์พระมาให้ศีลเพื่อเตรียมตัวตายกินสมุนไพรกวาวเครือแดงก็กลับมีสุขภาพดีขึ้นตามลำดับจนหายเป็นปกติ และผู้ป่วยโรคไขมันในเลือดเลี้ยงหัวใจกินสมุนไพรกวาวเคือแดงก็มีอาการดีขึ้นตามลำดับจนหายเป็นปกติ ผู้ป่วยโรคเก๊าท์กินสมุนไพรชนิดนี้ก็หายเป็นปกติมาหลายคนแล้ว แต่ช่วงที่ไตขับกรดยูริกออกจากข้อนั้นจะทำให้เจ็บปวดทรมานมาก ผู้ป่วยต้องอดทนเพื่อจะได้หายอย่างยั่งยืน และท่านควรรับประทานสมุนไพรชนิดนี้ติดต่อกันสัก 6 เดือน ไตของท่านก็จะกลับแข็งแรงเหมือนคนหนุ่ม ต่อจากนั้นอะไร ๆ ที่มันเคยเสื่อมถอยหรือหดหายไปก็จะกลับมาหาท่านอีกครั้ง โบราณท่านจึงว่ากินสมุนไพรกวาวเครือแดงแล้วจะกลับเป็นหนุ่มสาวอีกครั้ง

    ที่มา http://www.sanyasi.org/index.php?lay=show&ac=article&Ntype=4&Id=528190

    ตอบลบ
  30. นางสาว สิริอร เหมเจริญวงศ์ รหัส 52SP2760002

    ยากระตุ้นไข่ตัวใหม่ (Recombinant FSH ย่อเป็น rFSH) ตัวแรกนี้ ผลิตมาจากเซลล์รังไข่ของตัวแฮมสเตอร์ (Chinese hamster ovary cells) ที่เมืองเจนิวา ประเทศสวิสเซอร์แลนด์ ข้อได้เปรียบของ ยากระตุ้นไข่ตัวใหม่นี้ คือ
    1. ไม่ต้องเปลืองสถานที่ และจัดเก็บปัสสาวะของสตรีวัยหมดประจำเดือนอีกต่อไป
    2. มีความบริสุทธิ์ของ "ตัวยา" (rFSH) สูง เวลาฉีดเข้าใต้ผิวหนังจะไม่มีอาการปวด
    3. สามารถผลิตออกมาในรูป ออกฤทธิ์ยาวหรือสั้นก็ได้ จึงช่วยให้ประสิทธิภาพในการกระตุ้นไข่ดีขึ้นกว่าแต่ก่อน
    4. ไม่มีส่วนผสมของ "LH" อยู่เลย
    การประยุกต์ใช้ ยากระตุ้นไข่ตัวใหม่ "rFSH"
    ในระยะไม่กี่ปีมานี้ มีการศึกษาวิจัยมากมายถึงคุณสมบัติของ "rFSH" ว่า จะมีประสิทธิภาพและปลอดภัยในระยะยาวมากน้อยแค่ไหน ส่วนใหญ่จะนำมาเปรียบเทียบกับ ยากระตุ้นไข่ตัวเก่า (Urinary FSH ย่อเป็น "uFSH") ที่ผลิตจากปัสสาวะของสตรีหมดประจำ-เดือน ดังตัวอย่างในตารางที่ 1

    ตารางที่ 1 การศึกษาเปรียบเทียบการรักษาสตรีมีบุตรยากด้วยวิธี "เด็กหลอดแก้ว" มาตรฐาน
    (IVF-ET) จำนวน 981 ราย โดย rFSH (PURIGON) และ uFSH (METRODIN)
    ••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••
    rFSH (PURIGON) uFSH (MESTRODIN)
    ••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••
    - จำนวนผู้ป่วย (n) 585 396
    - อายุ (เฉลี่ย) 32.2 32.3
    - สาเหตุของภาวะมีบุตรยาก (จำนวนราย)
    1. โรคเกี่ยวกับท่อนำไข่ 377 (64.4%) 254 (64.1%)
    (TUBAL DISEASES)
    2. โรคเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่ 45 (7.7%) 30 (7.6%)
    (ENDOMETRIOSIS)
    3. เป็นทั้ง 2 โรค (1+2) 23 (3.9%) 15 (3.8%)
    4. ไม่ทราบสาเหตุ (Unknown) 117 (20.0%) 79 (19.9%)
    5. อื่น ๆ 23 (3.9%) 18 (4.5%)
    - จำนวนวันที่ทำการรักษา 10.7 11.3
    - จำนวน "ไข่" ที่โตกว่า 15 มิลลิเมตร 7.49 6.67
    - อัตราการตั้งครรภ์ 25.97% 22.02%
    (Ongoing pregnancy per transfer)

    ••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••

    จะเห็นว่า คุณภาพของ ยากระตุ้นไข่ตัวใหม่ ไม่แตกต่างจาก ยากระตุ้นไข่ตัวเก่า รวมทั้ง ผลข้างเคียงจากการใช้ยา (เช่น ภาวะรังไข่ถูกกระตุ้นมากเกินไป) ด้วย สรุปว่า ยากระตุ้นไข่ตัวใหม่ (rFSH) เป็นทางเลือกอีกทางหนึ่ง ที่บริษัทผลิตยากำลังหาทางนำมาใช้แทนเพราะยากระตุ้นไข่ตัวเก่า มีปัญหาด้านการผลิตมาก (แหล่งวัตถุดิบขาดแคลนและความบริสุทธิ์ของ "ตัวยา" ลดน้อยลง)
    แท้จริงแล้ว ยากระตุ้นไข่ ไม่มีตัวใหม่ หรือตัวเก่า เพราะเป็นสารสังเคราะห์จำพวก "GONADOTROPINS" ฮอร์โมนจากต่อมใต้สมองของคนเรา (NEUROHORMONE) เหมือนกัน โดยประกอบด้วยฮอร์โมน 2 ชนิด ได้แก่
    1. Follicular Stimulating hormone ชื่อย่อ "FSH"
    2. Luteining hormone ชื่อย่อ "LH"
    ฮอร์โมนทั้งสองเป็นส่วนสำคัญอย่างยิ่งในการกระตุ้น "ไข่" ให้เจริญเติบโตและพัฒนาจนเป็นเซลล์สืบพันธุ์ที่สมบูรณ์พอจะปฏิสนธิได้ในขณะที่ "ตกไข่" ออกมา เพียงแต่ว่า "FSH" จะมีส่วนสำคัญมากกว่า "LH" ในการกระตุ้น "ไข่" ให้เจริญเติบโต อย่างไรก็ตาม "LH" มีความสำคัญเกี่ยวกับกระบวนการสร้างฮอร์โมนของรังไข่อยู่ไม่น้อย และมีส่วนสำคัญอย่างยิ่งในการกระตุ้นให้ "ไข่ตก"
    ยากระตุ้นไข่ตัวใหม่ ยังคงได้รับการศึกษาวิจัยต่อไป ขณะเดียวกัน บริษัทยักษ์ใหญ่ได้โหมโฆษณาเพื่อให้บรรดาแพทย์หันมาใช้ยาตัวนี้มากขึ้น ไม่แน่..ในอนาคตอันใกล้อาจมีใครค้นคิด กระบวนการผลิต "GONADOTROPINS" ในรูปแบบอื่นขึ้นมาอีก ยากระตุ้นไข่ตัวใหม่ ๆ คงจะทะยอยปรากฏโฉมหน้าออกมา แต่อย่าเข้าใจผิดคิดว่า ของใหม่ต้องดีกว่าของเก่าเสมอไป แท้ที่จริง...เป็นการเปลี่ยนเสื้อผ้าบนใบหน้าของ "ตัวละคร" เดิม เท่านั้น

    ที่มา:http://drseri.com/node/129

    ตอบลบ
  31. นาย ณัฐพล โตมี 52SP2760035 ZA

    ค้นพบยาใหม่จากเทคโนโลยีนาโน ทำให้คุณเป็นอัจฉริยะได้
    ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีนาโน สามารถช่วยให้คุณพัฒนาสมองส่วนซ้าย ที่เป็นส่วนของจินตนาการมาในการคิดคำนวณ และมีไอคิวเพิ่มอย่างน้อย 10 หน่วย

    คณะวิจัยจากมหาวิทยาลัยในสหรัฐ ค้นพบสารกระตุ้นประสาทที่ผลิตจากเทคโนโลยีนาโน ที่เมื่อไปจับกับรีเซพเตอร์ หรือตัวรับสารสื่อประสาท จะมีการสร้างเส้นใยประสาทเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะส่วนที่แต่ก่อนพบว่า ไม่มีบทบาท หรือ silent area ในสมอง โดยเฉพาะซีกซ้าย
    โดยการฉีดสารนี้เข้าไป แพทย์ติดตามการจับของสารผ่านทางเอกซเรย์คลื่นแม่เหล็ ก โดยติดตามผลการวิจัยในเวลา 10 ปี พบว่ามีการสะสมของสารนี้พร้อมเพิ่มจำนวนของ glia cell และ dendrite ของเซลประสาท โดยจำนวนของเซลประสาทที่เพิ่มขึ้น พบมากในส่วนที่เชื่อมโยงความคิด ความจำ ในสมองส่วนหน้าซีกซ้าย
    ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อทำการทดสอบไอคิวของผู้เข้าร่วมทำการทดสอบจำนวน 220 คน พบว่า ระดับไอคิวเฉลี่ย เพิ่มขึ้นกว่าเดิมถึง 15% เฉลี่ย คือประมาณ 10 หน่วย
    ดร. โทมัส หนึ่งในคณะวิจัย กล่าวว่า มันน่าตื่นใจมากเมื่อพบว่า สามารถนำไปใช้ในเด็กที่มีปัญหาพัฒนาการ ทำให้ไอคิวสูงขึ้น ไม่แพ้คนอื่นๆ และในผู้ใหญ่ที่มีไอคิวเฉลี่ยดีอยู่แล้ว ก็ทำให้สูงขึ้นเทียบชั้นอัจฉริยะได้
    สารนี้กำลังนำเข้าจดสิทธิบัตรในนามของ brain energy restoration และเริ่มมีการผลิตออกมาใช้ในรูปแบบของเจล

    เจลอัจฉริยะ ในรูปแบบของเหลวนาโน ทาที่ไหนก็ได้ในร่างกาย เจลจะซึมผ่านผิวหนังในรูปแบบของนาโน ไปที่สมอง ทันที ทำให้สมองดีขึ้นอย่างกระทันหัน หมดปัญหาความโง่ไปในทันที

    ที่มา http://board.thaihealth.net

    ตอบลบ
  32. นางสาวธนาภา เซี่ยงฉิน 52SP2760039 [ZA]


    วิทย์ฯ ม.มหิดล พัฒนาพันธุกรรมสมุนไพร ผลิตยาใหม่ต้านโรคร้าย

    คณะวิทย์ฯ ม.มหิดล พัฒนาพันธุกรรมพืชสมุนไพร “ฟ้าทะลายโจร” และ “ชิงเฮา” เชื่อผลิตยาตัวชนิดใหม่ ช่วยต้านเชื้อโรคได้มากขึ้นเป็นครั้งแรก

    คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ได้พัฒนาการคัดแปรพันธุกรรม ดึงคุณสมบัติของ “ฟ้าทะลายโจร” และ “ชิงเฮา” เข้ารวมกันให้เกิดเป็นพืชชนิดใหม่ มีฤทธิ์ต้านการกระจายตัวของเชื้อที่ดื้อยาได้ดีกว่าเดิม และสามารถนำไปสู่การค้นพบยาชนิดใหม่อันเป็นประโยชน์ต่อวงการเภสัชกรรม

    อาจารย์กัณยารัตน์ สุไพบูลย์วัฒน ที่ปรึกษาโครงการการพัฒนาพันธุกรรมพืชและสมุนไพร คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวว่า ปัจจุบันพบว่าโรคติดเชื้อ และโรคอุบัติเหตุใหม่หลายชนิดทวีความรุนแรงยิ่งขึ้น

    “ความต้องการพัฒนายาชนิดใหม่ที่มีประสิทธิภาพในการป้องกัน และรักษาโรคติดเชื้อ หรือการดื้อยามีมากขึ้น ทั้งนี้เราคำนึงถึงความปลอดภัยต่อผู้บริโภค รวมทั้งราคาไม่แพง ซึ่งถือว่าเป็นปัจจัยสำคัญของการพัฒนาด้านเภสัชของประเทศไทย อีกทั้งยังเป็นกระแสการนำพืชสมุนไพรมาใช้ประโยชน์ด้านเภสัชและเครื่องสำอางยังคงได้รับความสนใจจากทั่วโลก”

    อาจารย์กัณยารัตน์ กล่าวถึงกระบวนการวิจัยในครั้งนี้ที่ต้องใช้ความพยายามคิดหาแนวทางเพิ่มศักยภาพของสมุนไพรไทย อย่าง “ฟ้าทะลายโจร”และ "ชิงเฮา"
    "ฟ้าทะลายโจร มีคุณสมบัติในการสร้างสารออกฤทธิ์ประเภทเทอร์พินอยให้สาระสำคัญหรือคือ แอนโดกราโฟไลน์ ที่มีฤทธิ์แก้อักเสบ และต้านเชื้อหลายชนิด ผ่านทางเทคโนโลยีการหลอมโปรโพลาสต์ และแปรพันธุกรรม โดยการนำเซลล์ของฟ้าทะลายโจรมาลอกผิวเซลล์ชั้นนอกออก แล้วนำมาหลอมรวมกับโปรโตรพลาสต์ของ “ต้นชิงเฮา” ซึ่งเป็นพืชสมุนไพรอีกหนึ่งชนิดที่มีคุณสมบัติในการสร้างสารอารทีมิซินิน ที่มีฤทธิ์ต้านเชื้อมาเลเรียนชนิดที่ดื้อยา เพื่อให้เกิดผลพืชชนิดใหม่ที่สามารถสร้างสารต้านเชื้อได้มากขึ้น ซึ่งถือว่าเป็นการสร้างโคโลนีได้สำเร็จเป็นครั้งแรก และถือว่าเป็นก้าวสำคัญของการปรับปรุงพืชสมุนไพรไทย”

    สำหรับปัญหาที่เกิดจากพืชสมุนไพรทั้งสองชนิด อย่าง "ชิงเฮา" ถือว่าเป็นสมุนไพรถูกค้นพบที่ประเทศจีน เกาหลี มีลักษณะการปลูกบนพื้นที่ราบสูง อากาศเย็น คงจะเป็นเรื่องยากที่เราจำนำสมุนไพรชนิดนี้มาปลูกที่ประเทศ อาจจะทำได้เพียงแค่ผลิตเซลล์ให้มีจำนวนมากขึ้น เพื่อรองรับการวิจัยครั้งนี้ ส่วนการปลูก "ฟ้าทะลายโจร" ที่พบในประเทศไทย ผู้เพาะพันธุ์สมุนไพรยังขาดคุณสมบัติการเลี้ยงดู ที่ต้องเอาใจใส่ เพื่อรักษาคุณสมบัติในการเป็นตัวยารักษาโรค

    สำหรับการวิจัยครั้งนี้ นอกจากจะต้องมีการทดสอบประสิทธิภาพของสารออกฤทธิ์ และความปลอดภัยของการนำมาใช้ "เราต้องคำนึงถึงการเพิ่มศักยภาพพืชสมุนไพรทั้งด้านปริมาณและคุณภาพ ซึ่งเป็นสาระสำคัญในการนำเสนอและขอรับการสนับสนุนจากองค์กรเภสัช หรือภาคเอกชน ในการทำมาใช้ในระดับอุตสาหกรรมมากขึ้น"

    ที่มา http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php?NewsID=4327&Key=news11

    ตอบลบ
  33. นาย วนศักดิ์ กสิณศักดิ์ ID 52SP2760055

    ยาแก้หวัด แก้แพ้ที่ชาวบ้านนิยมใช้และราคาถูก ก็คือยาเม็ดสีเหลืองขององค์การเภสัชกรรม ยานี้มีชื่อสามัญว่า “คลอร์เฟนิรามีน” นิยมเรียกสั้นๆว่า “คลอร์เฟน”

    ยานี้มีฤทธิ์แก้แพ้(ภาษาหมอเรียกว่า แอนติฮิสตามีน) ใช้รักษาอาการแพ้ได้สารพัด ได้แก่ อาการเป็นลมพิษ หรือผื่นคัน(เช่น เกิดจากการแพ้ฝุ่น ละอองเกสร ขนสัตว์ แพ้อาหาร แพ้ยา เป็นต้น) อาการเป็นหวัดจามจากการแพ้อากาศหรือฝุ่นละออง เป็นต้น

    สำหรับลมพิษ ผื่นคัน มักจะ เกิดขึ้นเป็นครั้งคราว เมื่อกินยาแก้แพ้จนอาการทุเลาแล้ว ก็ควรเลิกกิน
    ส่วนอาการหวัด จามที่เกิดจากการแพ้อากาศหรือฝุ่นละออง มักเป็นเรื้อรัง เช่น บางคนอาจมีอาการจาม น้ำมูกไหล หลังตื่นนอนทุกเช้า พอสายๆอาการก็ทุเลาไปได้เอง บางคนอาจมีอาการเวลาถูกฝุ่น เช่น ขณะปัดกวาดบ้าน หรือถูกแอร์หรือความเย็น ถ้าหากเป็นไม่มาก ก็ไม่จำเป็นต้องกินยาแก้แพ้แต่อย่างใด แต่ถ้าเป็นมากหรือเป็นนานจนรู้สึกรำคาญก็อาจกินยานี้บรรเทาได้

    บางคนอาจต้องกินยานี้เป็นประจำทุกวัน ถ้ามีอาการกำเริบตอนเช้ามืด อาจกินตอนก่อนเข้านอน ๑ เม็ด เพื่อป้องกันอาการกำเริบตอนเช้า ยานี้มีผลข้างเคียงคือ ง่วงนอน(ถ้ากินตอนก่อนนอนก็ไม่มีปัญหา อะไร) โดยเฉพาะตอนแรกๆ ตอนหลังๆอาจเคยชิน จนไม่รู้สึกง่วงก็ได้ นอกจากนี้อาจทำให้รู้สึกปากคอแห้ง คอขม หรือเบื่ออาหาร

    บางคนกินยานี้ไปนานๆ ร่างกายอาจชินยา ทำให้รักษาไม่ได้ผล อาจต้องเปลี่ยนไปใช้ยาแก้แพ้ตัวอื่นแทน

    ทางที่ดี ขอแนะนำให้ผู้ที่มีอาการเป็นหวัด จามเรื้อรัง หาเวลาออกกำลังกาย(เช่น วิ่งเหยาะ เดินเร็ว ขี่จักรยาน เล่นกีฬา) อย่างน้อยวันเว้นวัน จะช่วยให้ร่างกายมีภูมิต้านทาน ช่วยให้โรคภูมิแพ้ทุเลาไปได้เอง โดยไม่ต้องใช้ยา แต่ต้องทำต่อเนื่องไปเรื่อยๆ หากช่วงไหนหยุดออกกำลังกาย อาการก็อาจกำเริบได้อีก ทีนี้มาพูดถึงการใช้ยาคลอร์เฟนในการลดน้ำมูกสำหรับผู้ที่เป็นไข้หวัด ซึ่งมีสาเหตุจากการติดเชื้อไวรัสหวัด มิใช่เกิดจากการแพ้ดังกล่าวข้างต้น

    ก่อนอื่นก็ต้องแยกแยะให้ออกว่า หวัด(น้ำมูกไหล)แบบไหนเกิดจากการแพ้ แบบไหนเกิดจากการติดเชื้อ หวัดจากการแพ้ จะมีอาการคันคอ คันจมูก จาม น้ำมูกใสๆไหล เป็นครั้งคราว มักเป็นๆหายๆ เรื้อรัง และมักไม่มีอาการเป็นไข้ตัวร้อน

    ตอบลบ
  34. ความคิดเห็นนี้ถูกผู้เขียนลบ

    ตอบลบ
  35. ความคิดเห็นนี้ถูกผู้เขียนลบ

    ตอบลบ
  36. ยาใหม่รักษาโรคไวรัสตับอักเสบซี


    นางสาว ธิดารัตน์ นาคาพงษ์ 52SP2760005 ZA
    ยาต้านไวรัส telaprevir สามารถรักษาโรคไวรัสตับอักเสบซีได้ประมาณครึ่งหนึ่งของคนไข้ที่ได้รับยาต้านไวรัสในรอบแรกแล้วไม่ได้ผล
    โรคไวรัสตับอักเสบซีเป็นสาเหตุสำคัญในการเกิดโรคตับแข็งและมะเร็งตับ และเป็นสาเหตุที่พบบ่อยในการที่ต้องเปลี่ยนตับ โรคนี้ ติดต่อกันทางเลือด มาตรฐานการรักษาปรกติใช้ยา 2 ชนิดร่วมกันคือ ยา peginterferon alpha และ ribavirin ซึ่งรักษาได้ผลราวร้อยละ 40-50 แต่ก็มีอาการข้างเคียง เช่น ผื่นแดงรุนแรงจนต้องหยุดยา การศึกษาก่อนหน้านี้พบว่าอาการดีขึ้นเมื่อให้ยา telaprevir
    การศึกษาในคนไข้ 453 รายที่ไม่ตอบสนองต่อการรักษาด้วยยาแถวแรก ทุกคนมีอาการที่พบบ่อยและรักษาได้ยากมาก คนไข้ได้รับยา telaprevir เพิ่มเติมจากยาต้านไวรัส 2 ชนิดที่ใช้อยู่ ร้อยละ 52 ของคนไข้ตรวจไม่พบไวรัสหลังจากรักษานาน 6 เดือน เปรียบเทียบกับร้อยละ 14 ในกลุ่มที่ไม่ได้รับยา telaprevir เพิ่มเติม
    อาการข้างเคียงที่พบคือ ผื่นคันรุนแรง และโลหิตจาง ทำให้ต้องหยุดยาค่อนข้างมาก อย่างไรก็ตาม ผลการรักษาที่ดีขึ้นมากคงจะเพียงพอที่จะได้รับอนุญาตทะเบียนยาได้ภายในปลายปีนี้
    Telaprevir เป็นยาในกลุ่ม protease inhibitor ออกฤทธิ์โดยการยับยั้งการแพร่ขยายของไวรัสตับอักเสบซี ยาอื่นที่คล้ายกันนี้อยู่ระหว่างการวิจัยทางคลินิกคือ boceprevir หากยาทั้ง 2 ตัวนี้ได้รับอนุมัติอาจเป็นยาที่ใช้รักษาแถวแรกต่อไป n


    ที่มา http://www.medicthai.com/admin/news_cpe_detail.php?id=589

    ตอบลบ
  37. ภวัต เบ็ญจขันธ์ 52SP2760021 .. ZA

    >>>>>> ยาคุมฉุกเฉิน <<<<<<

    ยาคุมฉุกเฉินคืออะไร ?

    เป็นเวลาหลายสิบปีแล้วที่ผู้หญิงทั่วโลกใช้ยาคุมฉุกเฉินในการป้องกันการตั้งครรภ์หลังจากมีเพศสัมพันธ์ที่ไม่ได้ป้องกัน (unprotected sex) องค์การอนามัยโลกให้การรับรองว่าการกินยาคุมฉุกเฉินเป็นวิธีที่ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพในการป้องกัน การตั้งครรภ์หลังจากมีเพศสัมพันธ์ที่ไม่ได้ป้องกันการตั้งครรภ์ในระดับหนึ่ง
    ยาคุมฉุกเฉินมีส่วนผสมเช่นเดียวกับยาคุมธรรมดา แต่มีปริมาณฮอร์โมนต่อเม็ดสูงกว่าและต้องกินหลังจากมีเพศสัมพันธ์ภายในเวลาที่กำหนดเท่านั้น จึงจะมีประสิทธิภาพในการป้องกันการตั้งครรภ์ในขณะที่ยาคุมธรรมดาต้องกินวันละ 1 เม็ด ทุกๆ วัน (กรณีแผงละ 28 เม็ด) และมีปริมาณฮอร์โมนต่อเม็ดน้อยกว่า

    ยาคุมฉุกเฉินมี 2 แบบ

    ยาคุมฉุกเฉินฮอร์โมนผสม ซึ่งประกอบด้วยฮอร์โมนเอสโตรเจน และโปรเจสตินผสมกัน(Combined Pill Regimens : Yuzpe Method) ปริมาณยาที่กินแต่ละครั้งต้องมีฮอรฺโมนเอธิลเอสตราดิออล(ethinyl estradiol) อย่างน้อย 0.1 มิลลิกรัม รวมกับฮอร์โมนเลวอนอร์เจสเตรล(levonorgestrel) อย่างน้อย 0.5 มิลลิกรัม

    ยาคุมฉุกเฉินฮอร์โมนเดี่ยว ซึ่งมีฮอร์โมนโปรเจสตินเพียงอย่างเดียว(Progestin-Only Pill Regimens) ปริมาณยาที่กินแต่ละครั้งต้องมีฮอร์โมนเลวอนอร์เจสเตรล(levonorgestrel) อย่างน้อย 0.75 มิลลิกรัม

    ยาคุมฉุกเฉินที่ขายในบ้านเราขณะนี้มีอยู่2 ยี่ห้อ คือ
    โพสตนอร์ (Postinor) และมาดอนนา(Madonna)
    ซึ่งทั้งสองยี่ห้อต่างก็เป็นยาคุมฉุกเฉินฮอร์โมนเดี่ยว


    >>>>>> วิธีการกินยา <<<<<<

    ตามข้อมูลทางวิชาการ การกินยาคุมฉุกเฉินทั้งแบบฮอร์โมนผสม และแบบที่มีฮอร์โมนเดี่ยวมีวิธีการกินเหมือนกันคือ ต้องกิน 2 ครั้ง

    ครั้งแรกภายในเวลา 72 ชั่วโมงหลังจากมีเพศสัมพันธ์
    ครั้งที่สอง กินหลังจากที่กินครั้งแรกไปแล้ว 12 ชั่วโมง

    หมายความว่า ถ้ามีเพศสัมพันธ์ตอนสองทุ่ม และกินยาเม็ดแรกตอน 5 ทุ่ม จะต้องกินยาเม็ดที่สองตอน11 โมงเช้าซึ่งก็คือ 12 ชั่วโมงถัดมานั่นเอง
    อย่างไรก็ตาม ขณะนี้กำลังมีการศึกษาวิจัยว่า จำเป็นต้องกินยาเม็ดที่สองหรือไม่เพราะถ้าประสิทธิภาพในการป้องกันการตั้งครรภ์ในกรณีที่กินเม็ดเดียว กับกรณีที่กินยาสองเม็ดนั้นไม่แตกต่างกันการกินแค่เม็ดเดียว น่าจะช่วยลดอาการข้างเคียงของยาลงได้แต่ยังไม่สามารถยืนยันผลใดๆเนื่องจากการศึกษาวิจัยนี้ยังไม่เสร็จสิ้น

    ยาคุมธรรมดาก็สามารถใช้เป็นยาคุมฉุกเฉินได้

    ยาคุมแบบธรรมดาว่าจะเป็นแผง 21 เม็ด หรือ 28 เม็ด ที่มีชนิดและปริมาณของฮอร์โมนตรงตามสูตรของยาคุมฉุกเฉินสามารถนำมาใช้กินเป็นยาคุมในเวลาฉุกเฉินได้ ตารางที่แสดงในหน้าต่อไปจะบอกให้รู้ว่ามียาคุมที่ขายในประเทศไทยยี่ห้อใดบ้างที่สามารถนำมาใช้ในกรณีฉุกเฉินได้ ข้อควรระวังในการกินยาแต่ละยี่ห้อก็คือ การกินแต่ละครั้งจะมีจำนวนเม็ดยา ที่ต้องกินมากน้อยต่างกันไปตามปริมาณของฮอร์โมนที่มีอยู่ในตัวยาแต่ละยี่ห้อและในการกินแต่ละครั้งจะต้องกินยี่ห้อเดียวกันเท่านั้น

    การกินยาคุมฉุกเฉินยี่ห้อโพสตินอร์(Postinor) หรือ
    มาดอนนา (Madonna) ก็ให้ใช้วิธีนี้เช่นกันคือ
    กินเม็ดแรกภายใน 72 ชั่วโมงหลังจากที่มีเพศสัมพันธ์ที่ไม่ได้ป้องกัน
    แล้วกินเม็ดที่สองในอีก 12 ชั่วโมงถัดมา

    ตอบลบ
  38. ที่มาของข้อมูล ยาคุมฉุกเฉิน

    http://www.samunpai.com/sex/show.php?id=27&cat=3

    ตอบลบ
  39. นายสิทธิชัย ทับเทศ รหัส 52SP2760029

    เรื่องยาตัวใหม่ peramivir

    ยาใหม่ peramivir ความหวังใหม่ในการรักษาไข้หวัดใหญ่ ในระยะเวลาสั้นกว่าเดิมเพียง 1 ใน 3 รายงานจากประเทศญี่ปุ่น


    เราคงเคยทราบว่า ยารักษาไข้หวัดใหญ่ มีอยู่สองตัวที่แพร่หลายคือ tamiflu และ relenza เมื่อเร็วๆ นี้ คณะวิจัยจากญี่ปุ่น แห่งมหาวิทยาลัยนางาซากิ แถลงถึงความสำเร็จของยาใหม่ที่ชื่อว่า peramivir โดย นพ.โคโน่ ยืนยันว่า "ยาใหม่ตัวนี้ เป็นความหวังในการรักษาไข้หวัดใหญ่ที่ดี "

    การวิจัยทำใน คนไข้ 296 คนที่เป็นไข้หวัดใหญ่ อายุ 20 ถึง 64 ปี โดยได้รับยาหลอก เทียบกับ การฉีดยา peramivir หนึ่ง หรือสองเข็ม

    พบว่า การได้รับยา ลดอาการป่วยให้สั้นลงประมาณ 33% โดยระยะเวลาที่มีอาหารเฉลี่ยคือ 59-60 ชม.สำหรับผู้ได้รับยา เทียบกับ 82 ชม. ในผู้ที่ได้รับยาหลอก

    นพ. โคโน่ กล่าวว่า ระยะเวลาของอาการไข้หวัดใหญ่ สั้นลงประมาณ 20 ชม. และพบว่า มีประสิทธิภาพมากกว่า tamiflu ในการวิจัยคล้ายๆกันนี้ด้วย อย่างไรก็ตามยังไม่มีการวิจัยโดยตรงระหว่างยาทั้งสองตัวนี้

    ในขั้นตอนต่อไปคือการวิจัยในประชากรมากกว่า ในระยะ 3 เพื่อจดทะเบียนให้ผ่าน US FDA และเราอาจจะได้ยารักษาไข้หวัดใหญ่แบบฉีด ที่มีประสิทธิภาพดีอีกตัวไว้ใช้ในเร็ววันนี้

    จาก webmd

    ตอบลบ
  40. นาย ชนก พักตร์ฉัตร์ทัน 52SP2760060 ZA


    ชื่อสามัญ Tenofovir disoproxil fumarate

    ชื่อการค้า
    Viread (tenofovir disoproxil fumarate)tablets 300 mg.(ชื่อบริษัท)

    ยานี้ใช้สำหรับ
    ใช้ร่วมกับยาอื่นในการรักษาโรคเอดส์

    วิธีใช้ยา
    ยานี้ใช้สำหรับรับประทาน โดยทั่วไปรับประทานวันละ 1 ครั้ง หรือให้ใช้ยานี้ตามวิธีใช้ที่ระบุบนฉลากยาอย่างเคร่งครัด โดยห้ามใช้ยาในขนาดที่มากหรือน้อยกว่าที่ระบุ และหากมีข้อสงสัยให้สอบถามแพทย์หรือเภสัชกร
    ควรรับประทานหลังอาหาร
    หากใช้ร่วมกับยา didanosine ใช้รับประทาน 1 ชั่วโมงก่อนหรือ 2 ชั่วโมงหลังยา tenofovir
    หมั่นสังเกตไขมันในร่างกายเนื่องจากยาอาจทำให้เกิดการสะสมของไขมันบริเวณหน้าอกหรือหลังส่วนบนได้มากผิดปกติ
    ยานี้ไม่ใช่ยากำจัดเชื้อ HIV ดังนั้นเชื้อ HIV ยังคงสามารถถ่ายทอดผ่านทางเลือดหรือสารคัดหลั่งอื่นๆจากร่างกายได้

    สิ่งที่ควรแจ้งแพทย์หรือเภสัชกรทราบ
    ประวัติแพ้ยา tenofovir หรือยาอื่นๆ ใช้หรือกำลังจะใช้ ยาอื่นๆ ทั้งยาที่แพทย์สั่งจ่ายและยาที่ใช้เอง วิตามิน อาหารเสริม และสมุนไพร
    ตั้งครรภ์ วางแผนจะตั้งครรภ์ หรือให้นมบุตร มีหรือเคยมีโรคตับ ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ปริมาณมาก โรคไต

    ทำอย่างไรหากลืมรับประทานยาหรือใช้ยา
    โดยทั่วไปถ้าลืมรับประทานยา ให้รับประทานยาทันทีที่นึกได้ แต่ถ้าเป็นเวลาที่ใกล้กับมื้อต่อไป ให้ข้ามไปรับประทานยามื้อต่อไปเลยโดยไม่ต้องเพิ่มขนาดยาเป็นสองเท่า

    อาการอันไม่พึงประสงค์จากการใช้ยา
    อาการอันไม่พึงประสงค์ที่ต้องแจ้งแพทย์หรือเภสัชกรทันที
    ไม่สบายท้อง เบื่ออาหาร เหนื่อยผิดปกติ อ่อนเพลีย ปัสสาวะมีสีเข้มหรือสีน้ำตาล เลือดออกผิดปกติหรือมีรอยช้ำ อาการคล้ายเป็นไข้ ไม่สบายตัว ตัวเหลืองหรือตาเหลือง ปวดท้องบริเวณด้านขวาบนของช่องท้อง อาการแพ้ เช่น ผื่นที่ผิวหนัง ผื่นคันหรือลมพิษ หน้าบวม ปากบวม หรือลิ้นบวม หายใจลำบาก ปัสสาวะลำบาก
    อาการอันไม่พึงประสงค์อื่นที่อาจเกิดระหว่างใช้ยา หากเป็นต่อเนื่อง หรือ รบกวนชีวิตประจำวัน ให้ แจ้งแพทย์หรือเภสัชกรทราบ
    ท้องเสีย ปวดท้อง มีลมในท้อง คลื่นไส้ อาเจียน ปวดศรีษะ

    การเก็บรักษายา
    เก็บยานี้ที่อุณหภูมิห้องโดยที่อุณหภูมิ 15-30 องศาเซลเซียส ไม่ให้อยู่ในที่ร้อน เช่น บริเวณที่ถูกแสงแดดโดยตรง และไม่เก็บยาในบริเวณที่เปียกหรือชื้น
    ทิ้งยานี้เมื่อยาหมดอายุ
    เก็บยานี้ในภาชนะบรรจุเดิมที่บรรจุมา ปิดภาชนะให้สนิท และเก็บให้พ้นมือเด็ก

    ที่มา : http://yaandyou.net/search2_web.php?nsetid=7287&tradename=Viread%20(tenofovir%20disoproxil%20fumarate)tablets%20300%20mg.&dosageform=0&gen_name=s

    ตอบลบ
  41. ไม่ระบุชื่อ18 กรกฎาคม 2553 เวลา 06:16

    นาย อรรถวุฒิ งามสูงเนิน 52SP2760022 ZA

    ยาตัวใหม่สะกดความดันที่ต้นตอ

    คนไทยมีอัตราความเสี่ยงเป็นโรคความดันสูงจำนวนมาก ส่วนใหญ่ไม่รู้ตัวเพราะไม่ตรวจสุขภาพ สุดท้ายอาการลุกลามหัวใจ สมอง ตับ และต้องพึ่งยาตลอดชีวิต

    ศ.นพ.ฮานส์-เฮนริก พาร์วิง แพทย์ผู้เชี่ยวชาญจากภาควิชาต่อมไร้ท่อ โรงพยาบาลแห่งชาติ มหาวิทยาลัยโคเปนเฮเก็น กล่าวถึงโรคความดันโลหิตสูงว่า เป็นภัยเงียบของคนไทย หลายรายไม่รู้ตัวเองด้วยซ้ำว่าความดันสูง


    “โรคความดันโลหิตสูงเป็นสาเหตุการตายอันดับที่ 2 ของยุโรป รองจากโรคหัวใจ ขณะที่ 22% ของประชากรไทยเป็นโรคความดันโลหิตสูง แต่กว่า 75% ไม่รู้ตัว เนื่องจากไม่ได้รับการตรวจวินิจฉัย ส่งผลให้อาการของโรคดำเนินไป และรุนแรงจนต้องเสียค่าใช้จ่ายจำนวนมาก รวมถึงคุณภาพชีวิตที่แย่ลง” ศ.นพ.พาร์วิงกล่าว


    โรคความดันโลหิตสูงเป็นโรคเรื้อรังที่ส่งผลกระทบต่อจังหวะการเต้นของหัวใจ และสร้างความเสียหายต่อหัวใจ สมอง ไต และตา ที่สำคัญ ไม่สามารถรักษาให้หายขาด ต้องอาศัยยาควบคุมความดัน


    นักวิทยาศาสตร์รู้กันมาพักหนึ่งแล้วว่า ความดันโลหิตเกิดจากเอนไซม์เรนินที่ร่างกายผลิตขึ้นตามปกติ และเปลี่ยนเป็นเอนไซม์เอเอ็นจี1 จากนั้นเอเอ็นจี1 จะย่อยสลายเป็นเอนไซม์ เอเอ็นจี2 เมื่อเอเอ็นจี2 ไปจับกับตัวรับที่ชื่อ เอที1 จะส่งผลต่อความดัน ในผู้ป่วยความดันโลหิตสูงกระบวนการดังกล่าวจะทำงานผิดปกติ และทำให้ระดับความดันโลหิตสูงเกินกว่าปกติ


    “ปัจจุบัน มียารักษาโรคความดันโลหิตสูงอยู่หลายตัว แต่รักษาที่ปลายเหตุ ไม่ว่าจะเป็นยับยั้งการย่อยสลายเรนินเป็นเอเอ็นจี1, ยับยั้งการเปลี่ยนเอเอ็นจี1 เป็นเอเอ็นจี2 และยับยั้งการจับกับตัวรับ เอที1 แต่ยากลุ่มใหม่ที่ค้นพบเมื่อไม่นานนี้จะทำงานยับยั้งที่ต้นเหตุ กล่าวคือออกฤทธิ์ยับยั้งเอนไซม์เรนินโดยตรง” ศ.นพ.พาร์วิงอธิบาย


    แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคหลอดเลือดจากมหาวิทยาลัยโคเปนเฮเก็นกล่าวถึงประสิทธิภาพของยาตัวใหม่ว่า จากการทดสอบทางคลินิกพบว่า ยาออกฤทธิ์ได้นานถึง 40 ชั่วโมง ส่งผลดีต่อผู้ป่วยที่ระดับความดันโลหิตสูงไม่ลดลงขณะนอนหลับ และอาจเกิดอันตรายจึงต้องการยาที่ออกฤทธิ์นานกว่า นอกจากนี้ยายังออกฤทธิ์ถึงระดับเนื้อเยื่อ ส่งผลต่อหลอดเลือดในเนื้อเยื่ออีกด้วย ที่สำคัญ ช่วยลดผลเสียของโรคความดันโลหิตสูงที่เกิดกับหัวใจ ไต และสมอง


    อย่างไรก็ดี ยายับยั้งการทำงานของเอนไซม์เรนินโดยตรงอาจมีผลข้างเคียงในผู้ป่วยที่ใช้ยาลดความดันโลหิตประเภทอื่นอยู่ก่อนแล้ว คือจะก่อให้เกิดภาวะโปแตสเซียมสูง แต่พบในจำนวนน้อย และสามารถแก้ได้ด้วยการปรับลดยา ในกลุ่มของผู้ที่ใช้ยาลดการต้านอวัยวะปลูกถ่าย ยาขับปัสสาวะกลุ่ม Loop Diuretic และยากลุ่ม Verapamil จะส่งผลให้ระดับของยาลดลง แต่สามารถแก้ได้โดยแพทย์จำเป็นต้องปรับระดับของยาให้สมดุลเช่นกัน


    แพทย์ต่อมไร้ท่อแนะนำว่าตรวจความดันโลหิตเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับทุกคน โดยเฉพาะคนที่อายุ 18 ปีขึ้นไป และเพื่อยืนยันผลความดันโลหิต จำเป็นต้องตรวจซ้ำอย่างน้อย 2 ครั้ง

    ที่มา : http://www.rssthai.com/reader.php?t=health&r=13385

    ตอบลบ
  42. นาย วัชกร อุดมกฤตยา 52SP2760043 ZA

    ยาตัวใหม่อาจช่วยกู้สมองที่เสื่อมตามอายุได้

    เมื่อคนเรามีอายุมากขึ้น สมองของพวกเขาก็เป็นสิ่งที่ต้องสูญเสียไป - การติดเชื้อที่เพิ่มขึ้น, ระดับของสารสื่อประสาทที่ลดลง ผลก็คือความเจ็บป่วยที่มากมายไล่ไปตั้งแต่ความจำเสื่อมและอาการสิ้นหวังไปจนถึงโรคอัลไซเมอร์และพาร์กิินสัน แต่ในการศึกษาระยะยาวที่พัวพันกับการรักษาอาการเหล่านี้รวมไปถึงอาการป่วยอื่นๆนั้น นักวิจัยได้พบยาทดลองตัวหนึ่ง ซึ่งถ้าได้รับอย่างต่อเนื่องแล้วก็จะสามารถหยุดยั้งผลจากอาการชราภาพในสมองของหนูได้

    ตัวรับสัมผัสในสมอง ซึ่งตัวรับสัมผัสเหล่านี้นั้นส่งสัญญาณกระตุ้นไปยังสมอง และนักวิจัยต่างก็มีความสนใจในการทดลองยาตัวรับสัมผัส AMPA(เช่น S18986 เป็นต้น) สำหรับความสามารถในการคุ้มกันประสาทและวิธีที่ตัวยาช่วยเพิ่มความจำได้ชั่วคราว

    แต่แทนที่จะตรวจสอบผลกระทบของสารประกอบชนิดนี้ในระยะสั้นๆแล้ว , Alfred E. Mirsky , ศาสตราจารย์ Bruce McEwen และลูกทีมของเขาได้ทำไปไกลกว่านั้นมากนัก

    เหล่านักวิทยาศาสตร์ได้ศึกษาผลกระทบของตัวยาบนหนูวัยกลางไปจนถึงวัยชราและได้ค้นพบว่าเมื่อให้ยารายวันอย่างต่อเนื่องเป็นระยะเวลาสี่เดือนแล้ว ตัวยาดูท่าจะเพิ่มประสิทธิภาพความจำและช่วยชะลอการชราภาพของสมองด้วย

    “ไม่เคยมีใครมองถึงผลกระทบระยะยาวของตัวแอมพาคีนนี้ในสมองที่สูงอายุ” McEwen, ผู้นำของ Rockefeller’s Harold และ Margaret Milliken Hatch Laboratory กล่าว เขาเน้นย้ำว่าการศึกษาในระยะสั้นนั้นได้แสดงว่าตัวยานั้นดูจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในแง่ของความจำ โดยน่าจะเพิ่มจำนวนของตัวรับสัมผัส AMPA ในฮิพโพแคมพัส , ส่วนของความทรงจำและการเรียนรู้ของสมอง แต่ McEwen และผู้ช่วยของเขาพบว่า หลังจากช่วงเวลาสี่เดือนผ่านไปแล้ว S18986 ได้เปลี่ยนแปลงโครงร่างทั้งหมดของสมองหนูที่มีอายุมากแล้ว

    เมื่อนำไปเปรียบเทียบกับหนูที่ได้รับเพียงน้ำตาลแล้ว หนูที่ได้รับยานั้นไม่เพียงแต่จะดูกระฉับกระเฉงขึ้นและทำการทดสอบความจำได้ดีขึ้นแล้ว แต่สมองของพวกมันก็ยังแสดงให้เห็นถึงสัญญาณทางกายภาพของการชะลอความชราภาพลงด้วย เซลล์​ประสาทในสมองส่วนหน้าที่ทำการผลิต Acetylcholine สารสื่อประสาทชนิดหนึ่งที่รู้กันว่าเป็นตัวที่มีบทบาทในการเรียนรู้และคสามทรงจำนั้นได้มีอัตราการลดจำนวนที่ต่ำลง 37% เซลล์ประสาทที่ผลิต Dopamine ที่รับผิดชอบในการคงที่ของระดับการทำงานและการกระตุ้นนั้นได้ชะลอการลดลงถึง 43% ระดับของการติดเชื้อในสมองก็ยังลดลงจนเป็นที่น่าสังเกตด้วย

    Dopamine เป็นสารสื่อประสาทในสมองที่เกี่ยวข้องกับการกระตุ้นและการเคลื่อนไหว และมันมีบทบาทสำคัญในการคงระดับกิจกรรมปกติเอาไว้ มันเป็นสารเคมีซึ่งช่วยให้คุณสามารถลุกขึ้นจากเก้าอี้และเข้าสังคมหรือไปออกกำลังกายได้

    การสูญเสียการผลิต Dopamine อย่างรุนแรงนั้นทำให้เกิดโรคพาร์คินสัน “เพราะฉะนั้นยาตัวนี้บางทีอาจจะมีศักยภาพที่จะช่วยสกัดกั้นไม่ให้อาการของโรคนั้นรุนแรงขึ้น” Hunter กล่าว

    ไม่เพียงเช่นนนั้น แต่มันยังสามารถที่จะเป็นประโยชน์ต่ออาการป่วยที่รุนแรงน้อยกว่านี้มากเช่นกัน เวลาที่คนเราแก่ตัวลง มันมักจะเป็นเรื่องยากสำหรับพวกเขาที่จะรู้สึกอยากจะเข้าสังคมหรือแม้กระทั่ั้งรับประทานอาหาร นำไปสู่อาการเครียด สิ้นหวัง และทำให้อาการป่วยต่าง ๆ ที่แอบแฝงอยู่นั้นแย่ลงไปด้วย “ยาตัวนี้อาจจะไม่ได้เป็นตัวที่ป้องกันโรคพาร์คินสัน” Waters กล่าว “แต่มันอาจปรับปรุงคุณภาพชีวิตของคุณเมื่อคุณแก่ตัวลง เพื่อที่ว่าจนกระทั่งท้ายที่สุดของชีวิตคุณยังคงสามารถที่จะคงคุณภาพและระดับกิจกรรมที่สูงขึ้นได้”

    ด้วยผลกระทบที่มากมายต่อสารสื่อประสาท ตัวยาS18986 นั้นถือว่ามีศักยภาพสูงมาก แต่ตอนนี้มันยังคงเป็นแค่สิ่งที่อาจจะเกิดขึ้นได้ เหล่านักวิจัยหวังว่าจะขุดลึกลงไปเพื่อหาคำตอบให้แน่ชัดว่าตัวยานั้นทำงานอย่างไร, “ยังมีเรื่องอีกมากที่เราจะต้องทำ” hunter กล่าว “และสิ่งนี้ได้แสดงให้เห็นว่าสารประกอบเหล่านี้นั้นมีศักยภาพที่กว้างขวาง”

    ที่มา: http://www.sciencedaily.com/releases/2008/03/080330183235.htm

    ตอบลบ
  43. นาย ธฤต อมาตยกุล 52SP2760041 ZA

    พบยากลุ่มใหม่ ช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือดต่ำ

    ผลการศึกษาจากการประชุมทางวิทยาศาสตร์ประจำปีของสมาคมโรคเบาหวานแห่งสหรัฐอเมริกา (American Diabetes Association หรือ ADA) ครั้งที่ 68 เกี่ยวกับการใช้ยาต้านเบาหวานโดยการยับยั้งเอนไซม์ DPP4 พบว่าสามารถลดภาวะระดับน้ำตาลในเลือดต่ำของผู้ป่วยได้ถึงร้อยละ 93 เมื่อเปรียบเทียบกับการรักษาแบบดั้งเดิมซึ่งเป็นวิธีการรักษาด้วยยากระตุ้นการหลั่งอินซูลินจากตับอ่อน (หรือ Sulfonylurea) การศึกษาครั้งนี้เป็นการทดลองกับผู้ป่วยโรคเบาหวานที่ใช้ยาชนิดใหม่ 588 คน และผู้ป่วยที่ใช้ยาแบบดั้งเดิมจำนวน 584 คน เป็นเวลา 52 สัปดาห์ ผลที่ได้คือมีผู้ป่วยถึง 492 คน จากกลุ่มที่ใช้ยาแบบดั้งเดิมที่มีภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ ส่วนในกลุ่มที่ใช้ยาตัวใหม่มีผู้ป่วยเพียง 37 คนเท่านั้นที่มีภาวะเดียวกันนี้

    ยาต้านเบาหวานตัวใหม่ที่ช่วยยับยั้งเอนไซม์ DPP 4 นี้มีผลในการรักษาระดับกลูโคสในเลือดของผู้ป่วยโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ในผู้ใหญ่ ทำให้ไม่เกิดอาการข้างเคียง คือภาวะระดับน้ำตาลในเลือดต่ำลงและน้ำหนักตัวที่เพิ่มขึ้น ที่มักจะพบในวิธีการรักษาโดยการรับประทานยาวิธีอื่น ยาตัวใหม่ที่ผู้ป่วยจะต้องรับประทานวันละ 1 เม็ดนี้ จะช่วยเสริมระบบภายในการควบคุมระดับน้ำตาลกลูโคสในร่างกายที่เป็นธรรมชาติ หรือที่เรียกว่าระบบอินคริติน ( หรือ Incretin) โดยการควบคุมปริมาณกลูโคสผ่านทางอัลฟ่าเซลล์และเบต้าเซลล์ในตับอ่อน ยายับยั้งเอนไซม์ DPP 4 จะทำงานก็ต่อเมื่อระดับน้ำตาลในเลือดเพิ่มขึ้น ซึ่งเป็นการบ่งบอกถึงระดับอินซูลินที่ลดลงเนื่องจากความผิดปกติของเบต้าเซลล์ และการที่ตับผลิตน้ำตาลกลูโคสออกมาโดยไม่ได้รับการควบคุมเนื่องจากเบต้าเซลล์และอัลฟ่าเซลล์ผิดปกติ ส่วนยากระตุ้นการหลั่งอินซูลินจากตับอ่อนทำงานเพื่อลดระดับน้ำตาลในเลือดโดยการกระตุ้นให้เบต้าเซลล์จากตับอ่อนผลิตอินซูลินโดยไม่คำนึงถึงระดับกลูโคสในเลือด

    ภาวะระดับน้ำตาลในเลือดต่ำเป็นผลข้างเคียงที่เกิดขึ้นได้ทั่วไปจากการรับประทานยารักษาโรคเบาหวาน โดยจะเกิดขึ้นเมื่อระดับกลูโคสในเลือดต่ำลงมากเกินกว่าระดับที่ร่างกายต้องการ ซึ่งเมื่อเกิดภาวะนี้ขึ้นผู้ป่วยอาจมีอาการอื่น เช่น ใจสั่น คลื่นไส้ เหงื่อออกมาก หิว ปวดศรีษะ ตัวซีด อารมณ์หงุดหงิดหรือพฤติกรรมแปรปรวนเฉียบพลัน การเคลื่อนไหวได้ช้าลง การหยิบจับของได้ไม่แม่นยำ หรือการหมดสติ เป็นต้น

    นพ.พงศ์อมร บุนนาค แพทย์ประจำหน่วยต่อมไร้ท่อ และเมตะบอลิสม คณะแพทย์ศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี กล่าวว่า “สิ่งที่สำคัญในการรักษาผู้ป่วยโรคเบาหวานชนิดที่ 2 คือการรักษาสมดุลของระดับน้ำตาลในเลือด โดยการควบคุมไม่ไห้ระดับน้ำตาลในเลือดสูง และในขณะเดียวกันพยายามหลีกเลี่ยงภาวะระดับน้ำตาลในเลือดต่ำ โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ป่วยสูงอายุที่มีโรคหัวใจ เพราะภาวะระดับน้ำตาลในเลือดต่ำจะมีผลกระทบที่ร้ายแรงต่อคนไข้กลุ่มนี้”

    นอกจากนั้นแล้วเมื่อมีการเปรียบเทียบการใช้ยาในกลุ่มยับยั้งเอนไซม์ DPP 4 และยากระตุ้นการหลั่งอินซูลินจากตับอ่อน ผลการศึกษาชี้ให้เห็นว่า ความเสี่ยงในการเกิดภาวะระดับน้ำตาลในเลือดต่ำ ในกลุ่มผู้ป่วยอายุ 65 ปีขึ้นไป ลดลงเป็นสัดส่วนมากกว่ากลุ่มผู้ป่วยที่มีอายุน้อยกว่า 65 ปี โดยในกลุ่มแรกผู้ป่วยมีความเสี่ยงต่อภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำลดลงถึงร้อยละ 97 ในขณะที่ผู้ป่วยกลุ่มหลังที่มีอายุน้อยกว่า 65 มีความเสี่ยงต่อภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำลดลงถึงร้อยละ 91

    ที่มา : http://thaigoodview.com/node/10305

    ตอบลบ
  44. นางสาว ศศินะ แสงทอง 52SP2760009


    ค้นพบยารักษาออทิสติกรูปแบบหนึ่ง

    นักวิจัยจากวิทยาลัยแพทย์เมาท์ซินายได้ค้นพบยาตัวหนึ่งที่สามารถพัฒนาการสื่อสารระหว่างเซลล์ประสาทในหนูทดลองที่เป็นโรคฟีแลน-แม็คเดอร์มิดซินโดรม (PMS) ได้ โดยอาการของ PMS นี้จัดอยู่ในกลุ่มความผิดปกติแบบออทิสติกแบบหนึ่งด้วย

    ก่อนหน้านี้ มีการค้นพบว่าการผ่าเหล่าของหน่วยพันธุกรรมของสมองที่เรียกว่า SHANK3 นั้นเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดอาการใจลอย, สื่อสารช้า, ความผิดปกติทางความฉลาด และโรคออทิสติกได้

    นักวิจัยจากเมาท์ซินายได้ทดลองสังเกตหนูที่มี SHANK3 ที่ผ่าเหล่าไปแล้วนั้นเกี่ยวกับการสื่อสารระหว่างเซลล์ประสาทในสมองของมันที่น่าจะมีส่วนทำให้มีปัญหาทางการเรียนรู้ การสื่อสารในสมองดังกล่าวของหนูล้มเหลวโดนสิ้นเชิงซึ่งระบุชัดว่าเซลล์ประสาทนั้นไม่ได้เติบโตอย่างเหมาะสม

    จากนั้น นักวิจัยได้ฉีดสารประกอบ insulin-like growth factor-1 (IGF1) ที่ทาง FDA ใช้สำหรับการเยียวยาอาการไม่เจริญเติบโตในเด็ก หลังจากรักษาหนูกลุ่มนี้สองสัปดาห์ การสื่อสารในเซลล์ประสาทก็กลับมาสู่ภาวะปกติ และการปรับตัวของเซลล์ประสาทเพื่อการกระตุ้นนั้นก็กลับสู่ภาวะปกติ ซึ่งส่วนหลังนี้เป็นส่วนสำคัญในกระบวนการเรียนรู้และจดจำด้วย

    "การรักษาโดย IGF-1 ในหนูพวกนี้คือการพัฒนาที่น่าตื่นเต้นเพราะจะนำไปสู่การรักษา PMS ในคนได้ต่อไป" ดร.โจเซฟ บูกซ์บวม ผู้อำนวยการศูนย์ซีเวอร์ออทิสซึมเพื่อการวิจัยและรักษา แห่งวิทยาลัยแพทย์เมาท์ซินายกล่าว

    "ถ้าข้อมูลพวกนี้ได้รับการตรวจสอบในทางพรีคลีนิกเพิ่มเติม คนที่ป่วยด้วยด้วย SHANK3 ที่กลายพันธุ์ก็อาจจะได้รับประโยชน์จากสารประกอบตัวนี้ก็เป็นได้"

    ดร.บูกซ์บวมและทีมงานจะประเมินประสิทธิภาพการรักษาด้วย IGF-1 ในหนูต่อไป โดยนายแพทย์ปาทริค ฮอฟ ศาสตราจารย์ด้านประสาทวิทยาแห่งวิทยาลัยแพทย์เมาท์ซินายจะมาประเมินประสิทธิภาพของสารประกอบเหล่านี้ในด้านการเปลี่ยนแปลงทางประสาทกายวิภาค นอกจากนั้นแล้ว ดร.แยคกูลิน คราวลีย์ นักวิจัยอาวุโสของสถาบันสุขภาพแห่งชาติก็จะศึกษาผลของการศึกษานี้ในแง่การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของหนูต่อไป


    ที่มา : http://www.vcharkarn.com/vnews/153067

    ตอบลบ
  45. นายภูริภัทร บุญนิล
    รหัส 52SP2760028

    พาราเซตามอล (paracetamol) หรือ อะเซตามิโนเฟน (acetaminophen)

    เป็น ยาบรรเทาอาการปวด (analgesics) ไม่มีผลข้างเคียงเรื่องการระคายเคืองผนังกระเพาะอาหา ร และการแข็งตัวของเลือดเหมือนยากลุ่มเอ็นเซด (non-steroidal anti-inflammatory; NSAIDs) เช่น ยาแอสไพริน ยาไอบูโพรเฟน (ibuprofen) หากใช้ในขนาดการรักษาปกติ ทำให้ประชาชนทั่วไปไม่ค่อยรู้พิษสงของยานี้เท่าไหร่ นอกจากนี้ยังสามารถหาซื้อได้ง่ายโดยไม่ต้องมีใบสั่งย าจากแพทย์ เป็นเหตุให้ปริมาณการใช้ยาตัวนี้เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร ็ว พาราเซตามอลกลายเป็นยาประจำบ้านที่ขายดิบขายดี เป็นอะไรก็กินแต่พาราเซตามอล ปวดศีรษะ ไข้หวัด ก็พาราเซตามอล ปวดหลัง ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ ก็พาราเซตามอล ยิ่งกว่านั้นบางรายปวดท้อง เวียนศีรษะ คลื่นไส้อาเจียน ก็กินพาราเซตามอล ซึ่งพาราเซตามอลก็คงไม่ได้ช่วยอะไร ทำได้แค่ให้สบายใจขึ้นเพราะได้กินยาแล้ว บ้างก็มัวแต่ผลัดวันประกันพรุ่ง ไม่ยอมไปหาหมอรักษากัน พลอยทำให้โรคที่เป็นลุกลามมากขึ้น ต้องเสียเงินรักษามากขึ้นโดยใช่เหตุ

    ในหลายประเทศได้แก่ อังกฤษ สหรัฐอเมริกา ได้มีการสำรวจวิจัยพบว่ามีการใช้ ยาพาราเซตาอลเกินขนาดมากขึ้นทุกปี และมีผู้ที่ต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลจากการเกิ ดพิษของพาราเซตามอ ลจำนวนมากจนน่าตกใจจนต้องออกมารณรงค์ให้ใช้ยาพาราเซต ามอลเฉพาะเมื่อมีความจำ เป็น และเผยแพร่ความรู้เรื่องพิษของยาให้ประชาชนตระหนักมา กยิ่งขึ้นผ่านสื่อต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น โทรทัศน์ วิทยุ ใบปลิว เอกสารกำกับยา หรืออินเตอร์เน็ต
    อันตรายจากการใช้ยาพาราเซตามอลที่พบได้มากที่สุด คือ พิษต่อตับ ทำให้ตับวาย รองมาเป็นเรื่องของการเกิดปฏิกิริยากับยาอื่น หรือตีกับยาอื่นนั้นเอง ซึ่งเกิดขึ้นจากความตั้งใจและไม่ตั้งใจ

    • ที่เกิดจากความตั้งใจ ทุก คนคงทราบกันดี นั่นคือ การกินพาราเซตามอลประชดชีวิต การฆ่าตัวตาย ซึ่งบางรายก็แค่ต้องการประท้วง เรียกร้องความสนใจ นึกว่าพิษของพาราเซตามอลเป็นเรื่องเล็กๆ แต่ความจริงไม่เป็นเช่นนั้นเพราะพาราเซตามอลจะทำให้ต ับเสียการทำงานหรือตับ วายได้ ซึ่งหากได้รับยาต้านพิษไม่ทันเวลาก็จะทำให้เสียชิวิต ได้
    • ที่เกิดจากความไม่ตั้งใจ เนื่องจากพาราเซตามอลที่ผลิตออกจำหน่ายในปัจจุบันนั้ นมีหลายรูปแบบ หลายความแรง หลายยี่ห้อซึ่งเป็นการยากที่ประชาชนทั่วไปจะทราบ ได้แก่ รูปของยาเม็ด ยาน้ำเชื่อม และการนำพาราเซตามอลไปผสมกับยาอื่นๆ ได้แก่ ยาคลายกล้ามเนื้อ ยาแก้หวัด ยาแก้ปวด เป็นต้น ทำให้เกิดการกินยาซ้ำซ้อนโดยไม่รู้ตัว หากเป็นระยะเวลาไม่นานแค่ 2 ถึง 3 วันก็ยังพอไหว หากระยะเวลานานเป็นเดือนการเกิดพิษต่อตับคงเกิดอย่าง แน่นอน ดังนั้นทางที่ดี ก่อนกินยาอะไรควรอ่านฉลากยาให้ละเอียดเสียก่อน และหากไม่แน่ใจว่าเป็นยาอะไร เป็นยาสูตรผสมหรือไม่ ก็ควรปรึกษาเภสัชกร หรือแพทย์ก่อนทุกครั้ง

    เรื่องที่น่าคิดอีกเรื่อง คือ การกินพาราเซตามอลร่วมกับเครื่องดื่มที่ผสมแอลกอฮอล์ เช่น เหล้า ไวน์ รัม ยีน หรือ เบียร์

    เพราะ ตัวแอลกอฮอล์เองเป็นที่ทราบกันดีว่าหากได้รับในปริมา ณมาก หรือต่อเนื่องกันนานๆ ก็ทำให้เกิดภาวะตับแข็ง ตับวายได้ หากกินร่วมกับพาราเซตามอลก็จะเท่ากับเป็นการเหยียบคั นเร่งให้ตับพังได้เร็ว ยิ่งขึ้น คณะกรรมการอาหารและยาประเทศสหรัฐอเมริกาได้ออกกฎหมาย ให้มีการพิมพ์คำเตือนบน ฉลากยาพาราเซตามอลว่า “ห้ามรับประทานร่วมกับเครื่องดื่มที่ผสมแอลกอฮอล์”เนื่อง จากเกิดคดีพิพากษาเกี่ยวกับการกินยาพาราเซตามอลร่วมก ับไวน์เป็นประจำของชาว เวอร์จิเนียรายหนึ่งจนทำให้ตับวาย จนต้องมีการปลูกถ่ายตับใหม่ บริษัทผู้ผลิตยาแพ้คดีต้องจ่ายเงินชดใช้ถึง 8 ล้านดอลลาร์



    อ้างอิง : http://www.junjaowka.com/webboard/showthread.php?s=7eec3198c1239f87550cd5a4203604ff&t=88296

    ตอบลบ
  46. ภัทรพงศ์ วาศไชยพงศ์ 52sp2760033

    ยารักษาโรคเบาหวาน

    ยาที่ใช้รักษาโรคเบาหวานมีอยู่ 2 แบบด้วยกันคือ ยาฉีดกับยากิน
    ⇒ ยาฉีด
    ยาฉีดที่ใช้รักษาเบาหวาน ได้แก่ อินซูลิน
    ยานี้ทำมาจากตับอ่อนของวัวหรือของหมู เป็นสารที่คล้ายกับอินซูลินของคนเรา จึงใช้ฉีดเข้าร่างกายผู้ป่วยเบาหวาน เพื่อทดแทนอินซูลินส่วนที่ขาดไป ยานี้จึงใช้ได้ผลดี และรวดเร็ว
    หมอมักใช้กับผู้ป่วยเบาหวานที่ใช้ยากินไม่ได้ผล หรือที่เรียกว่า “ชนิดพึ่งอินซูลิน” คนที่ต้องรักษาด้วยอินซูลิน จึงต้องฉีดยานี้ไปตลอดชีวิต

    ยาอินซูลิน มีอยู่ด้วยกันหลายชนิด
    ที่ใช้บ่อยก็คือ อินซูลินธรรมดา หรือ เร็กกูล่าร์อินซูลิน (Regular insurin) ชนิดนี้ออกฤทธิ์เร็ว แต่มีฤทธิ์เพียงระยะสั้นไม่กี่ชั่วโมง จึงต้องฉีดกันวันละหลายครั้ง หมอมักจะใช้รักษาผู้ป่วยเบาหวานที่มีอาการรุนแรง และต้องพักรักษาตัวในโรงพยาบาล
    ยาฉีดที่หมอแนะนำให้ผู้ป่วยฉีดเองที่บ้าน คือ เอนพีเอชอินซูลิน (NPH insurin) ยานี้ออกฤทธิ์นาน หมอมักจะให้ฉีดวันละครั้งตอนเช้า ถ้าเป็นไม่มาก อาจฉีดเพียงวันละ 40-50 ยูนิต ถ้าเป็นมากอาจฉีดวันละ 60-80 ยูนิต ยานี้ชนิด 40 ยูนิต (ใน 1 ซีซี มียา 40 ยูนิต) ราคาขวดละประมาณ 70-80 บาท ชนิด 80 ยูนิต (ใน 1 ซีซี. มียา 80 ยูนิต) ราคาขวดละประมาณ 110-120 บาท
    การใช้ยาฉีดอินซูลิน ต้องให้หมอเป็นผู้กำหนดว่าจะต้องฉีดยาชนิดใด เมื่อใด วันละกี่ครั้ง จำนวนเท่าใด จึงควรถามหมอผู้รักษาให้แน่นอนเสียก่อน ห้ามซื้อยามาฉีดเองอย่างสุ่มสี่สุ่มห้า หากฉีดจำนวนมากไป อาจทำให้ระดับน้ำตาลลดต่ำไป จนถึงตายได้
    หมอมักจะแนะนำให้ผู้ป่วยหรือญาติผู้ป่วยฉีดเองที่บ้าน สมัยนี้สะดวก เขามีกระบอกและเข็มฉีดยาสำเร็จรูปสำหรับฉีดยาโดยเฉพาะ เรียกว่า “กระบอกฉีดยาอินซูลิน” ซึ่งใช้ทีเดียวทิ้ง ตกอันละ 3.50-4.00 บาท

    ข้อควรระวัง บางคนอาจแพ้ยาอินซูลินได้ (ก็ทำมาจากหมูหรือวัวนี่) เป็นผื่นแดงตรงบริเวณที่ฉีด ถ้ามีอาการแพ้ควรหยุดยาแล้วกลับไปหาหมอที่รักษา
    ยาอินซูลินนอกจากใช้ฉีดในผู้ป่วยโรคเบาหวานชนิดพึ่งอินซูลิน ยังใช้ฉีดในผู้ป่วยที่มีอาการกำเริบหนัก เมื่อมีสารคีโตนในปัสสาวะ เมื่อมีการอักเสบ มีแผล ในหญิงตั้งท้อง และในรายที่ต้องผ่าตัดยาอินซูลินนี้จะต้องเก็บไว้ในตู้เย็น หรือแช่น้ำแข็ง มิฉะนั้นยาจะเสื่อมง่าย
    ⇒ ยากิน
    ยาเม็ดที่ใช้กินรักษาเบาหวานมักจะใช้ในผู้ป่วยที่มีระดับน้ำตาลไม่สูงมากนัก เช่น คนที่เพิ่งจะมีอาการเบาหวานหลังอายุ 40 ปี หรือมีอาการน้อยกว่า 10 ปี หรือคนที่ใช้ยาฉีดอินซูลินไม่เกินวันละ 40 ยูนิต
    ยากินมีหลายชนิด ที่ใช้บ่อยได้แก่

    -ยาเม็ดคลอร์โปรปาไมด์ (Chlorpropamide) ซึ่งมี 2 ขนาด คือขนาด 100 มิลลิกรัม และ 250 มิลลิกรัม นอกจากขององค์การเภสัชกรรมแล้ว ยังมียาของบริษัทเอกชนหลายยี่ห้อ เช่น
    ไดอาบีนีส (Diabenese) ดูไมด์ (Dumide) ราคาชนิด 100 มิลลิกรัม เม็ดละ 12 สตางค์ – 60 สตางค์ ชนิด 250 มิลลิกรัม เม็ดละ 24 สตางค์ – 120 สตางค์ แล้วแต่ยี่ห้อหมอมักจะให้กินวันละครั้งก่อนอาหารเช้า โดยเริ่มจากชนิด 100 มิลลิกรัมก่อน กินไป 10 วัน ถ้าไม่ได้ผล (ยังมีน้ำตาลในปัสสาวะบวกสองถึงบวกสี่) จะเพิ่มเป็นชนิด 250 มิลลิกรัม
    ยานี้จะเริ่มกินครั้งละ เม็ดก่อน เมื่อ 10 วันแล้วยังไม่ได้ผลก็เพิ่มทีละ เม็ด ทุก 10 วัน เพิ่มได้สูงสุดจนกระทั่งกินชนิด 250 มิลลิกรัมถึงวันละ 2 เม็ด ถ้ายังไม่ได้ผล หมอจะเปลี่ยนยาชนิดอื่นแทนจะไม่เพิ่มยามากไปกว่านี้

    ยาเม็ดไกลเบนคลาไมด์ (Glibenclamide) มีอยู่ขนาดเดียวคือ ขนาด 5 มิลลิกรัม มีชื่อยี่ห้อ เช่น ดาโอนิล (Daonil) ยูกลูคอน (Euglucon) เป็นต้น ราคาเม็ดละ 1.50-2.00 บาท
    หมอมักจะเริ่มให้กินวันละครั้ง ๆ ละ เม็ด หลังอาหารเช้าก่อน ถ้าไม่ได้ผลจะเพิ่มอีก เม็ด ถ้าไม่ได้ผลจะเพิ่มเป็นวันละ 2 เม็ด แบ่งให้กินเช้าเม็ดเย็นเม็ด ถ้ายังไม่ได้ผลอีกจะเพิ่มเป็น 3 เม็ด แบ่งเป็น เช้าเม็ดครึ่ง เย็นเม็ดครึ่ง ให้ได้สูงสุด วันละ 4-5 เม็ด

    ที่มา:http://www.doctor.or.th/node/4749

    ตอบลบ
  47. อำนาจ จารุถาวร 52SP2760050 ZA

    Benzonatate

    ข้อบ่งใช้
    ใช้แก้ไอแห้ง

    ชื่อการค้า
    Tesalon

    วิธีใช้ยา
    ถ้าเป็น Capsule ไม่ควรเคี้ยวหรือละลายยา กรณีอายุ > 10 ปี ถึงผู้ใหญ่ ทาน 1 capsule ทุก 4 ช.ม. ไม่ควรเกิน 6 capsule/วัน อายุ <10 ปี ขนาดยาที่ให้ 8 mg/kg/วัน โดยบ่งให้ 3 –6 ครั้ง

    คำแนะนำระหว่างใช้ยานี้
    ห้ามเคี้ยวหรือหัก capsule

    เมื่อคุณลืมทานยา
    ให้รับประทานทันทีที่นึกได้ แต่ถ้าใกล้กับเวลาที่จะทานครั้งต่อไป ไม่ต้องทานยาครั้งที่ลืม ให้ข้ามไปทานครั้งปกติ ไม่ควรทานยาเพิ่มเป็น 2 เท่า

    ผลข้างเคียงของยา ในบางรายอาจเกิดอาการ

    สงบระงับ ปวดหัว วิงเวียน คัดจมูก คลื่นไส้ ไม่สบาท้อง ท้องผูก ผื่นคัน
    สามารถใช้ได้ในสตรีมีครรภ์ และระหว่างการให้นมบุตร
    ไม่ควรใช้ยานี้ในผู้ป่วยที่แพ้ยา

    ที่มา: http://www.pharm.chula.ac.th/osotsala/Respiratory/antitussive.htm

    ตอบลบ
  48. นายวัชระ สุลำนาจ
    รหัส 52SP2760017

    นักวิจัยมหาวิทยาลัย Temple ค้นพบยารักษามะเร็งตัวใหม่
    http://www.sciencedaily.com/releases/2005/03/050326095452.htm

    นักวิจัยมหาวิทยาลัย Temple ค้นพบยารักษามะเร็งตัวใหม่ที่จะหยุดการแบ่งตัวของเซลล์มะเร็งเพื่อหยุดการเกิดเนื้องอก ยาตัวนี้จะไปขัดขวางการทำงานของยีนที่มีชื่อว่า Plk1 และยาตัวนี้ก็กำลังอยู่ในขั้นตอนทดลองรักษาในมนุษย์ระยะแรก โดยงานวิจัยนี้ถูกตีพิมพ์ไปเมื่อเดือนมีนาคมในวารสาร Cell Cancer

    Plk1 เป็นหนึ่งในหลายๆโมเลกุลที่มีความสำคัญในการแพร่กระจายของมะเร็ง ในการศึกษาก่อนหน้านี้พบว่าผู้ป่วยโรคมะเร็งหรือผู้มีเนื้องอกจะมี Plk1 ในปริมาณที่มาก แต่เมื่อทำให้ Plk1 หยุดการทำงาน จะทำให้เซลล์มะเร็งไม่มีการแบ่งตัว และเซลล์เนื้องอกตายในที่สุด

    ทีม Temple ซึ่งเป็นทีมที่ค้นพบตัวยาใหม่นี้ นำทีมโดย ศาสตราจารย์ด็อกเตอร์ Prem Reddy ซึ่งเป็นนักชีวเคมีและผู้อำนวยการสถาบัน Fels Institute for Cancer Research ของมหาวิทยาลัย Temple University School of Medicine ทำการค้นหาสารตัวใหม่ที่สามารถยับยั้งการทำงานของ Plk1 ซึ่งเป็นสารโมเลกุลขนาดเล็กที่พวกเขาค้นพบและพัฒนาจนมาเป็น ON01910 โดยที่จะยับยั้งมะเร็งต่างๆของมนุษย์ได้ถึง 94 ชนิด Reddy กล่าวว่า “พวกเราพบว่า ON01910 สามารถยับยั้งการเจริญเติบโตของเนื้องอกได้ นอกจากนี้ยังทำงานได้ดีเมื่อใช้คู่กับยาต้านมะเร็งที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบัน

    สถาบัน Johns Hopkins Medicine และ Mt. Sinai Medical Center เป็นสถาบันแรกที่ได้ทดลองใช้ ON01910 ในการรักษาผู้ป่วยที่อยู่ในระยะ advanced และ ระยะ metastatic (ระยะแพร่กระจาย) ของมะเร็ง การศึกษาผลของการใช้ยานี้จะทำการดูผลการรักษาของคนไข้ประมาณ 56 คน ON01910 หรือ ที่รู้จักว่า target therapy ซึ่งจะดูจากอัตราการรอดของเนื้องอก โดยการรักษานี้จะไปยับยั้งโมเลกุลที่ทำให้เนื้องอกไม่สามารถทำหน้าที่ ได้ ซึ่งทำให้เนื้องอกไม่สามารถมีชีวิตต่อไปได้

    ในการทำงานที่จำเพาะของ ON01910 นั้น Reddy กล่าวว่า “ยาของเรานั้นสามารถป้องกันการรุกรานของเนื้องอกไปยังเนื้อปกติได้โดยมีทั้งหมด 3 วิธี คือ อย่างแรกมันจะไปป้องกันการแทรกตัวของเนื้องอก อย่างที่สองคือจะป้องกันการสร้างเส้นเลือดที่จะส่งไปเลี้ยงยังเนื้องอก และอย่างสุดท้ายคือยาจะทำการชักนำให้เนื้องอกเกิดการตาย ซึ่งอยู่ในวิธีการที่ปลอดภัยต่อเซลล์อื่นๆ” นักวิจัยคนอื่นๆ ของทีมได้แก่ Kiranmai Gumireddy1, M.V. Ramana Reddy, Stephen C. Cosenza1, R. Boomi Nathan, Stacey J. Baker, Nabisa Papathi1, Jiandong Jiang, และ James Holland.



    อ้างอิง
    http://www.sciencedaily.com/releases/2005/03/050326095452.htm
    http://www.avernes.fr/Oncologie/IMG/jpg/plk1multitaches.jpg

    ตอบลบ
  49. นายยุทธศักดิ์ อริยะชัยประดิษฐ์ 52sp2760007

    สมุนไพรกับโรคความดันโลหิตสูง



    ในการรักษาโรคความดันโลหิตสูงจะต้องได้รับการควบคุมดูแลจากแพทย์แผนปัจจุบัน และในการนำสมุนไพรมาใช้ใน ผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูงจะต้องระมัดระวัง และจะต้องตรวจวัดความดันโลหิตอย่างสม่ำเสมอจากแพทย์แผนปัจจุบัน สมุนไพรที่ใช้ขับปัสสาวะมีดังนี้



    หญ้าหนวดแมว ในใบของหญ้าหนวดแมวจะมีเกลือโพแทสเซียมปริมาณ 0.7-0.8% ใช้ใบอ่อนเป็นยาขับปัสสาวะที่มีประสิทธิภาพสูง เนื่องจากเกลือโพแทสเซียมในใบอ่อนจะมีปริมาณสูง ตามตำรายาไทยใช้แก้โรคปวดตามสันหลังและเอว ใช้ขับนิ่วและลดความดันโลหิตสูง



    ข้อควรระวัง



    1.เนื่องจากหญ้าหนวดแมวมีเกลือโพแทสเซียมสูงจึงไม่ควรใช้กับผู้ป่วยที่เป็นโรคหัวใจ



    2.ควรใช้การชง ไม่ควรใช้การต้ม และควรใช้ใบอ่อน เพราะใบแก่จะมีเกลือโพแทสเซียมละลายออกมามาก มีฤทธิ์กดหัวใจ ทำให้หายใจผิดปกติได้



    3.ควรใช้ใบตากแห้ง ถ้าใช้ใบสดจะมีอาการคลื่นไส้และหัวใจสั่น



    4.ไม่ควรใช้หญ้าหนวดแมวคู่กับยาแอสไพริน เพราะจะทำให้ยามีฤทธิ์ต่อหัวใจมากขึ้น



    5.ก่อนการใช้ควรปรึกษาแพทย์แผนปัจจุบันและได้รับการดูแลอย่างสม่ำเสมอเพื่อความปลอดภัย



    หญ้าคา ในรากหญ้าคามีสารอะรันโดอินและไซลินดริน ทั้งกรดอินทรีย์หลายชนิด ตามตำรับยาไทยใช้เป็นยาขับปัสสาวะ แก้ขัดเบา โดยต้นหญ้าคาสด 40-50 กรัม (น้ำหนักแห้ง 10-15 กรัม) หรือ 1 กำมือ ต้มดื่มก่อนอาหารวันละ 3 ครั้ง ครั้งละ 1 ถ้วยชา (75 มิลลิลิตร)



    หมายเหตุ การใช้สมุนไพรขับปัสสาวะทุกชนิดต้องปรึกษาแพทย์แผนปัจจุบัน เนื่องจากการใช้ยาขับปัสสาวะเกินขนาดอาจจะเป็นอันตรายต่อผู้ป่วยได้

    ที่มาhttp://www.thaihealth.or.th/node/5173

    ตอบลบ
  50. นางสาวสวามินี ดีเสมอ 52SP2760056 ZA

    ยาเลื่อนประจำเดือน
    สาว ๆ อาจรู้สึกหงุดหงิดรำคาญใจ หากวันที่จะต้องเดินทางไกล ไปเที่ยวทะเล ไปเข้าค่าย หรือวันสำคัญในชีวิต คือ วันแต่งงาน แล้วบังเอิญเป็นช่วงประจำเดือนมาพอดี ดังนั้นหลายคนจึงต้องวางแผน ด้วยการไปซื้อ “ยาเลื่อนประจำเดือน” มากินล่วงหน้า แต่อย่างว่าคนไม่เคยใช้ ก็ย่อมวิตกกังวลเป็นธรรมดา ว่าจะมีผลข้างเคียงอะไรตามมาหรือเปล่า

    เกี่ยวกับเรื่อง นี้ ศ.นพ.อภิชาติ จิตต์เจริญ ภาควิชาสูติศาสตร์-นรีเวชวิทยา คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยา ลัยมหิดล บอกว่า ยาเลื่อนประจำเดือน ถ้ามีฮอร์โมนโปรเจสโตเจนอย่างเดียว เรียกว่า “แบบเดี่ยว” แต่ถ้าเป็น “แบบผสม” จะมีทั้งโปร เจสโตเจนและเอสโตเจนรวมกัน ซึ่ง “แบบผสม” อาจมีผลข้างเคียงมากกว่า โดยทั่วไปที่ใช้กันอยู่จึงเป็นชนิดที่มีฮอร์โมนโปรเจสโตเจนตัวเดียว


    วิธีการใช้ จะต้องกินยาล่วงหน้าอย่างน้อย 4-5 วัน หรือ 1 สัปดาห์ เพราะถ้าไปกินในช่วงวันใกล้มีประจำเดือนอาจจะไม่ได้ผล กินยาวันละ 2 เม็ด ตอนเช้าและตอนเย็น ติดต่อกันในขนาดที่กำหนด แต่ไม่ควรเกิน 10-14 วัน เพราะการใช้ติดต่อกันเป็นเวลานาน อาจทำให้มีเลือดออกกะปริบกะปรอย และรอบเดือนมาผิดปกติได้

    เมื่อหยุดยาแล้ว ประจำเดือนจะไม่มาทันที อีกประมาณ 2-3 วันต่อจากนั้น ประจำเดือนจึงจะมาตามปกติ

    สำหรับผลข้างเคียงที่ อาจเกิดขึ้นจากการกินยาเลื่อนประจำเดือน เช่น บางคนอาจมีอาการคลื่นไส้ อาเจียน ปวดศีรษะ เป็นบางเวลา หรือ อาจมีเลือดออกกะปริบกะปรอย ส่วนผลข้างเคียงอย่างอื่นก็ไม่มีอะไรน่ากลัว ถือว่ามีความปลอดภัย

    ที่มา http://webboard.yenta4.com/topic/379435

    ตอบลบ