หลักสูตรการจัดการสิ่งแวดล้อมเมืองและอุตสาหกรรม

หลักสูตรการจัดการสิ่งแวดล้อมเมืองและอุตสาหกรรม
คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต

วันพฤหัสบดีที่ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2553

วิทยาศาสตร์ในชีวิตประจำวัน-บทที่ 4

ให้นักศึกษาแนะนำเกร็ดการเลือก ซื้อ หรือ ใช้เครื่องสำอาง

35 ความคิดเห็น:

  1. นายวัชระ สุลำนาจ
    รหัส 52SP2760017

    Concealer
    กรณีของคอนซีลเลอร์ขอแบ่งออกเป็น 2 เคส

    - สำหรับสาวๆ ที่เผชิญกับปัญหาสิวเป็นประจำหลายๆ คนต้องอาศัยคอนซีลเลอร์ช่วยชีวิตเป็นประจำ เสียแต่ว่าส่วนใหญ่มักไม่ใช่มือโปร แต้มไปแต้มมากลายเป็นไปเน้นสิวให้เห็นเด่นชัดมากขึ้นไปอีก เวรกรรมจริงๆ เทคนิคที่คุณไม่ควรมองข้ามก็คือ สาวๆ ควรทามอยส์เจอไรเซอร์ชนิด oil-free ที่ไม่มีส่วนผสมของน้ำมันให้ทั่วใบหน้าก่อน และให้ทาซ้ำกับรอยด่างดำและสิวด้วย หลังจากนั้นรอเวลาสักพักให้เนื้อครีมซึมซาบสู่ผิว ผิวจะได้เรียบเนียนและไม่ขรุขระ เสร็จแล้วค่อยแต้มคอนซีลเลอร์ลงไปตรงจุดด่างดำและสิวปริมาณเล็กน้อย ย้ำว่าเพียงเล็กน้อยเท่านั้นนะคะ หัวใจสำคัญคือการเลือกคอนซีลเลอร์ที่มีสีไม่ต่างจากผิวหน้าเรามากนัก หรือสีเข้มกว่าใบหน้าเราเพียงเล็กน้อย หลังจากนั้นให้ลงแป้งโทนสีเหลือง และอย่าลืมปัดแป้งที่เป็นคราบที่ติดไปกับคอนซีลเลอร์ด้วยนะคะ ป้องกันรอยด่างอันไม่พึงประสงค์

    - สำหรับสาวๆ ที่เป็นญาติกับแพนด้าน้อย คุณคงต้องใช้คอนซีลเลอร์เพื่อปกปิดความคล้ำดำใต้ขอบตาเป็นประจำ แต่หลายๆ ครั้งทาไปทามากลับไม่ได้ช่วยอะไรเท่าไร ดีไม่ดีจะไปเน้นความคล้ำดำนั่นซะอีก ขอแนะนำว่าก่อนอื่นสาวๆ ควรเลือกโทนสีคอนซีลเลอร์ที่สว่างกว่ารองพื้นเพียงเล็กน้อย อย่าขาวเว่อร์ โดยคิดว่าจะช่วยให้ขอบตาดูขาวสว่าง เพราะมันจะกลายเป็นดูเฟคเสียมากกว่า ขั้นตอนการลงคอนซีลเลอร์ใหใช้แปรงเกลี่ยไล้ให้ชิดบริเวณขอบตามากที่สุด การใช้แปรงเวิร์คกว่าการใช้ปลายนิ้ว เพราะสามารถปกปิดเก็บรายละเอียดได้แนบเนียนกว่านะ


    ที่มา http://www.skincare24hrs.com/bb.php?topic=758

    ตอบลบ
  2. นางสาวฐาปนี แก่นเขียว ID 52SP2760054

    "พัฟที่ติดอยู่ในตลับแป้ง"

    พัฟที่อยู่ในตลับแป้งจะมีกระดาษแก้ว รองอยู่ เวลาเปิดใช้ไม่ควรทิ้งกระดาษแก้วแผ่นนั้น เพราะมีไว้สำหรับรองพัฟ เนื่องจากพัฟที่เราใช้ซับแป้งทาหน้า อาจมีน้ำมันปนอยู่หลังใช้ เมื่อสะสมมากถ้าวางไว้บนแป้งโดยไม่มีกระดาษแก้วรองรับ อาจทำให้น้ำมันและสิ่งสกปรกติดสะสมอยู่ในพัฟซึมเข้าไปในเนื้อแป้ง ทำให้เนื้อแป้งแข็งตัว หรือเปลี่ยนสี ทาไม่ออก จึงควรเอาพัฟไว้บนแผ่นกระดาษแก้วใสทุกครั้ง อย่าลืมเอาพัฟมาซัก ตากแดด เพื่อล้างคราบน้ำมัน สิ่งสกปรกที่เกาะติดอยู่กับพัฟออก เวลาทาจะได้มีแป้งที่แท้จริง ป้องกันไม่ให้เป็นสิวเสี้ยนอุดตันอีกด้วย

    ที่มา : www.kapook.com

    ตอบลบ
  3. นายธณพล บูรณดี ID 52SP2760054

    วิธีรักษาอาการแพ้เครื่องสำอาง...

    ใครที่ต้องแต่งหน้าบ่อย ๆ อาจเกิดปัญหาแพ้เครื่องสำอาง วันนี้เกร็ดความรู้วิธีรักษาอาการแพ้เครื่องสำอางมาฝากกัน....
    1. หยุดการใช้เครื่องสำอางนั้นทันที และพยายามเช็ดหรือชะล้างบริเวณที่ใช้เครื่องสำอางนั้นให้สะอาดที่สุดเท่าที่จะทำได้ โดยปกติอาการแพ้ไม่รุนแรงมากนัก หลังจากนั้นสังเกตดูว่ามีอาการแพ้ลุกลามมากขึ้นอีกหรือไม่ โดยมากมักจะหายภายใน 7-10 วัน แต่หากมีอาการรุนแรงควรรีบไปพบแพทย์โดยเร็ว

    2. หลีกเลี่ยงสิ่งที่แพ้ เมื่อทราบสาเหตุว่าแพ้เครื่องสำอางชนิดใดหรือสารที่เป็นส่วนผสมในเครื่องสำอางนั้น ควรงดใช้หรือหลีกเลี่ยงให้มากที่สุด

    3. รักษาอาการแพ้ให้หาย หากเป็นผื่นแดง หรือเป็นตุ่มบวม หรือเป็นตุ่มน้ำใสมีน้ำเหลืองซึมออกมา ก็ควรทำความสะอาดแผลและใส่ยาฆ่าเชื้อ เพื่อป้องกันการอักเสบเป็นหนอง นอกจากนี้ก็ควรไปพบแพทย์เพื่อให้ตรวจดูว่าเป็นอาการที่เกิดขึ้น จากการแพ้เครื่องสำอางหรือไม่ หรือเกิดจากสาเหตุอื่น เพื่อรักษาและหยุดปฏิกิริยาการแพ้ให้หายโดยเร็วที่สุด...ลองนำวิธีที่แนะนำไปปฏิบัติตามกันได้...


    http://www.108health.com/108health/topic_detail.php?mtopic_id=424&sub_name=เครื่องสำอาง&sub_id=53&ref_main_id=1&mtop_name=วิธีรักษาอาการแพ้เครื่องสำอาง...

    ตอบลบ
  4. วิธีการเลือกซื้อเครื่องสำอาง


    นางสาว ธนาภรณ์ จิระชาญชัยศิริ 52SP2760040 ZA


    วิธีการเลือกซื้อเครื่องสำอางทุกประเภทจะมีหลักการเหมือนกัน ดังนี้
    1) ซื้อจากแหล่งที่เชื่อถือได้ มีหลักแหล่งที่แน่นอน เพื่อที่เมื่อเกิดปัญหาขึ้น จะสามารถติดตามตรวจสอบ จากแหล่งที่ซื้อมาได้ และอย่างน้อยที่สุดผู้ขายจะต้องเป็นผู้รับผิดชอบเป็นด่านแรก
    2) ซื้อเครื่องสำอางที่มีฉลากภาษาไทย คือเครื่องสำอางที่มีข้อความภาษาไทยที่ฉลาก ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อ ผู้บริโภค ทำให้ทราบว่าเป็นผลิตภัณฑ์อะไร ประเภทไหน ใช้เพื่ออะไร ใช้อย่างไร ใช้แล้วอาจมีอันตราย อย่างไรบ้าง (กรณีที่ฉลากแสดงคำเตือน) ขนาดบรรจุเท่าไร เพื่อประเมินว่าถูกหรือแพงเมื่อเทียบกับราคา สมควรซื้อหรือไม่ ใครเป็นผู้ผลิต และ/ หรือ ใครเป็นผู้นำเข้า เครื่องสำอางที่ไม่แจ้งแหล่งผลิต หรือแหล่งนำเข้าที่ฉลาก ไม่ควรซื้อมาใช้ เนื่องจากเจ้าของผลิตภัณฑ์ต้องการปกปิด ความจริง และต้องการปัดความรับผิดชอบ ไม่ให้ผู้ซื้อทราบว่าตนเองเป็น เจ้าของผลิตภัณฑ์ อาจเนื่องมาจากมีการลักลอบใช้สารที่ห้ามใช้ หรืออาจมีอันตราย จึงต้องปกปิดชื่อของเจ้าของ ผลิตภัณฑ์
    3) ฉลากเครื่องสำอางทุกประเภท ทุกชนิด กฎหมายบังคับว่าต้องแจ้ง วัน เดือน ปี ที่ผลิต ที่ฉลาก ผู้ซื้อจึงควร พิจารณาก่อนซื้อทุกครั้ง ว่าผลิตมานานเกินไปหรือไม่ และมีข้อควรสังเกตดังนี้
    - อย่าซื้อเครื่องสำอางที่ไม่แจ้งวัน เดือน ปี ที่ผลิต เนื่องจากอาจผลิตมานานจนเสื่อมคุณภาพแล้ว และเจ้าของ ผลิตภัณฑ์จงใจ ที่จะฝ่าฝืนกฎหมาย เพื่อเอาเปรียบผู้บริโภค
    - เครื่องสำอางประเภทที่ให้ความหอม ต่อผิวบางผลิตภัณฑ์ เมื่ออายุประมาณ 2 ปี กลิ่นมักจะเปลี่ยน หรือหาก เป็นประเภทครีม หรือ โลชั่น อาจเสื่อมสภาพ มีกลิ่นหืน และบางครั้งสรรพคุณของผลิตภัณฑ์ อาจเปลี่ยนไปเมื่อผลิตภัณฑ์ เก่าเกินไป
    4) การเก็บรักษา เครื่องสำอางเกือบทุกชนิด มักจะมีส่วนผสม ของน้ำหอม ควรเก็บไว้ในที่เย็น เก็บให้พ้นแสง ปิดฝาภาชนะบรรจุหลังการใช้ อุปกรณ์การใช้ เช่นแปรง พู่กัน ควรทำความสะอาดก่อนที่จะสัมผัสกับเนื้อเครื่องสำอาง

    ที่มา : http://www.geocities.com/isanconsumer/cosmetic/c0301.html

    ตอบลบ
  5. นางสาว สิริอร เหมเจริญวงศ์ รหัส 52SP2760002

    อายุเครื่องสำอางค์

    1."ครีมรองพื้นแบบเหลว" มี 2 ชนิด คือ ชนิดที่มีส่วนประกอบหลักเป็นน้ำ (water-based) และน้ำมัน (oil-based) ซึ่งรองพื้นแบบนี้จะมีอายุประมาณ 12 - 18 เดือน ตามลำดับ หลังจากเปิดใช้งาน

    2."อายแชโดว์" เก็บไว้ได้นานถึง 3 ปี และถ้ามันเริ่มมีรอยแตกเมื่อไหร่ ก็ควรจะซื้ออายแชโดว์ใหม่ได้แล้ว

    3."อายไลเนอร์" มีอายุ 3 ปีเช่นกัน แต่ถ้ามันแห้งหรือเขียนไม่ติดบนตาแล้วละก็ ทิ้งมันไปซะ

    4."มาสคารา" มีอายุการใช้งาน 4 เดือน ถ้าใช้นานกว่านั้น มันจะแห้งและจับตัวเป็นก้อน ที่สำคัญ ควรหลีกเลี่ยงการติดเชื้อโดยไม่ใช้มาสคาราร่วมกับผู้อื่น

    5."ลิปสติค" อยู่ได้นาน 1-2 ปี วิธีสังเกตที่ง่ายที่สุดคือ ลองดมกลิ่นดู และควรจะทิ้งหากกลิ่นของมันเปลี่ยนไปจากเดิม

    ที่มา : http://hilight.kapook.com/view/19770

    ตอบลบ
  6. ความคิดเห็นนี้ถูกผู้เขียนลบ

    ตอบลบ
  7. นายกันตณัฐ อินทร์ศรี รหัส 52SP2760032 ZA
    **ข้อแนะนำในการเลือกซื้อและใช้ผลิตภัณฑ์ เครื่องสำอาง**
    1. ซื้อ เครื่องสำอาง จากร้านที่มีหลักแหล่งแน่นอน เชื่อถือได้ เพราะหากมีปัญหาเกิดขึ้นจะได้ติดต่อหาผู้รับผิดชอบได้

    2. ซื้อ เครื่องสำอาง ที่มีฉลากภาษาไทย ซึ่งบ่งบอกสาระสำคัญเกี่ยวกับ เครื่องสำอาง อย่างครบถ้วน ชัดเจน ได้แก่ ชื่อและชนิดของเครื่องสำอาง ชื่อส่วนประกอบสำคัญ ชื่อและที่ตั้งของผู้ผลิต วันเดือนปีที่ผลิต วิธีใช้ และประมาณสุทธิ

    3. ปฏิบัติตามวิธีใช้ และใช้ด้วยความระมัดระวังตามคำเตือนที่ระบุไว้ที่ฉลากอย่างเคร่งครัด

    4. หากใช้ เครื่องสำอาง ชนิดใดเป็นครั้งแรก ควรทดสอบการแพ้ก่อนใช้ ด้วยการทาผลิตภัณฑ์นั้นในปริมาณเล็กน้อยบริเวณท้องแขน แล้วทิ้งไว้ 24-48 ชั่วโมง หากไม่มีความผิดปกติใดๆเกิดขึ้น แสดงว่าใช้ได้

    5. หากใช้ เครื่องสำอาง ใดแล้ว มีความผิดปกติเกิดขึ้น (ไม่ว่าจะเป็นการใช้ครั้งแรก หรือใช้มาระยะหนึ่งแล้วก็ตาม) ต้องหยุดใช้ทันที ถ้าหยุดใช้แล้วอาการยังไม่ดีขึ้น ควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกร เพื่อค้นหาสาเหตุ และทำการรักษาให้ถูกต้องเหมาะสมต่อไป

    6. ถ้ามีประวัติการแพ้สารใดมาก่อน เวลาเลือกซื้อผลืตภัณฑ์ควรพิจารณาข้อมูลในส่วนของส่วนประกอบสำคัญอย่างละเอียด เพื่อจะได้หลีกเลี่ยงสารที่ก่อให้เกิดการแพ้

    7. เมื่อใช้ เครื่องสำอาง เสร็จแล้ว ต้องปิดฝาให้สนิทเพื่อป้องกันการปนเปื้อนจากฝุ่นละออง สิ่งสกปรก หรือเชื้อโรคต่างๆ

    8. เก็บ เครื่องสำอาง ไว้ในที่แห้งและเย็น อย่าเก็บในที่ร้อนหรือแสงแดดส่องถึง เพราะจะเสื่อมคุณภาพเร็วกว่าปกติ

    ตอบลบ
  8. นางสาวชนากานต์ อึงสวัสดิ์ ID 52SP2760020 ZA

    เทคนิคการเลือกซื้อเครื่องสำอาง

    การเลือกซื้อเครื่องสำอางนั้น ต้องมีเทคนิคการซื้อเครื่องสำอางอย่างฉลาด และคุ้มค่า ดังนี้

    1.ซื้อให้ตรงตามจุดมุ่งหมาย

    2.ซื้อโดยไม่หลงเชื่อคำโฆษณา

    3.ซื้อตามความเหมาะสมของฐานะและเศรษฐกิจ

    4.ซื้อให้เหมาะสมกับผู้ใช้

    5.ซื้อจากแหล่งจำหน่ายที่น่าเชื่อถือ

    6.ซื้อเครื่องสำอางที่มีฉลากภาษาไทยครบถ้วน

    7.พิจารณาลักษณะ และภาชนะบรรจุของเครื่องสำอาง

    การนำเครื่องสำอางไปใช้

    เมื่อเลือกซื้อเครื่องสำอางไปแล้ว ก่อนที่จะนำมาใช้ให้เกิดประโยชน์ และปลอดภัยมีแนวทางที่ควรปฏิบัติ ดังนี้

    1.อ่านฉลากก่อนใช้

    2.ปฏิบัติตามวิธีใช้วิธีที่แสดงไว้ที่ฉลาก

    3.ระมัดระวังตามข้อควรระวังหรือคำเตือนที่แจ้งไว้

    ผลจากการใช้เครื่องสำอาง

    เมื่อได้ใช้เครื่องสำอางชนิดใดชนิดหนึ่งแล้ว ผู้ใช้ควรจะต้องพิจารณาผลที่ได้จากการใช้ว่าคุ้มค่า หรือสูญเปล่าเพียงใด ดังนี้

    1.หากใช้แล้วได้ผลตามที่ต้องการ

    ไม่เกิดอาการแพ้ หรือระคายเคืองก็สมควรที่จะซื้อใช้ต่อไป

    2.ใช้แล้วไม่ได้ผล

    ถึงแม้ว่าจะไม่ก่อให้เกิดอาการแพ้ หรือระคายเคืองก็ตาม สมควรเลิกใช้ และหากพิจารณาแล้วว่า น่าจะเป็นการโฆษณาสรรพคุณเป็นเท็จหรือเกินจริง ก็ควรบอกกันต่อๆ ไป เพื่อมิให้มีผู้ถูกหลอกลวงมากขึ้น หรืออาจแจ้งให้หน่วยงานของรัฐทราบ เพื่อติดตามตรวจสอบต่อไป

    3.ใช้แล้วเกิดอาการแพ้ หรือระคายเคือง

    ในกรณีที่ใช้แล้วเกิดอาการแพ้ หรือระคายเคือง ให้หยุดใช้ หากอาการแพ้ไม่รุนแรง เมื่อหยุดใช้จะหายเองได้ แต่หากอาการแพ้รุนแรง ควรพบแพทย์ เพื่อแก้ไข บรรเทา หรือรักษาอาการแพ้นั้น

    หากใช้เครื่องสำอางชนิดใดแล้วเกิดอาการแพ้ หรือระคายเคือง ให้เลิกใช้ทันที !!

    4.มีปัญหาสงสัยให้แจ้งเจ้าหน้าที่

    ในกรณีที่ใช้แล้วไม่ได้ผล หรือเกิดอาการไม่พึงประสงค์ หรืออาการแพ้ หรือมีปัญหาน่าสงสัยว่าอาจเป็นเครื่องสำอางผิดกฎหมาย หรืออาจมีอันตราย หรือไม่น่าปลอดภัย ควรอบถามหรือแจ้งเจ้าหน้าที่ของรัฐ เพื่อติดตาม ตรวจสอบ และดำเนินการตามกฎหมายต่อไป

    ที่มา http://www.handbtoday.com/index.php?lay=show&ac=article&Id=538663828&Ntype=8

    ตอบลบ
  9. นางสาวศศินะ แสงทอง 52SP2760009

    เลือกใช้มาสคาร่าให้เหมาะกับดวงตา...

    "ช่วยให้ตาคุณดูสวยขึ้น"

    วันนี้เกร็ดความรู้ของเรามีเคล็ดลับดี ๆ ในการเลือกซื้อ และวิธีใช้มาสคาร่าสำหรับคุณสาว ๆ ทั้งหลายมาฝากกัน ซึ่งมาสคาร่านั้น จะเป็นเครื่องมือที่ช่วยให้ดวงตาของคุณดูสวยขึ้น เพราะดวงตาเป็นจุดสนใจแรกของใบหน้า เมื่อใดที่คุณปัดมาสคาร่า คือ การเพิ่มความเข้มให้ดวงตา ขนตาจะดูหนาขึ้น และเย้ายวนมากขึ้น

    ส่วนสิ่งแรกที่จะต้องพิจารณาในการเลือกซื้อมาสคาร่านั้นก็คือ คุณต้องทราบก่อนว่า ´ขนตาของคุณมีลักษณะแบบไหน และอยากให้ขนตานั้นมีลุคแบบใด?...´

    เช่น ถ้าคุณขนตาสั้น แต่หนา แนะนำให้ใช้มาสคาร่าแบบที่ต่อขนตาให้ยาวขึ้น (Lengthening mascara) หรือถ้าขนตายาว แต่บาง แนะนำให้ใช้มาสคาร่าที่ทำให้ดูหนา เข้มขึ้น (Thickening mascara)

    "ความเข้มข้นของแว็กซ์และเม็ดสี"

    เนื่องจากมาสคาร่าในแต่ละสูตรจะมีระดับของแว็กซ์ (ขี้ผึ้ง) และความเข้มข้นของเม็ดสีที่ต่างกัน จึงต้องอ่านฉลากให้ละเอียดกันหน่อย เช่นเดียวกันกับการเลือกเฉดสี อย่างแค่สีดำ ก็มีตั้งหลายเฉด ทั้งดำน้ำตาล, ดำเทา, ดำเข้ม และแต่ละเฉดก็ให้ผลลัพธ์ของดวงตาที่สวยต่างกันด้วย

    เรื่องของแปรงปัดก็เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่สำคัญ บางคนคิดว่าถ้าขนตาหนา ต้องใช้แปรงใหญ่ แต่จริงๆ แล้ว คุณต้องการแปรงที่กว้างและหมุนเป็นเกลียวต่างหาก เพื่อให้เนื้อมาสคาร่าเกาะกับขนแปรงมากพอ และเมื่อปัดก็เคลือบขนตาได้ทั่วทุกเส้น หรือสำหรับมาสคาร่าที่ต่อขนตาให้ยาว แปรงปัดแบบขนแปรงถี่ๆ จะทำให้ปัดได้แม่นยำขึ้น และเคลือบบางๆ ไม่เป็นก้อน

    สำหรับคุณสาวๆ ที่ชอบใช้มาสคาร่ากันน้ำ ต้องบอกไว้ก่อนว่า มาสคาร่ากันน้ำทุกยี่ห้อจะมีสารทำละลาย (solvents) ซึ่งจะทำให้ขนตาดูไม่หนาเข้ม และบางทีอาจทำให้ขนตาแห้งกรอบด้วย ซึ่งถ้ารู้สึกว่าขนตาเริ่มแห้งกรอบ แนะนำให้ใช้ conditioner บำรุงขนตา หรือลง Primer ก่อนปัด จะทำให้มาสคาร่ากันน้ำติดทนขึ้น

    สุดท้ายเราอยากจะแนะนำการใช้มาสคาร่าอย่างถูกวิธี...

    1. วิธีหลีกเลี่ยงมาสคาร่าเกาะเป็นก้อน เลอะเวลาปัด คือ เช็ดหรือปาดเนื้อมาสคาร่าส่วนเกินออกจากแปรงปัด จากนั้นอยู่ที่วิธีการปัด คือ ต้องหมุนแปรงปัดให้ครบรอบ จะเลี่ยงการเกาะเป็นก้อนได้ดี

    2. อย่าใช้มาสคาร่าร่วมกับคนอื่น และควรเปลี่ยนแท่งใหม่ทุกๆ 3 เดือน เพราะแบคทีเรีย สามารถเจริญเติบโตในหลอดได้

    เคล็ดลับง่าย ๆ เพียงเท่านี้ คุณก็จะได้มาสคาร่าที่เหมาะกับดวงตาของคุณแล้วล่ะคะ...

    ที่มา :http://variety.teenee.com/foodforbrain/691.html

    ตอบลบ
  10. นาย วนศักดิ์ กสิณศักดิ์

    ID 52SP2760055

    การเลือกใช้ครีมกันแดด

    การเลือกใช้ครีมกันแดดนั้นสิ่งหนึ่งที่คุณต้องรู้จักคือ ค่าการป้องกันแดด ( sun Protecting Factor) หรือที่เรียกย่อว่ SPF ซึ่งเป็นความสามารถของการกันแดดแต่ละตัว


    ยากันแดดที่มีค่า SPF = 2 หมายความว่า เมื่อทายากันแดดตัวนี้และจะป้องกันผิวไหม้แดดเป็นเวลานาน 2 เท่าเมื่อเทียบกับตอนที่ไม่ได้ทายา เช่น ถ้าไม่ทายาแล้วออกแดดเป็นเวลา 10 นาที จึงเริ่มมีผื่นแดงซึ่งเป็นอาการของผิวไหม้แดด หากทายาแล้วต้องใช้เวลาถึง 20 นาทีจึงจะเริ่มไหม้ ยิ่งค่า SPF ยิ่งสูง ประสิทธิภาพการกันแดดจะสูงขึ้นคือมีฤทธิ์ป้องกันยาวนานขึ้น

    ยากันแดดนั้นมีหลายรูปแบบ ทั้งชนิดน้ำใส ชนิดน้ำนม ชนิดน้ำมันและชนิดครีม ถ้าคุณมีผิวมันก็ควรเลือกใช้ชนิดที่เป็นน้ำใส แต่ถ้าผิวหนังของคุณแห้งควรเลือกใช้ครีมหรือน้ำมัน

    ที่มา

    http://www.tungsong.com/OnlyDay/New17.html

    ตอบลบ
  11. นายยุทธศักดิ์ อริยะชัยประดิษฐ์ 52sp2760007

    เครื่องสำอาง บำรุงผิวรอบดวงตา



    ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวรอบดวงตา ( EYE CARE PRODUCTS )



    เนื่องจากผิวหนังรอบดวงตาเป็นบริเวณที่บอบบางและเคลื่อนไหวตลอดเวลา ประกอบกับการพักผ่อนที่ไม่เพียงพอ ย่อมเป็นต้นเหตุของ ความหมองคล้ำ รอบดวงตา และริ้วรอย ดังนั้น เครื่องสำอาง ชุด ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวรอบดวงตา ของ โซชา ซึ่งเป็นผลงาน การค้นคว้า วิจัยพัฒนา ของผู้เชี่ยวชาญโดยเฉพาะ จึงได้มาซึ่งนวัตกรรมใหม่ล่าสุด เป็นผลิตภัณฑ์ลดเลือน และชะลอการเกิดริ้วรอยรอบดวงตา ซึ่งสามารถซึมซาบรวดเร็ว เห็นผลได้เพียงการใช้ครั้งแรก การใช้อย่างต่อเนื่องจะทำให้เห็นความแตกต่างได้อย่างชัดเจนถึงการเปลี่ยนแปลง ด้วยเครื่องสำอาง ชุด ผลิตภัณฑ์บำรุงรอบดวงตา ที่ใช้ควบคู่กัน 2 ชนิด ของโซชา



    1. SOCHA LIFTING & ANTI – WRINKLE EYE SERUM

    เซรั่มลดเลือนริ้วรอยรอบดวงตา เนื้อเจลที่บางเบาจะซึมซาบผ่านชั้นผิวหนังรอบดวงตา เข้าไปฟื้นฟูและช่วยลดเลือนริ้วรอยที่เกิดจากความแห้งกร้าน ทั้งยังช่วยต่อต้านการเกิดริ้วรอยตามธรรมชาติ และยังให้ความชุ่มชื้น ทำให้ดวงตาแลดูมีชีวิตชีวาอีกด้วย ส่วนประกอบที่สำคัญ เช่น Cucumber , Collagen Elastin , Liposome , Vitamin C , Vitamin E .เหมาะสำหรับทุกสภาพผิว

    วิธีใช้ เครื่องสำอาง : ทา Lifting & Anti – Wrinkle Eye Serum บริเวณรอบดวงตาก่อน หลังจากนั้นทา Lifting & Anti – Wrinkle Eye Cream ทุกเช้า และก่อนนอน

    2. SOCHA LIFTING & ANTI – WRINKLE EYE CREAM


    ครีมบำรุงผิวรอบดวงตา ครีมเนื้อเนียนละเอียดบางเบาเข้มข้น อุดมด้วย สารบำรุงผิวรอบดวงตา สามารถซึมผ่านชั้นผิวหนังได้อย่างรวดเร็ว เพื่อป้องกันผิวบริเวณรอบดวงตา ไม่ให้เกิดริ้วรอยเหี่ยวย่น และเพิ่มความชุ่มชื้น ยืดหยุ่น และกระชับให้รอบดวงตา แลดูสดใส เปล่งปลั่ง ดูอ่อนกว่าวัย ด้วยส่วนประกอบ เช่น Sodium Hyaluronate , Elastin , Ginseng , Vitamin E , Hydrocotyl Extract เหมาะสำหรับทุกสภาพผิว

    วิธีใช้ เครื่องสำอาง : ทา Lifting & Anti – Wrinkle Eye Serum บริเวณรอบดวงตาก่อน หลังจากนั้นทา Lifting & Anti – Wrinkle Eye Cream ทุกเช้า และก่อนนอน



    ที่มาhttp://www.cosmeticathome.com/index.php?lay=show&ac=article&Id=350217

    ตอบลบ
  12. นางสาวสวามินี ดีเสมอ 52SP2760056 ZA

    เทคนิคการเขียนขอบตา

    เนื่องจากสาวไทยส่วนมากจะมีเนื้อเปลือกตามาก จึงแนะนำให้ใช้ดินสอเขียนขอบตาสีเข้มเขียนเส้นชิดขอบตาบริเวณหางตาเป็นรูปตัว V โดยลากปลายเส้นทั้งบนและล่างตาถึงแนวกึ่งกลางตาดำเพื่อเพิ่มความชัดเจนของรูปตา และแก้ไขรูปตาในขั้นต้น

    ในกรณีที่มีตาชี้ การเขียนขอบตาในรูปตัว V ให้เขียนเส้นของตัว V ที่หางตาล่างหนากว่าเส้นขอบตาบนเพื่อดึงรูปตาลง อำพรางหางตาที่ตกและเฉี่ยวขึ้นโดยไม่ทำให้ดูดุเกินไป

    ให้เน้นปลายเส้นขอบตาบนหนากว่าขอบตาล่างโดยเขียนเส้นขอบตาต่อจากหางตาออกไป สิ้นสุดที่รอยพับตา เชิดปลายเส้นขึ้นประมาณ 45 องศา

    ในการเขียนขอบตาบนให้เส้นมีขนาดเท่ากัน และเป็นเส้นตรงสวยงาม แนะนำให้เขียนจากหางตาไปสู่หัวตา โดยให้เส้นบริเวณหางตาหนากว่า และค่อย ๆ เลื่อนลงบริเวณกึ่งกลางตาจะช่วยให้ตาดูกลมโตสดใสขึ้น

    ในการเหลาดินสอเขียนขอบตา ไม่ควรเหลาให้แหลมมากนัก และถ้าหากรู้สึกว่าดินสอที่ใช้มีเนื้อแข็งเกินไป เขียนแล้วเจ็บ ให้จุ่มปลายดินสอลงในลิปกลอสหรือมอยซ์เจอไรเซอร์เล็กน้อยก่อนใช้ จะช่วยให้เขียนได้ง่ายขึ้น

    ขณะเขียนขอบตา เพื่อให้เห็นรอยเขียนให้ชัดเจนและสะดวกในการเขียน แนะนำให้ใช้นิ้วดึงเปลือกตาให้ตึงไปทางด้านขมับ ก็จะทำให้เขียนเส้นได้สวยขึ้นค่ะ

    ที่มา www.kapook.com

    ตอบลบ
  13. การเลือกใช้เครื่องสำอางป้องกันแสงแดด

    การเลือกใช้เครื่องสำอางป้องกันแสงแดด มีข้อควรพิจารณา ดังนี้

    ประการแรกที่ควรพิจารณา ก็คือ ให้สังเกตค่า SPF ( Sun Protection Factor )ซึ่งค่า SPF นี้ จะเป็นค่าที่บอกถึง ประสิทธิภาพในการป้องกันแสงแดด เช่น SPF 8 , 12 , 15 , 25 หรือ 30 เป็นต้น ค่า SPF ที่ต่ำ การป้องกันแสงแดดก็จะต่ำด้วย การเลือกใช้ขึ้นอยู่กับจุดมุ่งหมาย ผู้ที่ต้องอยู่ในแดดจ้าเป็นเวลานาน ๆ ควรเลือกชนิดที่มีค่า SPF สูง เช่น SPF 15 หรือมากกว่านั้น สำหรับผู้ที่ใช้เครื่องสำอางทาผิวหน้าที่มีส่วนผสมของสาร เอ เอช เอ ต้องใช้ เครื่องสำอางป้องกันแสงแดดควบคู่ไปด้วย เนื่องจาก เอ เอช เอ จะทำให้ผิวหน้าไวต่อแสงแดดมากขึ้น

    ประการที่สอง เลือกดูที่ฉลากว่ากันน้ำหรือไม่ เพราะกรณีต้องการป้องกันแสงแดดขณะว่ายน้ำควรเลือกชนิดที่ กันน้ำ ( Water resistance)
    ประการที่สาม เลือกดูที่ฉลากว่าทนเหงื่อหรือไม่ เพราะกรณีต้องการป้องกันแสงแดดเมื่อเล่นกีฬา โดยเฉพาะ หน้าร้อนเหงื่อจะออกมาก ควรเลือกชนิดที่ทนเหงื่อ( Sweat resistance)

    ประการสุดท้าย ควรเลือกใช้ชนิดที่ฉลากระบุว่าสามารถป้องกันรังสีคลื่นยาวหรือรังสียูวีเอ และคลื่นสั้นหรือรังสียูวีบี หรือป้องกันได้ทั้งสองอย่าง เพราะรังสียูวีเอจะทำให้ผิวเหี่ยวย่น รังสียูวีบีทำให้ผิวไหม้แดดและทำให้เกิดมะเร็งของผิวหนัง

    ที่มา http://www.oryor.com/oryor/admin/module/fda_info/file/f_179_1181109270.pdf

    ตอบลบ
  14. น.ส. กรกนก ยุพการนนท์ 52SP2760045 - ZA


    10 สิ่งที่ควรมีในกระเป๋าเครื่องสำอาง


    พัฟตบแป้ง

    แป้งอัดแข็งเป็นเครื่องสำอางที่สามารถช่วยชีวิตผู้หญิงเราไว้ได้เมื่อยามจำ เป็น คุณสามารถใช้มันทุกครั้งที่แป้งบนใบหน้าลบเลือน และยังใช้ได้ดีกับบริเวณที่ลงเครื่องสำอางหนักเกินไป เช่น แก้มแดง หรือ อายแชโดว์สีเข้มเกินไป พัฟจะช่วยทำให้สีอ่อนลงได้ นอกจากนี้ คุณยังสามารถใช้พัฟเติมแป้งให้หน้าดูเนียนขึ้นได้อีกด้วยแน่ะ


    ฟองน้ำสำหรับเกลี่ยรองพื้น

    เชื่อว่าสาว ๆ หลายคนชอบใช้พัฟในการเกลี่ยรองพื้น แต่รู้ไหมคะว่า คุณควรใช้ฟองน้ำที่มีฟองอากาศ ค่อย ๆ เกลี่ยรองพื้นบนใบหน้า จะทำให้หน้าดูเนียนเรียบกว่า แถมไม่เปลืองรองพื้นอีกด้วย เพราะฟองน้ำจะไม่ซับเนื้อรองพื้นเหมือนพัฟค่ะ


    พู่กันคอนซีลเลอร์

    เพราะคอนซีลเลอร์ไม่ใช่เครื่องสำอางที่คุณจะต้องถูมันลงบนใบหน้า เพียงแค่แต้มมันลงในบริเวณที่ต้องการปกปิดเล็กน้อย แล้วค่อย ๆ เกลี่ยเบา ๆ ด้วยพู่กันคอนซีลเลอร์ โดยพยายามอย่าลงน้ำหนักแรงนะคะ เพราะจะทำให้เนื้อคอนซีลเลอร์บนใบหน้าบางลง และไม่สามารถปกปิดรอยด่างดำนั้นได้


    พู่กันฟองน้ำ

    อันนี้จำเป็นมากมายค่ะ เพราะเอาไว้ใช้สำหรับเกลี่ยอายแชโดว์บนเปลือกตา อ๊ะ ๆ อย่าบอกว่าใช้นิ้วมือแทนก็ได้ เพราะเนื้ออายแชโดว์ที่เกลี่ยลงไปเนียนได้ไม่เท่ากับใช้พู่กันฟองน้ำหรอกค่ะ


    พู่กันอายไลเนอร์

    พู่กันขนาดเล็กนี้ใช้ในการลงสีอายไลเนอร์ทั้งขอบตาบนและขอบตาล่าง ขาดไม่ได้เหมือนกันนะคะอันนี้ เพราะไม่รู้ว่าจะใช้อะไรแทนเลยทีเดียวล่ะ


    ที่ดัดขนตา

    อีกหนึ่งสิ่งที่จำเป็นในกระเป๋าเครื่องสำอาง ที่ช่วยให้ขนตาคุณงอนขึ้นได้อย่างง่าย ๆ เป็นกุญแจที่ทำให้ดวงตาคุณโดดเด่นเลยนะนี่


    แปรงปัดขนคิ้วและขนตา

    ดวงตาคุณจะเนี๊ยบที่สุด หากคุณหวีมันให้เป็นระเบียบเรียบร้อย แปรงจะช่วยหวีขนตาคุณไม่ให้มาสคาราจับตัวกันเป็นก้อน ทำให้ดูเป็นธรรมชาติมากขึ้น


    พู่กันทาปาก

    หากคุณใช้แค่ลิปกลอสก็คงจะไม่จำเป็นนัก แต่หากคุณต้องใช้ลิปสติกเพิ่มสีสันให้เรียวปากคุณแล้ว พู่กันทาปากถือเป็นอุปกรณ์ที่ขาดไม่ได้ในกระเป๋าเครื่องสำอางเลยล่ะค่ะ


    สำลีแผ่น

    ในการเช็ดเครื่องสำอางออกจากใบหน้า ไม่มีอะไรจะเหมาะสมเท่ากับการใช้สำลีแผ่นเช็ดเครื่องสำอางออกเบา ๆ แล้วล่ะค่ะ สำลีแผ่นสามารถใช้ได้ดีในเรื่องของการชุบโทนเนอร์เช็ดทำความสะอาดใบหน้า


    คอตตอนบัด

    จำเป็นและจำเป็นมาก ๆ ค่ะ เพราะเป็นสิ่งที่ทำให้คุณลบรอยเปื้อนของเครื่องสำอางเล็ก ๆ น้อย ๆ ได้อย่างไม่ยากเย็น

    ตอบลบ
  15. ที่มา : http://www.dontreeza.com/2581/%E0%B8%9C%E0%B8%B9%E0%B9%89%E0%B8%AB%E0%B8%8D%E0%B8%B4%E0%B8%87/%E0%B8%9C%E0%B8%B9%E0%B9%89%E0%B8%AB%E0%B8%8D%E0%B8%B4%E0%B8%87/10-%E0%B8%AA%E0%B8%B4%E0%B9%88%E0%B8%87%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%B5%E0%B9%83%E0%B8%99%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%9B%E0%B9%8B%E0%B8%B2%E0%B9%80%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%AA%E0%B8%B3%E0%B8%AD%E0%B8%B2%E0%B8%87.html


    (ต่อจากด้านบน) ^^"

    ตอบลบ
  16. นางสาวจันจิรัตน์ เรืองคง 52SP2760012 นิเทศศาสตร์

    ลิปสติก เป็นเครื่องสำอางที่ใช้ทาริมฝีปาก เพื่อให้ความชุ่มชื่น ไม่ให้ผิวแตก ช่วยแต่งเติม และเพิ่มสีสันให้ริมฝีปากสวยงาม ที่สำคัญคือเป็นเครื่องสำอางที่มีโอกาสถูกกลืนกินเข้าไปในร่างกาย จึงต้องพิถีพิถันในเรื่องคุณภาพเป็นพิเศษ เพราะหากมีการปนเปื้อน หรือมีสารที่เป็นอันตราย จะก่อให้เกิดผลเสียต่อสุขภาพได้

    อันตรายจากการใช้ลิปสติก อาจเกิดจาก

    - ตัวผลิตภัณฑ์ ถ้าเสื่อมคุณภาพเพราะผลิตมานาน สารในกลุ่มขี้ผึ้ง และไขมันที่เสื่อมสภาพ มีโอกาสเหม็นหืนได้ อีกทั้งลิปสติกที่ไม่มีฉลากภาษาไทยอาจผสมสีห้ามใช้ จึงเป็นผลติภัณฑ์ผิดกฎหมาย ผู้บริโภคไม่มีโอกาสทราบข้อมูลเกี่ยวกับเครื่องสำอางชิ้นนั้น โดยเฉพาะชื่อและที่ตั้งของผู้ผลิต และวันเดือนปีที่ผลิต
    - ตัวผู้บริโภคเอง อาจมีการแพ้เฉพาะบุคคล เช่น แพ้สี น้ำหอม สารกันเสีย สารกันแดด ต้องสังเกตความผิดปกติที่เกิดขึ้นเอง แล้วหลีกเลี่ยงสารดังกล่าว

    อาการแพ้ลิปสติก ได้แก่ ริมฝีปากแห้งเป็นขุย ลอก คัน บวมแดง ริมฝีปากมีสีดำ บางรายเป็นตุ่มพอง อักเสบ เมื่อมีความผิดปกติใด ๆ เกิดขึ้น ต้องหยุดใช้ลิปสติกทันที หากจำเป็นอาจปรึกษาแพทย์ และเภสัชกรต่อไปค่ะ

    ข้อควรระวังในการใช้ลิปสติก คือ ควรทำความสะอาดริมฝีปากก่อนทาลิปสติก ไม่ควรใช้ลิปสติก หรือพู่กันร่วมกับผู้อื่น เพราะมีโอกาสติดเชื้อโรคได้ และหากลิปสติกที่ใช้อยู่มีลักษณะ สี กลิ่นเปลี่ยนแปลงไป ควรหยุดใช้ทันที เพราะแสดงว่าลิปสติกนั้นเสื่อมคุณภาพแล้ว

    ที่มา : สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา

    ตอบลบ
  17. นางสาวกรพินธ์ จิตรมั่น 52SP2760014 ตอนเรียน ZA
    แต่งหน้าด้วยเครื่องสําอางยังไงให้ติดทนนาน
    เคล็ดไม่ลับ มาบอกกัน เอาใจสาว ๆ อยากสวยแต่ขี้เกียจแต่งหน้าระหว่างวันทั้งหลาย ให้ได้สวยตลอดวันได้อย่างง่าย ๆ เพียงแค่ทำตามวิธีต่อไปนี้
    1. มอยซ์เจอไรเซอร์ คุณควรใช้มอยซ์เจอไรเซอร์ทาลงบนใบหน้าก่อนขั้นตอนอื่นทุกครั้ง เพราะมอยซ์เจอไรเซอร์จะช่วยปกป้องผิวหน้าคุณจากแสงแดด ชและมลภาวะต่าง ๆ ช่วยรักษาความชุ่มชื้นของผิว และที่สำคัญ มันยังทำให้คุณเกลี่ยรองพื้นได้ง่ายขึ้นเยอะ รวมถึงช่วยให้รองพื้นติดทนนานตลอดวันอีกด้วย ดังนั้น คุณควรลงมอยซ์เจอไรเซอร์ทิ้งประมาณ 3 นาทีก่อนลงรองพื้น โดยมอยซ์เจอไรเซอร์ที่ใช้ก็ควรเหมาะกับผิวด้วย อย่างสาวผิวมัน ควรใช้มอยซ์เจอไรเซอร์ที่ดูแลเรื่องความมันโดยเฉพาะ สาวผิวอ่อนบาง แพ้ง่าย ก็ควรใช้มอยซ์เจอไรเซอร์สูตรอ่อนโยนหรือสูตรดูแลอย่างพิเศษสำหรับผิวบอบบาง หรือถ้าหากคุณเป็นสาวผิวแห้งก็ควรใช้มอยซ์เจอไรเซอร์ที่มีความชุ่มชื้นมาก หน่อย

    2. ไพรเมอร์ (Primer) ไพรเมอร์ เป็นเครื่องสําอางที่มีคุุณสมบัติในการทำให้เครื่องสำอางติดทนนานโดยเฉพาะ และทำให้ใบหน้าสว่างใส เป็นขั้นตอนการเตรียมผิวเพื่อรับมือกับเครื่องสําอางในแต่ละวัน ซึ่งเครื่องสำอางชนิดนี้เหมาะอย่างยิ่งกับสาว ๆ หน้ามัน ที่ความมันมักจะลบเลือนเครื่องสำอางระหว่างวันอยู่เสมอ ซึ่งตอนนี้ก็มีให้เลือกหลายยี่ห้อที่เค้าเตอร์เครื่องสําอาง ให้คุณเลือกใช้ได้ตามสภาพผิว โดยการลงไพรเมอร์นั้น จะต้องลงหลังจากลงมอยซ์เจอไรเซอร์แล้ว และลงก่อนรองพื้น โดยเน้นทาบริเวณที่เครื่องสําอางลบเลือนได้ง่าย อย่าง คาง ริมฝีปาก เปลือกตา หรือบริเวณจมูกค่ะ

    3. อายแชโดว์ เพื่อทำให้อายแชโดว์ติดทนนานไปตลอดวันโดยไม่ต้องเติม โดยอายแชโดว์เบสที่ว่านี้เป็นเหมือนรองพื้นที่ควรเลือกสีเดียวกับดวงตาหรือ สว่างเล็กน้อย เนื้อเบสมีให้เลือกหลากหลาย เช่น เนื้อเจล เนื้อแป้ง หรือครีม ซึ่งเบสที่ดีนั้นควรมีคุณสมบัติในการช่วยให้เกลี่ยอายแชโดว์ได้ง่ายขึ้นด้วย จากนั้นลงอายแชโดว์ตามปกติค่ะ

    4. แป้ง อย่าลืมลงแป้งทุกครั้งหลังจากแต่งหน้าเสร็จแล้ว ซึ่งมันจะเป็นตัวช่วยทำให้เครื่องสำอางบนใบหน้าติดทนนานขึ้น แต่ปัญหาคือ สาว ๆ หลายคนมักจะลงแป้งเป็นอันดับสุดท้าย แล้วพบว่ามันทำให้สีสันบนใบหน้าคุณดูอ่อนลง ดังนั้น เวลาแต่งหน้า คุณควรแต่งให้มีสีสันเข้มกว่าที่คุณต้องการนิดหน่อย เวลาลงแป้งจะได้ปรับสีให้อ่อนลงตามต้องการได้ค่ะ

    5. ใช้รองพื้นบริเวณริมฝีปากเล็กน้อย วิธีใช้ได้ผลดีเลยล่ะค่ะคุณ ๆ เพราะรองพื้นจะช่วยให้ลิปสติกติดทนนานได้อย่างไม่น่าเชื่อ

    6. มาสคารากันน้ำ คุณควรใช้มาสคาราชนิด Water Proof เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาตาแพนด้าระหว่างวัน ซึ่งยากที่จะแก้ไขเลยทีเดียว เพราะคุณต้องลบเครื่องสําอางใต้ตาแล้วลงใหม่ ยุ่งยากมากเลยทีเดียว ดังนั้น มาสคารากันน้ำช่วยคุณได้ อ๊ะ ๆ แต่อย่าลืมใช้ remover ที่ล้างเครื่องสําอางชนิดนี้โดยเฉพาะนะคะ เพื่อป้องกันการระคายเคืองของดวงตาอันแสนบอบบางของคุณค่ะ

    7. กระดาษซับหน้ามัน กระดาษซับหน้ามันเป็นสิ่งหนึ่งที่ควรจะอยู่ในกระเป๋าคุณตลอดเวลา เพราะความมันเกิดขึ้นเมื่อไหร่ก็ได้ ซึ่งเวลาที่หน้าคุณมัน ให้คุณใช้กระดาษซับมันซับหน้าเบา ๆ วิธีนี้จะทำให้ความมันหายไป ขณะที่เครื่องสำอางยังคงอยู่ค่ะ
    http://www.freshshop.animexz.net/girls/92-2010-05-11-11-19-45

    ตอบลบ
  18. นางสาว สุพินญา ฉลวยธนาพร 52SP2760016 ZA

    10 เคล็ดลับ การเลือกเครื่องสำอางสำหรับผิวแพ้ง่าย
    เครื่องสำอางถือได้ว่าเป็นปัจจัยที่ห้าสำหรับผู้หญิงส่วนใหญ่ ซึ่งผิวหนังทุกคนมีความแตกต่างกันเป็นธรรมดา แต่สำหรับผู้ที่มีปัญหาผิวแพ้ง่าย (sensitive skin) แพทย์หญิง Zoe Diana Draelos ซึ่งเป็นอาจารย์แพทย์ผิวหนังที่ Woke Forrest University School of medicine ประเทศสหรัฐอเมริกา ได้แนะนำว่า ผู้หญิงทั้งหลายควรมีความรู้เกี่ยวกับส่วนประกอบของเครื่องสำอางที่ตนเอง กำลังเลือกซื้อ และได้แนะนำเคล็ดลับ 10 ประการไว้ดังนี้
    เลือกแบบแป้งดีกว่าแบบเหลว
    เนื่อง จากผลิตภัณฑ์ชนิดแป้งสามารถที่จะช่วยดูดซับความมันของผิวหนังได้ และยังมีส่วนประกอบจำพวกสารกันเสียและสารชนิดอื่นๆในปริมาณที่น้อย ทำให้โอกาสที่จะเกิดการแพ้หรือการระคายเคืองน้อยกว่าชนิดที่เป็นน้ำ

    หลีกเลี่ยงเครื่องสำอางกันน้ำ
    เพราะ เครื่องสำอางสำหรับเช็ดคราบชนิดที่กันน้ำนั้นต้องมีองค์ประกอบของสารละลาย อินทรีย์หลายชนิดผสมกัน โอกาสที่จะทำให้ผิวหนังเกิดอาการแพ้และระคายเคืองจึงมีมาก

    อย่าใช้เครื่องสำอางเก่าและหมดอายุ
    สังเกต วันเดือนปีที่ผลิตและหมดอายุ ถ้าสินค้าเก่าเก็บจนเลยวันหมดอายุ อย่าซื้อใช้โดยเด็ดขาด หรือหากซื้อมาใช้และใช้นานเป็นปีจนเลยวันหมดอายุ ก็ควรโยนทิ้ง ไม่ต้องเสียดาย เพราะอาจนำผลร้ายมาสู่สุขภาพผิวหนังได้

    การเลือกใช้ดินสอเขียนขอบตาและมาสคาร่า
    ควรเลือกเป็นสีดำจะปลอดภัยกว่าสีอื่นๆ และโอกาสแพ้จะมีน้อยกว่า
    ใช้ดินสอเขียนขอบตาและคิ้ว ดีกว่า Eyeliner ชนิดเหลว
    ผลิตภัณฑ์ชนิดแท่ง เช่น ดินสอ จะมีองค์ประกอบหลักจำพวกแวกซ์ และองค์ประกอบอื่นๆอีกเล็กน้อย ทำให้โอกาสแพ้ลดลง แถมยังล้างออกง่ายกว่า

    เลือกใช้สีทาเปลือกตาชนิดเอิร์ทโทนจะระคายเคืองน้อยกว่าสีโทนอื่นๆ
    สี ในกลุ่มเอิร์ทโทน เช่น สีแทน สีครีม สีขาว หรือสีเนื้ออ่อน จะทำให้โอกาสในการเกิดการแพ้หรือระคายเคืองน้อยกว่าสีชนิดอื่นๆ เพราะสีเข้มมากๆมักจะได้จากการผสมเคมีหลายๆชนิดเข้าด้วยกัน โอกาสแพ้จึงมีสูงกว่า

    ตรวจสอบสารกันแดดว่าปลอดภัยหรือไม่?
    โดย ทั่วไป FDA และแพทย์ผิวหนังมักจะแนะนำให้ใช้ครีมกันแดดที่มี SPF ประมาณเบอร์ 15 และต้องสามารถกรองได้ทั้งรังสียูวีเอและยูวีบี ผู้ที่มีผิวแพ้ง่ายไม่แนะนำให้ใช้ครีมกันแดดชนิดที่เป็นสารเคมี ควรเลือกใช้ครีมกันแดดชนิดที่สะท้อนรังสี หรือที่เรียกกันว่า Physical sunscreen ซึ่งมีผลแป้งไทเทเนียมไดออกไซด์ (TiO2) และ ZnO เป็นองค์ประกอบ

    เลือกเครื่องสำอางที่มีส่วนผสมน้อยกว่า 10 ชนิด
    เป็นหลักการง่ายๆว่า ถ้ามีส่วนประกอบน้อย โอกาสที่จะแพ้หรือระคายเคืองก็ย่อมจะน้อยเป็นธรรมดา

    อย่าให้ยาทาเล็บโดนผิวอ่อนบางหรือเยื่อบุ
    เวลา ที่เราทำเล็บและเล็บยังไม่แห้งดี เราอาจะเอาเล็บไปโดนใบหน้าหรือตา ซึ่งทำให้มีโอกาสแพ้สูง เพราะเป็นผิวหนังที่อ่อนไหวและบอบบาง จึงควรระวังเวลาใช้ทุกครั้ง

    เลือกครีมรองพื้นชนิดที่มีซิลิโคน
    ถ้า จำเป็นต้องใช้ครีมรองพื้นชนิดเหลว ก็แนะนำให้เลือกชนิดที่มีองค์ประกอบเป็นน้ำมันซิลิโคน เพราะสารซิลิโคนได้ผ่านการวิจัยมานานแล้วว่าไม่ทำให้เกิดอาการแพ้ต่อผิวหนังเลย

    ที่มาhttp://www.cosmetina.com/pages/10-%E0%B9%80%E0%B8%84%E0%B8%A5%E0%B9%87%E0%B8%94%E0%B8%A5%E0%B8%B1%E0%B8%9A-%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%A5%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%81%E0%B9%80%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%AA%E0%B8%B3%E0%B8%AD%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B8%AA%E0%B8%B3%E0%B8%AB%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B8%9C%E0%B8%B4%E0%B8%A7%E0%B9%81%E0%B8%9E%E0%B9%89%E0%B8%87%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%A2.html

    ตอบลบ
  19. นาย ภวินท์ พู่พันธ์พานิช 52SP2760001 (ZA)
    การเลือกใช้เครื่องสำอางป้องกันแสงแดด

    ผิว หนังเป็นอวัยวะที่ห่อหุ้มร่างกาย เมื่อได้รับแสงแดด เซลล์ผิวหนังจะสร้างเม็ดสี เมลานิน melanin pigment เพิ่มมากขึ้น ทำให้ผิวหนังมีสีคล้ำขึ้น tanning และบางคนอาจเกิดปัญหาเป็นฝ้า ถ้าได้รับแสงแดดจัดมากอาจเกิดอาการแดง erythrema หรืออาการถูกแดดเผา sunburn นอกจากนี้รังสีอุลตร้าไวโอเลต หรือรังสียูวีในแสงแดดอาจทำให้เกิดโรคมะเร็งผิวหนังได้ ดังนั้นในขณะที่แสงแดดจัดจึงควรหลีกเลี่ยงการอยู่กลางแจ้ง ควรใช้เครื่องสำอางที่ผสมสารป้องกันแสงแดด เพื่อช่วยป้องกันรังสี UV

    เครื่องสำอางที่มีสารป้องกันแสงแดด ที่กระทรวงสาธารณสุขประกาศกำหนดเป็นสาร ควบคุมรวม 29 ชนิด ซึ่งกำหนดปริมาณสูงสุดที่อนุญาตให้ใช้ด้วย ผู้ผลิตผู้นำเข้าต้องแจ้งรายละเอียดต่อสำนักงานคณะกรรมการอาหาร และยาก่อน ผลิตหรือนำเข้า และที่ฉลากจะมีข้อความ เครื่องสำอางควบคุม พร้อมชื่อและปริมาณสารป้องกันแสงแดดซึ่งเป็นสารควบคุมนั้น สำหรับเครื่องสำอางป้องกันแสงแดด ที่มีสารป้องกันแสงแดดที่ไม่ได้เป็นสารควบ คุมจะจัดเป็นเครื่องสำอางทั่วไป

    โดยทั่วไปเครื่องสำอางป้องกันแสงแดดจะมีสารป้องกันแสงแดดหลายชนิด เพื่อให้ผลิตภัณฑ์นั้นมีคุณสมบัติป้องกันรังสียูวีทั้งยูวีเอ และยูวีบี ซึ่งมีความยาวคลื่นอยู่ในช่วง 320-400 นาโนเมตร และ 290-320 นาโนเมตรตามลำดับ ทำให้ผลิตภัณฑ์นั้นมีค่าประสิทธิภาพในการป้องกันรังสียูวี Sun Protection Factor, SPF แตกต่างกันไป ค่า SPF ที่สูงแสดงว่ามีประสิทธิภาพในการป้องกันรังสียูวีได้มาก กฎหมายของประชาคมยุโรป กำหนดให้ระบุค่า SPF ที่ฉลากเป็น 6, 10, 15, 20, 25, 30, 50 และ 50+ ชนิดและปริมาณของสารป้องกันแสงแดดที่มีในผลิตภัณฑ์ทำให้ค่า SPF ต่างกัน จากผลวิเคราะห์ปริมาณสารกันแดดในปี พ.ศ. 2550 รวม 66 ตัวอย่าง พบว่าไม่เข้ามาตรฐาน 6 ตัวอย่าง ร้อยละ 9 ในจำนวนนี้มี 1 ตัวอย่างที่ตรวจไม่พบสารกันแดดตามที่ระบุที่ฉลาก สรุปได้ว่าสารกันแดดที่ตรวจพบมากที่สุดคือ octyl methoxycinnamate 52 จาก 66 ตัวอย่าง รองลงมาคือ butyl methoxydibenzoyl methane และ benzophenone-3 โดยตรวจพบปริมาณอยู่ในช่วงร้อยละ 1.0-9.9, 0.4-3.0 และ 1.0-6.1 โดยน้ำหนัก (%w/w) ตามลำดับ ซึ่งสารทั้ง 3 ชนิด เป็นสารควบคุมตามประกาศกระทรวงสาธารณสุข (ฉบับที่ 46) พ.ศ. 2550 และปริมาณที่ตรวจพบไม่เกินกฎหมายกำหนดคือ อนุญาตให้ใช้ได้ไม่เกินร้อยละ 10, 5 และ 10 โดยน้ำหนักตามลำดับ ทั้งนี้พบว่ามีการใช้สารกันแดดเพียงชนิดเดียว หรือใช้ร่วมกันกับสารกันแดด ชนิดอื่น โดยพบสูตรตำรับที่ใช้สารกันแดดสูงสุดถึง 7 ชนิด ในสูตรตำรับเดียวกัน

    ควรเลือกใช้เครื่องสำอางป้องกันแสงแดดที่มีค่า SPF ตั้งแต่ 15 ขึ้นไปซึ่งจะป้องกันแสงแดดได้มากกว่า 90% ทั้งนี้ปริมาณสารกันแดดมากจะมีค่า SPF สูง ซึ่งอาจก่อให้เกิดการแพ้ระคายเคืองได้มาก ผู้ที่ผิวแพ้ง่ายหรือมีความไวต่อสารเคมีจึงควรทดสอบการแพ้ก่อน

    นอกจากนี้เครื่องสำอางป้องกันแสงแดดควรเป็นชนิดทนน้ำหรือทนเหงื่อ และควรทาก่อน ออกแดดอย่างน้อย 30 นาที เพื่อให้ได้ตามวัตถุประสงค์คือ เพื่อการสะท้อนหรือดูดกลืนรังสียูวี ทั้งนี้ควร ทาซ้ำทุก 2 ชั่วโมง เพื่อให้แน่ใจว่าปกคลุมผิวหนังได้ทั่วถึง เลือกใช้รูปแบบของผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสมกับชนิดของผิว เป็นครีม โลชั่น หรือเจล นอกจากนี้ควรสังเกตวันหมดอายุ โดยทั่วไปกำหนดอายุ 2-3 ปี และไม่เก็บไว้ในที่ร้อน

    แหล่งที่มาhttp://www.popspas.com/2181/

    ตอบลบ
  20. นางสาว สุภาพรรณ อาภานันท์
    รหัส 52SP2760037 [ZA]

    การเลือกเครื่องสำอางที่ไม่ทำให้เกิดสิว

    ในขณะที่ใบหน้าของคุณกำลัง เป็นสิวอยู่นั้น ใคร ๆ ต่างพากันลงความเห็นว่า สิวที่เป็น มีสาเหตุมาจากเครื่องสำอางที่ใช้อยู่ การแต่งหน้าเป็นประจำก็เป็นอีกหนึ่งสาเหตุที่ทำให้เกิดสิวขึ้นได้ เครื่องสำอางก็เป็นตัวการสำคัญอีกเหมือนกันที่ทำให้เป็นสิว

    ดังนั้นเมื่อเครื่องสำอางเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดสิว ซึ่งในบางครั้งคุณหลีกเลี่ยงเครื่องสำอางไม่ได้ แต่เลี่ยงไปใช้เครื่องสำอางที่ไม่ก่อให้เกิดปัญหาสิวได้

    มอยส์เจอร์ไรเซอร์
    โดยทั่วไปแล้วมอยส์เจอร์ไรเซอร์จะมีส่วนผสมของไขมันอยู่สูง เช่น ลาโนลิน น้ำมันแร่ ปิโตเลียมเจล ไขมันเนย เพื่อเป็นการเติมความชุ่มชื้นให้กับผิว ควรทาบาง ๆ ในส่วนที่แห้งจริง ๆ เท่านั้นอย่าทาให้หนาและทั่วใบหน้าเพราะจะทำให้รูขุมขนอุดตันได้

    ครีมรองพื้น
    เลือกประเภทที่ใช้น้ำหรือมีส่วนผสมของน้ำเป็นส่วนประกอบสำคัญ ครีมรองพื้นที่มีส่วนประกอบของ Resorcinol จะเป็นตัวกระตุ้นทำให้สิวเหิมเกริมหนักขึ้นไปอีก ครีมรองพื้นที่มีส่วนประกอบของ Benzoyl peroxide หรือ Retin-A จะไม่ทำให้เกิดปัญหาสิวขึ้นบนใบหน้า และครีมรองพื้นที่มีส่วนผสมของสารกันแสงแดดก็จำเป็นมากที่ช่วยลดอัตราการ เกิด
    สิว

    แป้งแต่งหน้า
    แป้ง แต่งหน้าชนิดที่โปร่งแสง (Translucent powders) จะมีส่วนผสมของน้ำมันอยู่ด้วย เพื่อช่วยทำให้สีผิวสดใสยิ่งขึ้น แต่จะเป็นสาเหตุสำคัญของการเกิดสิว ควรเลือกแป้งแต่งหน้าที่มีส่วนประกอบของ Walnutshell หรือ Talc ซึ่งเป็นส่วนประกอบสำคัญในแป้งที่ใช้สำหรับเด็กทารก ดังนั้นจึงไม่ต้องกังวลเลยว่าจะทำให้รูขุมขนอุดตัน

    บรัชออน
    หลีกเลี่ยงชนิดครีมเพราะใช้วาสลินเป็นส่วนประกอบสำคัญ ควรเลือกใช้ชนิดที่เป็นฝุ่นอัดลงมาในรูปของตลับจะดีกว่า

    ที่มา : http://www.womaninfocus.com

    ตอบลบ
  21. นาย ณัฐพล โตมี
    รหัส 52SP2760035 [ZA]

    สาวๆเลือกเครื่องสำอางอย่างไรให้ปลอดภัย

    ภญ.วิมล อนันต์สกุลวัฒน์ เภสัชกรฝ่ายเภสัชกรรม โรงพยาบาลศิริราช ใจดีแนะกลเม็ดเคล็ดไม่ลับในการเลือกซื้อเครื่องสำอางว่า..
    ก่อนอื่นต้องดูเลยว่าเป็นเครื่องสำอางเถื่อนหรือไม่ หากดูแล้วว่าไม่มีการรับรองจากหน่วยงานที่เชื่อถือได้ อย่าซื้อเด็ดขาด เนื่องจากเครื่องสำอางเถื่อนเหล่านี้จะผสมสารต้องห้ามที่มีพิษต่อร่างกาย


    ถัด มาให้ดูวันหมดอายุ และเครื่องหมายรับรองจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องบนบรรจุภัณฑ์ของผลิตภัณฑ์ นั้นๆ จากนั้นก็มาดูส่วนผสม ซึ่งจะบอกได้ว่าในเครื่องสำอางที่เรากำลังจะควักเงินซื้อนั้น มีส่วนผสมที่เราแพ้หรือไม่ อีกส่วนที่ควรใส่ใจก็คือ ชื่อบริษัทผู้ผลิต ที่อยู่ หรือบริษัทผู้นำเข้า ในกรณีที่เกิดอันตรายจากเครื่องสำอางนั้น จะได้โทรไปสอบถามหรือร้องเรียนผู้ผลิตหรือผู้นำเข้าได้


    “สิ่ง ที่ขาดไม่ได้ที่ไม่ค่อยมีใครเห็นความสำคัญนักก็คือการอ่านฉลากวิธีใช้ ว่าควรใช้ในปริมาณเท่าใด กี่ครั้งต่อวัน ใช้ที่จุดไหนของร่างกาย เพื่อให้ใช้ได้ถูกต้อง ส่วนคนที่แพ้ง่ายแนะนำว่า ควรพยายามหลีกเลี่ยงการใช้เครื่องสำอางที่มีแอลกอฮอล์เป็นส่วนผสม ซึ่งเครื่องสำอางหลายยี่ห้อจากต่างประเทศ จะมีระบุชัดอยู่ในบรรจุภัณฑ์ว่า “Alcohol Free” แปลว่าในเครื่องสำอางชิ้นนั้นปราศจากแอลกอฮฮล์ แต่เครื่องสำอางที่ผลิตในประเทศไทยยังไม่ค่อยมีแจ้งแบบนี้”


    ได้ แนะวิธีการทดสอบการแพ้เครื่องสำอางด้วยตัวเองง่ายๆ ว่า มีเครื่องสำอางหลายประเภทที่แม้จะเป็นยี่ห้อดี ยี่ห้อดัง มีตรารับรองมาตรฐาน แต่ดันไม่ถูกกับผิวของเราเสียนี่ เหตุผลก็เพราะเป็นที่ผิวของเราที่มีปฏิกิริยาไวต่อสารเคมีเป็นพิเศษนั่นเอง แต่ใครจะแพ้อะไรนั้น เป็นเรื่องของใครของมัน ต้องทดสอบด้วยตนเอง และเมื่อทราบว่าแพ้แล้วก็ต้องจำเอาไว้ว่าตัวเองแพ้อะไร คราวหน้าก่อนซื้อจะได้อ่านฉลากดูส่วนผสมให้มั่นใจเสียก่อนว่าไม่มีสารที่เรา แพ้ก่อนจะควักกระเป๋าซื้อมา


    ส่วน ผู้ที่ผิวแพ้ง่ายหรือกลัวจะแพ้เครื่องสำอางที่อยากซื้อ เภสัชกรหญิงแห่ง รพ.ศิริราช ก็มีวิธีง่ายๆ ที่ทำได้ไม่ยากและเป็นวิธีที่ถูกต้องมาฝาก ก็คือให้ นำเครื่องสำอางที่ต้องการจะซื้อ มาป้าย ฉีด ยา หรือทา ลงบริเวณผิวเนื้ออ่อนๆ อย่างหลังใบหูหรือท้องแขน


    “เคล็ด ลับอยู่ที่ใช่ว่าเทสต์ปุ๊บจะขึ้นปั๊บ เพราะอาการแพ้อย่างน้อยที่สุดจะต้องใช้เวลา 20 – 30 นาที ผิวหนังบริเวณนั้นจึงจะมีปฏิกิริยา เช่น เกิดรอยแดง ผื่น หรือรู้สึกระคายเคืองดังนั้นหากจะเทสต์จริงๆ ไปขอเทสต์ก่อน จากนั้นไปเดินดูของอื่นๆ จนจะกลับ หากผิวไม่แพ้จึงค่อยกลับไปซื้อ ทิ้งระยะให้สารเคมีทำปฏิกิริยาสักนิดนะคะ” ภญ.วิมลทิ้งท้าย

    ที่มา :http://www.healthnet.in.th/

    ตอบลบ
  22. นางสาว สุรีพร ยะวงษ์ศรี 52SP2760057/ZA

    เทคนิคทา"โลชั่น" พร้อม"นวด"กระชับผิวกาย

    การทาครีมหรือโลชั่นบำรุงแบบสาวกความงามตัวจริงเสียงจริงนั้น นอกจากจะช่วยเติมความชุ่มชื่นแล้ว หากรู้วิธีนวดอย่างถูกวิธี จะช่วยยกกระชับผิวให้เรียบและกระชับเต่งตึงได้อีกด้วย แนะให้เริ่มต้นทาโลชั่นที่ปลายขา แล้วค่อย ๆ วนขึ้นไปยังต้นขา เน้นบริเวณหน้าแข้งทั้งสองข้าง เพราะบริเวณนี้ผิวจะแห้งได้ง่ายที่สุด และไม่ควรลืมทาครีมที่บริเวณเท้าทั้งสองข้าง ทาทั้งหลังเท้าและฝ่าเท้า พร้อมทำการนวดให้ทั่วอุ้งเท้า เพื่อเพิ่มการไหลเวียนโลหิต แนะให้นวดในลักษณะที่เป็นวงกลม นวดจากล่างขึ้นบนในทิศทางเข้าหาหัวใจ

    เริ่มจากข้อเท้าขึ้นมายังต้นขา นวดหมุนวนเป็นวงกลมเรื่อยขึ้นมาจนถึงสะโพก ไล่ขึ้นมายังหน้าท้อง นวดวนเป็นวงกลมจากขวาไปซ้ายตามทิศทางของลำไส้ใหญ่ ช่วยไล่ลมที่ค้างอยู่

    สุดท้ายนวดบริเวณแขน จากข้อมือไล่มายังหัวไหล่ ส่วนหน้าอกนั้นกางฝ่ามือออกแล้วกวาดขึ้นเบา ๆ จากด้านนอกเข้าสู่ด้านใน นวดขึ้นไปยังบริเวณคาง ส่วนบริเวณต้นแขนด้านท้องแขนนั้น ควรทาโลชั่นหรือครีมลักษณะวนขึ้นหลังแขน โดยการใช้ปลายนิ้วลูบไล้เพียงเบา ๆ เพื่อให้เนื้อครีมซึมซาบเข้าสู่ผิวได้สุด

    ที่มา http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=noolin&month=06-2010&date=23&group=3&gblog=500

    ตอบลบ
  23. น.ส. ทวีพร สัญจรดี รหัส52SP2760006 ตอนเรียน ZA

    หลักในการเลือกซื้อแชมพู

    แชมพูสระผมผู้ใหญ่ ขอแนะนำว่าไม่ควรเลือกชนิดที่มีฟองมากเกินไป เพราะสารทำความสะอาดเหล่านั้นมักจะมีคุณภาพทางเคมีที่ต่ำ ไม่เหมาะกับเส้นผมและผิวหนัง เหมาะที่จะเป็นส่วนผสมในน้ำยาล้างจาน หรือน้ำยาถูพื้นมากกว่า สังเกตได้ง่าย ๆ ว่าเมื่อสระผมด้วยแชมพูที่มีฟองมาก ๆ และสระเป็นประจำ เส้นผมจะแห้ง แตกปลาย และไร้น้ำหนัก การใช้แชมพูที่มีส่วนผสมของสารคอนดิชั่นนิ่ง จะช่วยรักษาคุณภาพเส้นผมได้พอสมควร ส่วนสารอาหารอื่น ๆ ที่ใส่เสริมในแชมพู เช่น วิตามินชนิดต่าง ๆ อโลวีร่า หรือสารสกัดสมุนไพรอื่น ๆ ที่โฆษณาว่าให้ประโยชน์ต่อเส้นผมนั้น ในความเป็นจริงไม่มีส่วนช่วยให้เส้นผมที่เสียไปแล้วดีขึ้นเลย ผู้ที่มีผมเสียเพราะได้รับการแต่งสีผม ดัดผม ควรจะตัดผมที่เสียทิ้งไปโดยไม่ต้องเสียดาย[ต้องการอ้างอิง]
    แชมพูสำหรับเด็ก จะมีองค์ประกอบที่แตกต่างจากแชมพูสำหรับผู้ใหญ่ตรงที่ว่า สารทำความสะอาดจะมีคุณภาพที่อ่อนละมุนต่อผิวหนังมากที่สุด ที่สำคัญสูตรแชมพูสำหรับเด็กจะไม่มีสารคอนดิชั่นนิ่ง เพราะเส้นผมเด็กบางไม่หนาและไม่ดกเหมือนผู้ใหญ่ จึงไม่ควรให้เด็กใช้แชมพูผู้ใหญ่และการที่ผู้ใหญ่ใช้แชมพูเด็ก ก็จะทำให้ไม่ได้รับประโยชน์ต่อเส้นผมเท่าที่ควร
    แชมพูสมุนไพร หากถามว่ามีความจำเป็นมากน้อยเพียงไร ให้ประโยชน์ได้มากมายต่อเส้นผม จริงหรือ คงตอบว่าไม่จริง เพราะหลักคือใช้แชมพูเพื่อทำความสะอาดเส้นผมและหนังศีรษะเท่านั้น หากต้องการใช้สมุนไพร ควรใช้สมุนไพรสดเช่นในสมัยโบราณจะให้ผลดีที่สุด เช่น น้ำเมือกจากผลมะตูม และประคำดีควาย ทั้งสองชนิดมีคุณสมบัติเป็นสารทำความสะอาดที่ดี ในสมัยโบราณมีการนำมาใช้ทั้งซักผ้าและสระผม แต่ถ้านำสารสกัดมาผสมในแชมพูสระผมที่มีสารทำความสะอาดชนิดสังเคราะห์แล้ว ประโยชน์จากสมุนไพรจะไม่เกิด อาจให้ผลตรงกันข้ามด้วยซ้ำไปเพราะการนำสมุนไพรมาใช้ ควรจะใช้เป็น หรือผ่านขบวนการสกัดที่เหมาะสม มิฉะนั้นคุณค่าจะสูญสลายไป นอกจากนี้แชมพูที่ดีที่ได้มาตรฐานควรจะมีการปรับพีเอชให้เป็นกลางเพื่อไม่ ให้ระคายเคืองหนังศีรษะ ควรมีการเติมสารต้านเชื้อจุลรินทรีย์ที่มีประสิทธิภาพ เพราะสารสกัดสมุนไพร หรือสมุนไพรสด เชื้อจุลินทรีย์มักจะเจริญเติบโตได้ง่าย หากใช้แชมพูสมุนไพรที่ไม่ได้ผ่านขบวนการผลิตที่ได้มาตรฐาน อาจมีปัญหาหนังศีรษะคัน ผมร่วงได้ ส่วนใหญ่มักเกิดจากการปนเปื้อนของเชื้อจุลินทรีย์จากสมุนไพร หากพบปัญหาที่ว่าไปนี้ ควรหยุดใช้แชมพูที่กำลังใช้อยู่ทันที
    แชมพูผสมสารขจัดรังแค สำหรับผู้ที่มีปัญหาหนังศีรษะคัน มีรังแค ควรเลือกใช้แชมพูประเภทนี้ เช่น ซิ้งไพริไทออน การจะใช้ให้ได้ผลควรมีการใช้อย่างต่อเนื่องอย่างน้อย 2-3 เดือนก่อนจะหยุดใช้ แต่หากยังไม่ได้ผล ควรพิจารณาเปลี่ยนไปใช้แชมพูผสมสารต้านเชื้อรา ซึ่งแชมพูกลุ่มนี้ถูกจัดเป็นตำรับยา จะมีจำหน่ายในร้านขายยาเท่านั้น

    ที่มา : http://th.wikipedia.org

    ตอบลบ
  24. น.ส.ทวีพร สัญจรดี รหัส 52SP2760006 ตอนเรียน ZA

    หลักในการเลือกซื้อแชมพู

    แชมพูสระผมผู้ใหญ่ ขอแนะนำว่าไม่ควรเลือกชนิดที่มีฟองมากเกินไป เพราะสารทำความสะอาดเหล่านั้นมักจะมีคุณภาพทางเคมีที่ต่ำ ไม่เหมาะกับเส้นผมและผิวหนัง เหมาะที่จะเป็นส่วนผสมในน้ำยาล้างจาน หรือน้ำยาถูพื้นมากกว่า สังเกตได้ง่าย ๆ ว่าเมื่อสระผมด้วยแชมพูที่มีฟองมาก ๆ และสระเป็นประจำ เส้นผมจะแห้ง แตกปลาย และไร้น้ำหนัก การใช้แชมพูที่มีส่วนผสมของสารคอนดิชั่นนิ่ง จะช่วยรักษาคุณภาพเส้นผมได้พอสมควร ส่วนสารอาหารอื่น ๆ ที่ใส่เสริมในแชมพู เช่น วิตามินชนิดต่าง ๆ อโลวีร่า หรือสารสกัดสมุนไพรอื่น ๆ ที่โฆษณาว่าให้ประโยชน์ต่อเส้นผมนั้น ในความเป็นจริงไม่มีส่วนช่วยให้เส้นผมที่เสียไปแล้วดีขึ้นเลย ผู้ที่มีผมเสียเพราะได้รับการแต่งสีผม ดัดผม ควรจะตัดผมที่เสียทิ้งไปโดยไม่ต้องเสียดาย[ต้องการอ้างอิง]
    แชมพูสำหรับเด็ก จะมีองค์ประกอบที่แตกต่างจากแชมพูสำหรับผู้ใหญ่ตรงที่ว่า สารทำความสะอาดจะมีคุณภาพที่อ่อนละมุนต่อผิวหนังมากที่สุด ที่สำคัญสูตรแชมพูสำหรับเด็กจะไม่มีสารคอนดิชั่นนิ่ง เพราะเส้นผมเด็กบางไม่หนาและไม่ดกเหมือนผู้ใหญ่ จึงไม่ควรให้เด็กใช้แชมพูผู้ใหญ่และการที่ผู้ใหญ่ใช้แชมพูเด็ก ก็จะทำให้ไม่ได้รับประโยชน์ต่อเส้นผมเท่าที่ควร
    แชมพูสมุนไพร หากถามว่ามีความจำเป็นมากน้อยเพียงไร ให้ประโยชน์ได้มากมายต่อเส้นผม จริงหรือ คงตอบว่าไม่จริง เพราะหลักคือใช้แชมพูเพื่อทำความสะอาดเส้นผมและหนังศีรษะเท่านั้น หากต้องการใช้สมุนไพร ควรใช้สมุนไพรสดเช่นในสมัยโบราณจะให้ผลดีที่สุด เช่น น้ำเมือกจากผลมะตูม และประคำดีควาย ทั้งสองชนิดมีคุณสมบัติเป็นสารทำความสะอาดที่ดี ในสมัยโบราณมีการนำมาใช้ทั้งซักผ้าและสระผม แต่ถ้านำสารสกัดมาผสมในแชมพูสระผมที่มีสารทำความสะอาดชนิดสังเคราะห์แล้ว ประโยชน์จากสมุนไพรจะไม่เกิด อาจให้ผลตรงกันข้ามด้วยซ้ำไปเพราะการนำสมุนไพรมาใช้ ควรจะใช้เป็น หรือผ่านขบวนการสกัดที่เหมาะสม มิฉะนั้นคุณค่าจะสูญสลายไป นอกจากนี้แชมพูที่ดีที่ได้มาตรฐานควรจะมีการปรับพีเอชให้เป็นกลางเพื่อไม่ ให้ระคายเคืองหนังศีรษะ ควรมีการเติมสารต้านเชื้อจุลรินทรีย์ที่มีประสิทธิภาพ เพราะสารสกัดสมุนไพร หรือสมุนไพรสด เชื้อจุลินทรีย์มักจะเจริญเติบโตได้ง่าย หากใช้แชมพูสมุนไพรที่ไม่ได้ผ่านขบวนการผลิตที่ได้มาตรฐาน อาจมีปัญหาหนังศีรษะคัน ผมร่วงได้ ส่วนใหญ่มักเกิดจากการปนเปื้อนของเชื้อจุลินทรีย์จากสมุนไพร หากพบปัญหาที่ว่าไปนี้ ควรหยุดใช้แชมพูที่กำลังใช้อยู่ทันที
    แชมพูผสมสารขจัดรังแค สำหรับผู้ที่มีปัญหาหนังศีรษะคัน มีรังแค ควรเลือกใช้แชมพูประเภทนี้ เช่น ซิ้งไพริไทออน การจะใช้ให้ได้ผลควรมีการใช้อย่างต่อเนื่องอย่างน้อย 2-3 เดือนก่อนจะหยุดใช้ แต่หากยังไม่ได้ผล ควรพิจารณาเปลี่ยนไปใช้แชมพูผสมสารต้านเชื้อรา ซึ่งแชมพูกลุ่มนี้ถูกจัดเป็นตำรับยา จะมีจำหน่ายในร้านขายยาเท่านั้น

    ที่มา : http://th.wikipedia.org/

    ตอบลบ
  25. นายธนพล โพธิ์ทอง 52SP2760004 ตอนเรียน ZA

    การใช้เครื่องสำอางอย่างถูกวิธี

    การใช้เครื่องสำอางอย่างปลอดภัย นอกจากจะเลือกซื้อเครื่องสำอางที่น่าเชื่อถือ(ซื้อจากร้านค้าที่มีหลัก
    แหล่งแน่นอน ฉลากภาษาไทยมีข้อความอันจำเป็นครบถ้วน ชัดเจน) แล้ว มีคำแนะนำเพิ่มเติม เพื่อให้ผู้บริโภคใช้
    เครื่องสำอางได้อย่างปลอดภัยยิ่งขึ้น ดังนี้
    > ต้องใช้เครื่องสำอางให้ถูกวิธี ผู้บริโภคต้องเอาใจใส่ตั้งแต่ ปริมาณเครื่องสำอางที่ใช้ในแต่ละครั้ง
    บริเวณที่ใช้ (ทารอบดวงตา/ทาหน้า/ทามือ/ทาผิวกาย) เวลาที่ใช้(ตอนเช้า/ก่อนนอน) ความถี่ในการใช้ รวมทั้ง
    ระยะเวลาที่ผลิตภัณฑ์สัมผัสกับผิวหนังด้วย ดังนั้น ควรอ่านฉลากเครื่องสำอางอย่างละเอียด โดยเฉพาะวิธีใช้และ
    คำเตือน และปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด
    > หากจะใช้เครื่องสำอางชนิดใดเป็นครั้งแรก เพื่อความปลอดภัย ควรทดสอบการแพ้ก่อนใช้ ด้วยการทา
    เครื่องสำอางนั้นในปริมาณเล็กน้อย ที่บริเวณท้องแขน แล้วทิ้งไว้ประมาณ 24-48 ชั่วโมง หากไม่มีความผิดปกติ
    ใดๆเกิดขึ้น ก็แสดงว่าน่าจะใช้ได้
    > อย่าหลงเชื่อโฆษณาผลิตภัณฑ์ที่ว่า อยากสวย ต้องอดทน ทนแสบ ร้อน แดง ผิวลอก แล้ว
    ผิวใหม่จะสวยใส ผลิตภัณฑ์เหล่านั้นล้วนอันตราย เครื่องสำอางเป็นผลิตภัณฑ์ที่ใช้แล้ว สวย สะอาด หอม
    สบาย ไม่ต้อง อดทนต่อความทุกข์ทรมานใดๆ
    > เมื่อใช้เครื่องสำอางแล้ว หากมีความผิดปกติใดๆเกิดขึ้นต้องหยุดใช้ทันที หากอาการไม่ดีขึ้น ควร
    ปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรต่อไป (โดยนำเครื่องสำอางที่สงสัยไปด้วย)

    ข้อแนะนำในการเลือกซื้อเครื่องสำอางทาผิว ( รวมเครื่องสำอางทุกชนิด )
    1. ซื้อจากร้านค้าที่มีหลักแหล่งแน่นอน เชื่อถือได้ เพราะหากมีปัญหาเกิดขึ้นสามารถติดต่อหา
    ผู้รับผิดชอบได้ และทางร้านมีการจัดเก็บเครื่องสำอางเป็นอย่างดี ไม่เก็บผลิตภัณฑ์ไว้ในที่
    ร้อนชื้น แสงแดดส่องถึง เพราะสินค้าจะเสื่อมคุณภาพเร็วกว่าปกติ
    2. ซื้อเครื่องสำอางทาผิวที่มีฉลากภาษาไทย ซึ่งบ่งบอกสาระสำคัญเกี่ยวกับเครื่องสำอางอย่าง
    ครบถ้วน ชัดเจน
    3. ถ้ามีประวัติการแพ้สารใดมาก่อน เวลาเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ควรพิจารณาข้อมูลส่วนประกอบ
    สำคัญของผลิตภัณฑ์อย่างละเอียด เพื่อจะได้หลีกเลี่ยงสารที่ก่อให้เกิดการแพ้
    ข้อแนะนำในการใช้เครื่องสำอางทาผิว (รวมเครื่องสำอางทุกชนิด)
    1. ผู้บริโภคสามารถทำการตรวจสอบเบื้องต้นได้ว่า เครื่องสำอางชนิดนั้นมีสารห้ามใช้ผสมอยู่หรือ
    ไม่ โดยใช้ชุดทดสอบเบื้องต้นของกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ เพื่อใช้ตรวจหาสารไฮโดรควิโนน
    หรือสารปรอทแอมโมเนีย ทั้งนี้เพื่อความมั่นใจและปลอดภัยของผู้บริโภค
    2. ควรมีการทดสอบการแพ้ก่อนใช้ ด้วยการทาผลิตภัณฑ์นั้นในปริมาณเล็กน้อยบริเวณท้องแขน
    แล้วทิ้งไว้ 24 - 28 ชั่วโมง หากไม่มีความผิดปกติใด ๆ เกิดขึ้น แสดงว่าใช้ได้
    3. หากใช้เครื่องสำอางใดแล้ว มีความผิดปกติเกิดขึ้น ( ไม่ว่าจะเป็นการใช้ครั้งแรกหรือใช้มาระยะหนึ่งแล้วก็ตาม ) ต้องหยุดใช้ทันที ถ้าหยุดใช้แล้วอาการยังไม่ดีขึ้น ควรไปปรึกษาแพทย์หรือ
    เภสัชกร


    ที่มา : http://www.fda.moph.go.th/prac/document/factsheet/cosmetic_save.pdf และ http://www.fda.moph.go.th/prac/document/factsheet/cosmetic_use.pdf

    ตอบลบ
  26. ภวัต เบ็ญจขันธ์ 52SP2760021 .. ZA

    >>>>>> ลิปสติก <<<<<<

    วิธีการ เลือกซื้อลิปสติกให้ปลอดภัย
    ลิปสติก เป็นผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางประเภทหนึ่งที่ใช้อย่างกว้างขวาง ส่วนใหญ่ผู้ใช้จะใช้ทาริมฝีปากเพื่อช่วยให้ปากชุ่มชื้น ไม่แห้ง ช่วยปกป้องผิวของริมฝีปากจากสิ่งกระทบภายนอก ช่วยแต่งเติมรูปปากให้สวยงามขึ้น แต่งสีให้เด่นสะดุดตา แลดูงดงาม ดึงดูดความสนใจจากผู้พบเห็น เป็นต้น แต่เนื่องจากลิปสติกเป็นเครื่องสำอางที่มักจะมีการกลืนกินเข้าไปในร่างกายได้ ดังนั้น จึงต้องเลือกซื้อและใช้ลิปสติกด้วยความระมัดระวังเป็นพิเศษ เพราะถ้าลิปสติกที่เลือกซื้อไม่ได้มาตรฐานก็จะเป็นอันตรายต่อร่างกาย

    ขอแนะนำให้ระมัดระวังในการเลือกและใช้ลิปสติก ดังนี้

    -สังเกตฉลาก ต้องมีข้อความภาษาไทยบอกรายละเอียดชื่อเครื่องสำอาง ประเภท หรือชนิด เช่น ลิปมัน ลิปกรอส ส่วนประกอบ ชื่อและที่ตั้งของผู้ผลิต และผู้นำเข้า

    - วิธีใช้ ปริมาณสุทธิ และที่ขาดไม่ได้ คือ วันเดือนปีที่ผลิต

    -ลิปสติกที่อ้างสรรพคุณป้องกันแสงแดด ต้องบอกส่วนประกอบของสารควบคุม ครั้งที่ผลิต และต้องแสดงคำเตือนด้วย

    -สังเกตจากภายนอก ลิปสติกต้องมีผิวเรียบเนียน ไม่เยิ้ม กลิ่นไม่เหม็นหืน

    -ไม่ควรซื้อแต่ละครั้งในจำนวนมาก เพราะถ้าเก็บไว้นานๆ อาจเก่าหรือเสื่อมคุณภาพ นอกจากนี้ ไม่ควรใช้ลิปสติกร่วมกับผู้อื่นเพราะอาจเกิดการติดเชื้อกันได้

    -ก่อนทาลิปสติกทุกครั้ง ควรทำความสะอาดริมฝีปากก่อน

    -หากใช้พู่กัน ควรทำสะอาดพู่กันหลังใช้ทุกครั้ง

    -หากพบสีของลิปสติกเปลี่ยนจากเดิม ไม่ควรใช้ต่อ เนื่องจากอาจเสื่อมคุณภาพ

    -ถ้าใช้ลิปสติกแล้วมีอาการแพ้ ควรหยุดใช้ หากหยุดใช้แล้วอาการยังไม่ดี ควรรีบพบแพทย์

    ตอบลบ
  27. ที่มาของการเลือกซื้อลิปสติกให้ปลอดภัย: http://board.narak.com/topic_light.php?No=15341

    ตอบลบ
  28. นายอำนาจ จารุถาวร
    รหัสนักศึกษา 52SP2760050 ตอนเรียน za


    ทารองพื้นให้ติดทนนาน กับเคล็ดลับง่ายๆ


    วันๆ หนึ่งผู้หญิงเราต้องใช้ชีวิตอยู่นอกบ้านในการออกไปทำงานหลายต่อหลายชั่วโมงด้วยกันค่ะ
    ดังนั้นคุณผู้หญิงบางคนจึงมักพบปัญหารองพื้นไม่ติดทนนาน วีซ่าจึงขอนำเคล็ดลับเล็กๆ น้อยๆ มาบอกต่อ เพื่อให้ผู้หญิงเราดูสวยมั่นใจทุกเวลาที่อยู่นอกบ้านด้วยการทารองพื้นให้ติดทนนาน กับเคล็ดลับง่ายๆ


    สำหรับวิธีการทารองพื้นให้ติดทนนานนั้นคุณผู้หญิงสามารถทำได้โดยใช้อุปกรณ์เสริมเล็กๆน้อยหลังจากทารองพื้นเสร็จค่ะ โดยหลังจากที่เราทารองพื้นแบบน้ำจนเรียบเนียนทั่วทั้งใบหน้าแล้ว
    ควรมีวิธีการเซ็ตรองพื้นที่เราทาไปบนใบหน้าให้อยู่ตัวโดยคุณผู้หญิงทำดังนี้คือ การใช้ฟองน้ำงอเข้าหากันเพื่อให้ได้พื้นผิวที่โค้ง

    จากนั้นเอาส่วนของฟองน้ำที่งอโค้ง ซับเบาบนใบหน้าแล้วใช้วิธีการกลิ้งฟองน้ำที่โค้งไปมาให้สัมผัสกับส่วนโค้้งเว้าบนในหน้าเราทุกซอกทุกมุมเพียงเท่านี้
    รองพื้นที่คุณผู้หญิงทาบนใบหน้านั้นก็จะติดทนนานแล้วละคะ

    ที่มา http://www.ladyvisa.com

    ตอบลบ
  29. นายสาธิต แก้วสวี รหัส 52SP2760046 ZA

    เลือกซื้อเครื่องสำอางค์และการใช้ อย่างชาญฉลาด

    ถ้าจะพูดถึงเรื่องการดูแลตัวเอง ตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า คุณสาวๆ หลายคนมักจะทุ่มสุดตัวเพื่อบำรุงรักษาให้สิ่งต่างๆ บนเรือนร่าง ให้อยู่ยงคงกระพันตลอดเวลา ซึ่งการดูแลดังกล่าวปัจจัยที่สำคัญก็คือเรื่องเงิน ซึ่งบางครั้งการซื้อเครื่องสำอางมา ใช้บางสิ่งบางอย่างก็ไม่มีความจำเป็นหรือ ซื้อมาก็ไม่ได้ใช้ ซึ่งเหตุการณ์เหล่านี้ทำให้สิ้นเปลืองเงินทองโดยเปล่าประโยชน์ ดังนั้นจึงมีวิธีการเลือกซื้อเครื่องสำอางที่จำเป็นในการแต่งหน้ามาฝาก รับรองเมื่อคุณนำไปปฏิบัติในกระเป๋าของคุณยังอยู่เต็มเหมือนเดิมแน่นอน...

    เครื่อง สำอางที่จำเป็นของการแต่งหน้ามีอยู่ด้วยกันไม่หลายชิ้น โดยเฉพาะคุณผู้หญิงที่ต้องแต่งหน้าตัวเองออกจากบ้านหรือไปทำงาน ซึ่งการแต่งหน้าของผู้หญิงกลุ่มนี้ส่วนใหญ่มักจะใช้เฉพาะแป้งและลิปสติกเท่า นั้นสาเหตุมาจากแต่งหน้าไม่เป็น หรือไม่รู้จะเลือกใช้สีสันของเครื่องสำอางอย่าง ไรให้เหมาะกับตัวเอง อีกทั้งเครื่องสำอางแต่ละชนิดมีอายุการใช้งานที่จำกัด เมื่อถึงเวลาที่หมดอายุก็ต้องทิ้ง จนบางครั้งเกิดอาการเสียดาย จะไม่เสียดายได้อย่างไรกัน ก็เครื่องสำอางแต่ละชิ้นราคาเป็นพันบาท อย่างลิปสติกแท่งหนึ่งราคาประมาณ 500 บาท อายุการใช้ได้แค่ 2 ปี เมื่อคุณมีลิปสติกหลายๆ แท่งเชื่อว่าคุณทาไม่หมดแน่ในเวลาดังกล่าว

    เพราะฉะนั้นการเลือกซื้อเครื่องสำอางเฉพาะที่มีความจำเป็นจึงเป็นวิธีหนึ่ง ที่คุณต้องศึกษา อย่างเช่น การเลือกซื้อแป้งทูเวย์ มาใช้แทนครีมรองพื้น ซึ่งการใช้แป้งทูเวย์นี้จะช่วยในเรื่องของการสะดวกในการใช้ ที่ไม่ต้องเสียเวลาอีกทั้งวิธีการทาก็ง่าย

    ส่วนสีอายแชโดว์ที่ใช้ ควรเลือกซื้อสีที่ออกเป็นสีกลาง คือออกโทนสีน้ำตาลเพราะสีดังกล่าวนี้สามารถแต่งตาได้ทุกเฉดสีของการแต่งหน้า และสีของเสื้อผ้า

    ส่วนสีบลัชออนที่ ใช้ ควรเลือกซื้อไว้สองสี คือสีชมพูและสีน้ำตาลอมส้ม ซึ่งสีทั้งสองสีนี้คุณสามารถใช้ได้ตลอดเวลาไม่ว่าคุณต้องการแต่งหน้าไปทำงาน หรือไปงานเลี้ยงตอนกลางคืน สีลิปสติกสีอ่อน และสีเข้ม อย่างละหนึ่งแท่ง จะเป็นโทนสีอะไรก็ได้ทั้งนี้ต้องดูสีผิวของ คุณเป็นหลักในการเลือก เช่น คุณเป็นคนผิวเข้มสีลิปสติกที่เหมาะกับตัวคุณมากที่สุดก็คือน้ำตาล ส่วนคนที่มีผิวขาวสามารถใช้ลิปสติกได้ทุกเฉดสี

    สำหรับมาสคาร่านั้นควรเลือกใช้มาสคาร่าสีดำ ดินสอเขียนคิ้วสีน้ำตาลซึ่งสีเหล่านี้สามารถใช้ได้กับทุกโอกาสและทุกสีผิว

    เมื่อ เลือกซื้อเครื่องสำอางได้แล้วคราวนี้มาดูการดูแลรักษาเครื่องสำอางกัน บ้าง ซึ่งเครื่องสำอางแต่ละชนิดมีวิธีการดูแลรักษาไม่เหมือนกัน ก่อนอื่นต้องรู้ก่อนนะครับว่าเครื่องสำอางแบ่งเป็น 2 กลุ่มใหญ่ๆ คือ เครื่องสำอางชนิดดูแลรักษาผิวพรรณ และเครื่องสำอางชนิดสีสัน ซึ่งเครื่องสำอางแต่ละชนิดก็มีวิธีดูแลรักษาและข้อมูลการใช้ที่แตกต่างกัน เพื่อให้อายุการใช้ของเครื่องสำอางนั้นนานมากขึ้น เพราะโดยปกติแล้วเครื่องสำอางโดยทั่วไปผู้ผลิตจะต้องมีขบวนการทดสอบหลายๆ ชนิดก่อนที่จะนำออกสู่ท้องตลาด เช่น ทอดสอบประสิทธิภาพ ทดสอบความคงตัวหรือทดสอบการแพ้และการระคายเคือง เป็นต้น

    ดังนั้นการดูแลรักษาเครื่องสำอางก็ไม่ยาก เพียงแต่ระมัดระวังตามข้อต่อไปนี้

    ไม่ ควรเก็บเครื่องสำอางในอุณหภูมิสูงมากๆ เช่น ในรถยนต์ที่ต้องจอดตากแดดทิ้งไว้ หรือ ห้องที่รับความร้อนของแสงแดดมากๆ เพราะอุณหภูมิดังกล่าวจะทำให้เครื่องสำอางเสื่อมคุณภาพ
    ไม่จำเป็น ต้องเก็บเครื่องสำอางไว้ในตู้เย็น ยกเว้นเครื่องสำอางที่มีส่วนผสมที่ไวต่อความเปลี่ยนแปลงของอากาศ แสง และความร้อน เช่นเครื่องสำอางที่มีส่วนผสมของ วิตามินเอ วิตามินซี หรือประเภท โปรตีนต่างๆ ควรเก็บไว้ในที่มีอุณหภูมิที่เย็นเป็นต้น ซึ่งส่วนมากเครื่องสำอางแต่ละชนิดาจะบ่งบอกวิธีการเก็บรักษาไว้ที่ฉลากหรือ บรรจุภัณฑ์อยู่แล้วดังนั้นควรศึกษาหรือทำความเข้าใจอย่างละเอียดก่อนเก็บ รักษา
    หลีกเลี่ยงการใช้เครื่องสำอางโดยใช้นิ้วมือควักเครื่องสำอาง ออกจากบรรจุภัณฑ์โดยตรง หรือใช้ลิปสติกชนิดแท่งทาที่บริเวณริมฝีปากโดยตรง เพราะการใช้ดังกล่าวจะทำให้เครื่องสำอางเสื่อมคุณภาพ และเสียได้ ดังนั้นควรใช้อุปกรณ์สะอาดช่วยตักเครื่องสำอาง หรือใช้พู่กันทาปาก และก่อนหรือหลังใช้ควรทำความสะอาดอุปกรณ์ต่างๆ ให้สะอาดอยู่เสมอ เท่านี้ก็สามารถทำให้การเก็บรักษาเครื่องสำอางของคุณถูกวิธี และยืดอายุการใช้งานของเครื่องสำอางของคุณได้นานมากขึ้น

    ที่มา:http://www.plazacool.com/shop-Ohlunla69-interest-371.html

    ตอบลบ
  30. ไม่ระบุชื่อ25 กรกฎาคม 2553 เวลา 01:44

    นาย อรรถวุฒิ งามสูงเนิน 52SP2760022 ZA

    เครื่องสำอางก่อมะเร็ง
    กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ พบสีห้ามให้ซึ่งเป็นสารก่อมะเร็งในลิปสติกและเครื่องสำอางทาเปลือกตา(อายชาโดว์) ทั่วประเทศ เตือนคุณผู้หญิงอยากสวยต้องระวัง พร้อมแนะวิธีการเลือกซื้อ เลือกใช้เครื่องสำอางที่ถูกต้องในเบื้องต้น

    จากผลการสำรวจทำให้ทราบว่า มีการใช้สี C1 No.15585 และสี C1 No.45170 ในตัวอย่างลิปสติกและอายชาโดว์ ที่เก็บ จากทุกภาค ส่วนสีห้ามใช้อื่น ๆ มีพบบ้างแต่ไม่ครบทุกพื้นที่ โดยสีห้ามใช้ที่พบเป็นสีที่ไม่อยู่ในบัญชีแนบท้ายประกาศกระทรวง สาธารณสุข ฉบับที่ 20 (พ.ศ.2528) ออกตามความในพระราชบัญญัติเครื่องสำอาง พ.ศ. 2535 เรื่อง “กำหนดสีที่อนุญาตให้ใช้เป็น ส่วนผสมในการผลิตเครื่องสำอาง” หรือเป็นสีที่อนุญาตให้ใช้กับเครื่องสำอางที่ใช้ภายนอกที่มิได้สัมผัสกับเยื่อบุ mucousmembrane ซึ่งรวมถึงบริเวณริมฝีปากและรอบดวงตา อีกทั้งเป็นสีที่องค์การอาหารและยาของสหรัฐอเมริกา (United States and Drug Administration : USFDA) คณะกรรมการของสหภาพยุโรป (Council of the European Communities; Directive 76/768/EEC 2002) และ ASEAN Cosmetic Document 2003 โดยระบุว่าห้ามใช้กับเครื่องสำอางทุกชนิด ซึ่งสีห้าม ใช้เหล่านี้ได้มีการทดสอบแล้วว่าก่อมะเร็งในสัตว์ทดลอง เช่นหนู กระต่าย และสุนัข ทั้งนี้ กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ได้รายงานผลการตรวจวิเคราะห์ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการกำกับดูแลความปลอดภัยของผู้บริโภคได้รับทราบและดำเนินการต่อไปแล้ว

    อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กล่าวต่อไปว่า สำหรับประชาชนควรมีความรู้ในการเลือกซื้อ เลือกใช้ผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางเพื่อหลีกเลี่ยงอันตรายที่อาจจะได้รับจากการใช้ผลิตภัณฑ์ที่ไม่มีคุณภาพ และมีความเสี่ยงต่อสุขภาพ โดยมีวิธีปฏิบัติดังนี้ 1. สังเกตฉลากเครื่องสำอางก่อนซื้อทุกครั้ง ซึ่งฉลากต้องมีสภาพเรียบร้อยและมีข้อความเป็นภาษาไทย อ่านได้ชัดเจน โดยระบุชื่อ ประเภทหรือชนิดของเครื่องสำอาง ชื่อผู้ผลิต แหล่งผลิต วิธีใช้ปริมาณสุทธิ วันเดือนปีที่ผลิต ชื่อวัตถุที่ใช้ เป็นส่วนผสมสำคัญและปริมาณ พร้อมคำเตือน (ถ้ามี) เพื่อป้องกันการซื้อเครื่องสำอางที่มีการลอกเลียนแบบ เพราะ จากผลสำรวจชี้ให้เห็นว่า เครื่องสำอางที่มีฉลากระบุเป็นภาษาไทยครบถ้วนนั้น พบการใช้สีห้ามใช้เป็นส่วนผสมใน การผลิตในอัตราที่น้อยกว่าเครื่องสำอางที่มีฉลากเป็นภาษาต่างประเทศ หรือมีชื่อและลักษณะใกล้เคียงกับลิปสติกและอายชาโดว์ยี่ห้อดังๆ 2. เลือกซื้อเครื่องสำอางที่มีขนาดปริมาณที่เหมาะสม เพื่อให้ใช้หมดภายในเวลาสมควร ไม่ควรเลือกเครื่องสำอางที่มีกลิ่นหืนหรือมีสีแปลกไปจากเดิม 3. ก่อนใช้เครื่องสำอาง ควรอ่านฉลากให้ละเอียดและปฏิบัติตามวิธีใช้ คำเตือน รวมทั้งทดสอบการแพ้ ก่อนใช้ หากมีอาการแพ้ให้รีบล้างออก และหยุดใช้เครื่องสำอางนั้นๆ แต่ถ้ามีอาการรุนแรงควรปรึกษาแพทย์ 4. สำหรับวิธีการเลือกซื้อลิปสติก ควรเลือกลิปสติกที่มีเนื้อเรียบ นุ่มนวล มีความชุ่มชื้น และความมันพอเหมาะ ไม่มีเหงื่อแตกร่วนหรือแข็งเป็นก่อน ไม่อันตรายต่อผิวหนัง ให้สีติดทนแต่สามารถล้างออกได้ง่ายเมื่อต้องการ และต้องไม่มีกลิ่นหืน

    ที่มา : http://forum.sodazaa.com/redirect.php?fid=60&tid=2937&goto=nextnewset

    ตอบลบ
  31. นาย วัชรกร อุดมกฤตยา 52SP2760043 ZA

    อันตรายจากการใช้เครื่องสำอาง

    อันตรายจากการใช้เครื่องสำอางมีหลายอย่าง ขึ้นกับความเข้มข้นชนิดความเป็นกรด-ด่าง ของเครื่องสำอาง รวมทั้งตำแหน่งของการใช้เครื่องสำอางด้วย เช่น รอบดวงตา ก็มีอาการแพ้ง่าย อาการข้างเคียง หรืออันตรายจากการใช้เครื่องสำอางมักมาในรูปแบบเหล่านี้
    ระคายเคือง จะปรากฏเป็นอาการแสบ คัน ปวดร้อน หรือคันยิบๆ เกิดขึ้นเป็นช่วงสั้นๆ ไม่เกิน 10 นาทีหลังจากใช้เครื่องสำอาง แต่ถ้าไม่สัมผัสซ้ำอีกก็สามารถหายได้ เช่น เครื่องสำอางที่ผสม AHA
    ภูมิแพ้ อาการคล้ายคลึงกับกลุ่มระคายเคือง แม้สารที่ใช้เข้มข้นแต่ถ้าสัมผัสร่างกายก็เกิดปฏิกิริยาได้ เช่น น้ำหอม สารกันบูด ลาโนลิน สารกันแดด และสารทำละลายในเครื่องสำอาง
    ลมพิษ ถ้าเป็นน้อยจะเป็นผื่นบวม ถ้าเป็นมากหนังตาและปากบวม หรือบวมทั้งหน้า บางรายถึงขนาดหายใจไม่ออก สารที่เป็นต้นเหตุอาจเป็นพวก แอลกอฮอล์ น้ำหอม สารกันบูด น้ำยาย้อมผม เมนทอล และสารทำละลายในเครื่องสำอาง
    ผิวหนังเปลี่ยนสี เครื่องสำอางบางชนิดใช้แล้วหน้ายิ่งดำ ฝ้าขึ้น บางชนิดเมื่อถูกแดดจะทำปฏิกิริยาเกิดรอยดำ สารธรรมชาติที่ทำให้เกิดอาการเหล่านี้ ได้แก่ มะกรูด มะนาว แตงกวา แม้แต่สมุนไพรทาหน้าต่างๆ หรือการใช้สารที่มีไฮโดรควิโนนความเข้มข้นสูง เช่น น้ำหอม ยาฆ่าเชื้อ สบู่ทั่วๆ ไปก็ทำให้เกิดอาการพวกนี้ได้
    ผื่นขาว เกิดจากยาสีฟัน ยาทาหน้าขาว สบู่แรงๆ สารระงับกลิ่นที่มีสารปรอท
    สิว เกิดจากสารลาโนลินที่มีอยู่ในมอยซ์เจอร์ไรเซอร์ โซเดียม ลอริลซัลเฟตที่มีอยู่ในสบู่ หรือสารสเตียรอยด์
    เล็บเปลี่ยนแปลง เล็บหลุดออก ผุกร่อน เปลี่ยนสี เกิดจากน้ำยาทาเล็บและล้างเล็บ
    ผมเปลี่ยนแปลง เช่น เส้นผมเกาะกันง่าย เกิดจากน้ำยาดัดผม น้ำยายืดผม
    ผลต่อระบบอื่นๆ ของร่างกาย อาทิเช่น เยื่อบุตาอักเสบ หรือสะสมเป็นเวลานานจนเกิดอันตราย เช่น เครื่องสำอางบางชนิดที่มีส่วนผสมของสารปรอท และสารตะกั่ว
    เครื่องสำอางชนิดที่ทำให้เกิดอาการแพ้ได้บ่อย และเสี่ยงต่อผลข้างเคียงคือ น้ำยายืดผม ครีมบำรุงผิว มาสค์ ครีมแก้สิว ครีมรองพื้น ลิปสติก น้ำยาทำความสะอาดจุดซ่อนเร้น โฟมอาบน้ำ ยากันแดด ยาระงับกลิ่นตัว ยาลดเหงื่อ เป็นต้น ดังนั้น เวลาจะเลือกซื้อเครื่องสำอางควรพิจารณา อ่านฉลากข้างกล่องให้ละเอียด หรือสอบถามพนักงานขาย เพื่อความปลอดภัยของผิวคุณ

    ที่มา : http://wave.prohosting.com/biotik/news1.html

    ตอบลบ
  32. นาย สิทธิชัย ทับเทศ 52SP2760029 ZA

    การเลือกผลิตภัณฑ์บำรุงผิว
    ผลิตภัณฑ์บำรุงผิว สมัยนี้มีให้เลือกใช้มากมายนะคะ หลายคนอาจจะสงสัยว่า แล้วฉันจะเลือกใช้อะไรดีการตัดสินใจ ก็ขึ้นอยู่กับวิจารณญาณ ความพอใจ และงบประมาณในกระเป๋าของเราล่ะค่ะ เพื่อให้พวกเราเลือกใช้ผลิตภัณฑ์บำรุง ได้เหมาะกับผิวของเราและไม่ก่อให้เกิดปัญหาตามมา มีหลักการง่ายๆ ในการเลือกซื้อ ผลิตภัณฑ์บำรุงผิว มาฝากค่ะ

    หลักการเลือกใช้ ผลิตภัณฑ์บำรุงผิว ควรพิจารณาดังนี้ค่ะ

    1. ลักษณะของเนื้อผลิตภัณฑ์
    ควรเลือกลักษณะของ เนื้อผลิตภัณฑ์ ให้เหมาะกับประเภทผิวของตัวเองค่ะ
    ผู้ที่มี ผิวมัน ควรเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ทีมีเนื้อบางเบา ไม่เข้มข้นเกินไป ช่วยควบคุมปริมาณน้ำมันธรรมชาติให้อยู่ในภาวะสมดุล เช่น โลชั่น หรือ ซีรัม
    ผู้ที่มี ผิวธรรมดา ควรเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ชนิดที่มีเนื้อไม่เข้มข้น หรือ บางเบาจนเกินไป ทั้งนี้ต้องพิจารณาถึงสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงไปด้วย หากคุณต้องเผชิญกับอากาศหนาวเย็นเป็นประจำ ควรเลือกใช้ชนิดที่เข้มข้นกว่าปกติ หรือ ถ้าอากาศร้อน คุณอาจต้องเลือกใช้ชนิดที่บางเบาขึ้นค่ะ
    ผู้ที่มี ผิวผสม โดยปกติแล้ว คุณสามารถใช้ผลิตภัณฑ์สำหรับผู้ที่มี ผิวธรรมดา ได้ คือไม่เข้มข้นหรือบางเบาเกินไป ช่วยปรับสมดุลของผิวทั่วบริเวณให้ใกล้เคียงกัน บางครั้งอาจต้องใช้ผลิตภัณฑ์ที่แตกต่างกันในแต่ละบริเวณที่มีความมันของผิวต่างกันค่ะ

    ผู้ที่มี ผิวแห้ง ควรเลือกผลิตภัณฑ์ที่เนื้อครีมเข้มข้น ช่วยเพิ่มความชุ่มชื่นให้กับผิว และ ช่วยปกป้องผิวจากการสูญเสียความชุ่มชื่นได้ โดยเฉพาะหลังการล้างหน้า

    2. ส่วนประกอบของผลิตภัณฑ์
    ส่วนประกอบของผลิตภัณฑ์ จะบ่งบอกถึงคุณสมบัติ และ ผลการใช้ผลิตภัณฑ์ค่ะ เช่น วิตามินซี ช่วยปรับผิวให้ขาว ลดเลือนจุดด่างดำ ,วิตามินอี ช่วยให้ผิวชุ่มชื้น เป็นต้น ปัจจุบันเครื่องสำอาง หรือ ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวยี่ห้อต่างๆ ก็พยายามคิดค้นสินค้าตัวใหม่ๆ มีส่วนประกอบใหม่ๆเพิ่มขึ้นมามากมายนะคะ แล้วจะรู้ได้อย่างไรว่า ส่วนประกอบใด มีประโยชน์อย่างไรต่อผิวล่ะ เอาเป็นว่าเราดูที่คุณสมบัติของผลิตภัณฑ์ตัวนั้นๆค่ะ
    แต่ในผู้ที่มี ผิวบอบบาง แพ้ง่าย นั้น ควรระมัดระวังในการเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ชนิดต่างๆ เป็นพิเศษค่ะ โดยดู ส่วนประกอบของผลิตภัณฑ์ ให้ละเอียดเสียก่อน ว่ามีส่วนประกอบใดที่เราเคยแพ้หรือไม่ โดยทั่วไปสำหรับผู้ที่มี ผิวบอบบาง แพ้ง่าย ควรเลือกใช้ผลิตภัณฑ์สูตรอ่อนโยนเป็นพิเศษ ที่ปราศจาก สี น้ำหอม แอลกอฮอล์ และสารที่ก่อให้เกิดการระคายเคือง ผ่านการทดสอบโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านผิวหนังแล้วว่า อ่อนโยน ปลอดภัย สำหรับ ผิวแพ้ง่าย ค่ะ

    ที่มา : http://www.doctorcosmetics.com/read_content.php?id=1896&pagetype=product

    ตอบลบ
  33. นาย ธฤต อมาตยกุล 52SP2760041 ZA

    เตือนอันตรายเครื่องสำอางไม่แจ้งหลักแหล่งผู้ผลิต ชัดเจนอาจเสี่ยงกับสารห้ามใช้อันตราย

    ระวัง ! ซื้อเครื่องสำอางไม่มีฉลาก ไม่แจ้งที่อยู่ผู้ผลิต มีความเสี่ยงสูงที่จะมีสารห้ามใช้อันตรายที่ผู้ประกอบการมักง่ายนำมาผสม โดยเฉพาะกลุ่มเครื่องสำอาง ที่โฆษณาอวดอ้างว่าทำให้หน้า ผิว รักแร้ หรือง่ามขา ขาวขึ้นอย่างรวดเร็ว แถมหาผู้รับผิดชอบไม่ได้ แนะให้ใช้เครื่องสำอางที่มีฉลากภาษาไทย มีรายละเอียดครบถ้วน แจ้งแหล่ง ผลิตชัดเจน

    ภก.มานิตย์ อรุณากูร รักษาการเลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา เปิดเผยกับผู้สื่อข่าวว่า สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ได้รับการร้องเรียนจากผู้บริโภคหลายรายเกี่ยวกับการใช้เครื่องสำอางที่สั่ง ซื้อทางไปรษณีย์ โดยเฉพาะเครื่องสำอางที่โฆษณาอวดอ้างว่าทำให้ผิวขาวขึ้น ซึ่งผู้บริโภคที่ซื้อไปใช้แล้วทำให้เกิดอาการแพ้ ผิวหนังแดง ตึง คันและแสบบริเวณผิวที่ทาครีม และเมื่อผู้ใช้เครื่องสำอาง ติดต่อกลับไปยังผู้ขายก็ไม่ได้รับการติดต่อกลับ อย.จึงขอแจ้งให้ผู้บริโภคทราบว่า ด้วยอิทธิพลของการโฆษณาผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางที่อ้างว่าช่วยให้ผิวขาวขึ้น มีผลจูงใจหญิงสาวหรือผู้ที่อยากมีผิวขาวเพิ่มจำนวนขึ้นมาก จึงพบว่ามีผู้ประกอบธุรกิจบางรายที่ไม่คำนึงถึงอันตรายที่จะเกิดกับ ผู้บริโภค นำสารห้ามใช้ เช่น ไฮโดรควิโนน ปรอทแอมโมเนีย กรดวิตามินเอ มาผสมในเครื่องสำอาง อย.จึงขอเตือนมายังผู้บริโภค อย่าหลงเชื่อผลิตภัณฑ์ที่อวดอ้างว่าทำให้ผิวขาว อย่างรวดเร็ว ไม่ว่าจะเป็นผิวบริเวณใบหน้า ผิวกาย รักแร้ หรือง่ามขา เพราะจากการตรวจสอบของ อย.มักพบว่ามีการผสมสารห้ามใช้ที่เป็นอันตรายดังกล่าว ซึ่งสารไฮโดรควิโนน จะทำให้ผู้ใช้เกิดอาการระคายเคือง เกิดจุดด่างขาวที่หน้า ผิวหน้าดำ เป็นฝ้าถาวร รักษาไม่หาย ส่วนสารปรอทแอมโมเนีย อาจทำให้เกิดการแพ้ ผื่นแดง ผิวหน้าดำ ผิวบางลง เกิดพิษ สะสมของสารปรอท ทำให้ทางเดินปัสสาวะอักเสบและไตอักเสบ สำหรับกรดวิตามินเอ อาจทำให้หน้าแดง แสบร้อนรุนแรง เกิดการอักเสบ ผิวหน้าลอกอย่างรุนแรง และอาจเป็น อันตรายต่อทารกในครรภ์

    ทั้งนี้ ส่วนใหญ่แล้วเครื่องสำอางที่ขายลักษณะนี้ มักจะไม่แจ้งที่อยู่ของผู้ผลิต ซึ่งถือว่าเจ้าของผลิตภัณฑ์ไม่จริงใจต่อผู้บริโภค เพราะหากใช้เครื่องสำอางนั้นแล้ว เกิดปัญหาใด ๆ ขึ้น ผู้ใช้ก็ไม่สามารถติดตาม หาผู้รับผิดชอบได้ ดังนั้น ในการเลือกซื้อเครื่องสำอาง ผู้บริโภคควรซื้อเครื่องสำอางที่มีฉลากภาษาไทย ระบุชื่อและที่ตั้งของผู้ผลิต หรือผู้นำเข้าอย่างชัดเจน มีวันเดือนปีที่ผลิต เพื่อช่วยประกอบการพิจารณาว่าผลิตภัณฑ์นั้นยังคงคุณภาพดีอยู่หรือไม่ อย่างไร จะได้ซื้อผลิตภัณฑ์ในปริมาณที่เหมาะสม รวมทั้งควรศึกษาวิธีการใช้ที่ถูกต้องตามที่ระบุไว้บนฉลาก จะช่วยให้ใช้แล้วได้ผลดี และบางผลิตภัณฑ์จะมีข้อความคำเตือนกำกับไว้ ผู้ใช้ควรอ่านให้เข้าใจ เพื่อป้องกันอันตรายที่อาจเกิดขึ้น ทำให้ใช้เครื่องสำอางได้อย่างปลอดภัยและคุ้มค่า

    ภก.มานิตย์ อรุณากูร กล่าวต่อไปว่า ในกรณีที่ผู้บริโภคไม่แน่ใจว่าจะแพ้เครื่องสำอางนั้นหรือไม่ ควรทดสอบการแพ้ก่อนใช้ด้วยการทาเครื่องสำอางนั้นในปริมาณ เล็กน้อยที่บริเวณท้องแขน ทิ้งไว้ประมาณ 24-48 ชั่วโมง หากไม่มีความผิดปกติใด ๆ เกิดขึ้นก็แสดงว่าน่าจะใช้ได้ อย่างไรก็ตาม หากผู้บริโภคพบเห็นผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางที่สงสัยว่าไม่ถูกต้องหรือใช้แล้ว เกิดอันตรายให้แจ้งมาที่สายด่วน อย. 1556 หรือที่สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดนั้น ๆ เพื่อจะได้มีการดำเนินการตามกฎหมายอย่างเข้มงวดต่อไป

    ที่มา : http://health.deedeejang.com/news/181.html

    ตอบลบ
  34. นางสาวรติรมย์ ถมยา 52SP2760047

    เคล็ดลับการใช้เครื่องสำอางให้ "คุ้มค่า"

    สมัยนี้เงินทองหายาก ก่อนที่คุณจะควักเงินซื้ออะไรก็คิดให้ดีก่อนว่าข้าวของที่คุณมีอยู่แล้วนั้น สามารถใช้ทดแทนกันได้มั้ย และนี่คือตัวอย่างเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่ช่วยให้คุณใช้ผลิตภัณฑ์ความงามได้อย่างคุ้มค่าขึ้น

    เยียวยาคิ้วด้วยอายครีม

    แต่งแต้มอายครีมลงบนคิ้ว เพื่อช่วยเยียวยาคิ้วไม่ให้ดูแห้งกร้าน แถมยังช่วยกำจัดสะเก็ดผิวเล็ก ๆ ที่ดูเหมือนรังแคออกไปได้ด้วย

    โกนขนด้วยคอนดิชันเนอร์

    ถ้าครีมโกนขนหมดก็ลองใช้ คอนดิชันเนอร์สำหรับเส้นผมแทน เพราะจะช่วยให้เส้นขนนุ่มขึ้น ซึ่งทำให้โกนขนได้ง่ายขึ้นด้วย แถมโกนเสร็จแล้วก็ยังทำให้เรียวขาเนียนนุ่มด้วย

    กำจัดรอยเปื้อนด้วยสเปรย์ฉีดผม

    ถ้าคุณทำครีมรองพื้นเปรอะเสื้อผ้าก็ใช้สเปรย์ฉีดผมฉีดลงบนรอยเปื้อนนั้น ทิ้งไว้สองสามนาที แล้วใช้ผ้าขนหนูสีขาวสะอาด ๆ เช็ดออก

    เยียวยาปากแห้งแตก

    ผสมลิปบาล์มกับมาส์กพอกหน้าชนิดให้ความชุ่มชื้น แล้วระบายลงบนริมฝีปากทิ้งไว้ข้ามคืน แล้วคุณจะตื่นขึ้นมาพบกับริมฝีปากที่เนียนนุ่ม


    ที่มา:http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=noolin&month=07-2010&date=11&group=3&gblog=522

    ตอบลบ
  35. น.ส.ลลิตา สุสิลา รหัส 52SP2760048

    เลือกครีมบำรุงผิวที่เหมาะสมกับสภาพผิว

    ผิวมัน :: ควรเลือกใช้ครีมบำรุงผิวที่ระบุว่าเป็นชนิดออยล์ฟรี (Oil Free)เพราะผลิตภัณฑ์ชนิดนี้จะให้ความมันค่อนข้างน้อยจึงไม่ทำให้ใบหน้ามันเยิ้มจนเกินไปในช่วงระหว่างวัน

    ผิวปกติ :: ควรเลือกใช้ครีมบำรุงผิวที่มีส่วนประกอบของสารที่ให้ ความมันและความชุ่มชื้นค่อนข้างมาก

    ผิวแห้ง :: ควรเลือกใช้ครีมบำรุงผิวที่มีส่วนประกอบของมอยส์เจอไรเซอร์ชนิดเข้มข้น ยิ่งผิวแห้งมากเท่าไหร่ ก็ต้องเลือกชนิดที่มีความเข้มข้น ของครีมมากขึ้นตามไปด้วย


    ผิวหมองคล้ำ มีริ้วรอยเหี่ยวย่น หรือต้องเจอกับแสงแดดอยู่เป็นประจำ :: ควรเลือกใช้ครีมบำรุงผิวที่มีส่วนผสมของอัลฟ่า ไฮดรอกซี่ แอซิด (Alpha Hydroxy Acid : AHA) เพราะคุณสมบัติของเอเอชเอจะเป็นตัวช่วยเร่งเซลล์ผิวหนังกำพร้าชั้นบนที่ตายแล้วให้หลุดลอกออกไปได้เร็วยิ่งขึ้น ผิวจึงดูผ่องใสและขาวเนียนยิ่งขึ้น

    ผิวเป็นสิวง่าย :: ควรเลือกผลิตภัณฑ์ที่ไม่อุดตันรูขุมขน และถ้าแพ้เครื่องสำอางบ่อย ๆ ควรเลือกครีมหรือโลชั่นที่มีสารกระตุ้นภูมิแพ้น้อย และปราศจากน้ำหอม


    ครีมบำรุงผิว หรือมอยส์เจอไรเซอร์นั้น มีหลายชนิดด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นโลชั่นซึ่งชนิดครีมค่อนข้างเหลว และเนื้อครีมขาวข้น ซึ่งแต่ละชนิดก็มีส่วนประกอบของสารที่แตกต่างกันไป ดังนั้นการเลือกใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวจึงจำเป็นต้องพิถีพิถัน แนะนำว่าอย่าคำนึงถึงยี่ห้อหรือราคาเป็นอย่างแรก แต่ควรดูที่ส่วนผสมในครีมเป็นสำคัญ ซึ่งทั้งหมดนี้ทางการแพทย์มีงานวิจัยยืนยันมาแล้วว่าใช้ได้ผลจริง

    1. วิตามินเอหรือเรตินอล
    ข้อดี : กระตุ้นให้เกิดการหลุดลอกของเซลล์ผิวชั้นบนและกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนในชั้นหนังแท้จากภายใน ผิวภายนอกจึงดูเรียบเนียนขึ้น และริ้วรอยลดลง

    ข้อเสีย : วิตามินเอทำให้แสบแดงและไวแดดได้ ไม่ควรทาตอนกลางวัน ควรบำรุงก่อนนอน, เรตินอลระคายเคืองน้อยกว่า ไม่ทำให้ผิวไวแดด ทาได้ทั้งกลางวันและก่อนนอน ควรเก็บไว้ในที่เย็น เพราะไม่มีความคงตัว, ไม่ควรใช้ขณะที่มีปัญหาผิวแห้งหรืออักเสบ

    2. กรดผลไม้ (AHA)
    ข้อดี : กระตุ้นให้เกิดการหลุดลอกของเซลล์ผิวชั้นบนเท่านั้น เนื่องจากครีมที่วางจำหน่ายเป็น AHA ที่มีความเข้มข้นต่ำ (น้อยกว่า 15 เปอร์เซ็นต์) AHA ซึ่งกระตุ้นคอลลาเจนในชั้นหนังแท้ ต้องมีความเข้มข้นสูง จึงใช้สำหรับทำ AHA ทรีทเม้นต์ที่ต้องดูแลโดยแพทย์เท่านั้น ใช้แล้วต้องล้างออกเพราะทำให้ผิวไหม้ได้

    ข้อเสีย : ไม่ควรใช้ขณะที่มีปัญหาผิวแห้งหรืออักเสบ ผิวมันควรใช้ในรูปเจลหรือโลชั่น ผิวแห้งให้ใช้ในรูปของครีม โดยเริ่มจากความเข้มข้นต่ำ ๆ ก่อนปรับไปใช้ในความเข้มข้นที่สูงขึ้น

    3. โคเอนไซม์ Q10
    ข้อดี : เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ป้องกันความเสื่อมของเซลล์ผิวและทำให้ผิวทนต่อรังสียูวีเอได้ดีขึ้น ยับยั้งการสร้างเอนไซม์ซึ่งทำลายคอลลาเจนในชั้นหนังแท้ ครีมที่มีส่วนผสมของ Q10 สามารถลดริ้วรอยได้ถึง 23 เปอร์เซ็นต์โดยประมาณ เมื่อเปรียบเทียบกับครีมซึ่งไม่มี Q10

    ข้อเสีย : ความปลอดภัยสูง สามารถใช้ได้ในขณะที่ผิวแห้งหรืออักเสบเล็กน้อย แต่ผลที่ได้ไม่ชัดเจนเท่ากับการใช้วิตามินเอหรือเรตินอล

    4. DMAE (Dimethylaminoethanol)
    ข้อดี : เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ซึ่งออกฤทธิ์ได้ดีบริเวณเยื่อบุเซลล์และเสริมการออกฤทธิ์ของสารต้านอนุมูลอิสระตัวอื่น ๆ มีการศึกษาพบว่า เมื่อใช้ ครีมที่มีส่วนผสมของ DMAE 4 สัปดาห์ โดยประมาณ 70 เปอร์เซ็นต์ของผู้ใช้ พบว่าผิวเรียบเนียนและกระชับขึ้น


    ที่มา ::http://www.dek-d.com/content/lifestyle/15450/%E0%B9%80%E0%B8%84%E0%B8%A5%E0%B9%87%E0%B8%94%E0%B8%A5%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B8%8A%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%9B%E0%B8%9B%E0%B8%B4%E0%B9%89%E0%B8%87--%E0%B9%80%E0%B8%A5%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%81%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B5%E0%B8%A1%E0%B9%83%E0%B8%AB%E0%B9%89%E0%B9%80%E0%B8%AB%E0%B8%A1%E0%B8%B2%E0%B8%B0%E0%B8%81%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B8%9C%E0%B8%B4%E0%B8%A7%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%B2.php

    ตอบลบ