7. จูบลาแฟนคุณทุกเช้า และทักเธอทันทีเมื่อถึงบ้าน ทำชีวิตสมรสคุณให้ดีขึ้นภายใน 1 สัปดาห์ Dr.Dave M. Davis, Director of the Piedmont Psychiatric Clinic in Atlanta in U.S. กล่าวว่า ผมเห็นคนไข้หลายคนที่มีความสัมพันธ์ในชีวิตสมรสดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัดในช่วงเวลา สั้นๆ หลังจากที่ได้ทำตามคำแนะนำง่ายๆ นี้
12. หลังจากออกกำลังกายอย่างหนัก ให้ทานวิตามิน C ลดความเสี่ยงในการเป็นหวัดลง 50%
13. ทานอาหารเช้าทุกวัน ลดน้ำหนักได้ทันที Franca Alphin จาก Duke University Diet and Fitness Centre in the US กล่าวว่า ทั่วไปแล้วผู้ชายที่เว้นทานอาหารเช้าจะทานอาหารมากกว่านั้นในช่วงต่อมา และมักจะเลือกอาหารที่อุดมไปด้วยไขมันและ kilojules
ถ้ำเกลือบำบัด ทางเลือกใหม่รักษาโรคทางเดินหายใจ
ตอบลบใครที่กำลังมีปัญหาโรคทางเดินหายใจสุขภาพดีมีแนวทางการรักษาแบบใหม่ที่เพิ่มนำเข้ามาเปิดในไทยมาแนะนำ นั่นคือการใช้เกลือบำบัด (Salt Therapy) ที่ผู้รับการบำบัดจะเข้าไปนั่งในถ้ำเกลือจำลองเพื่อสูดรับไอเกลือในระดับอนุภาค 1-5 ไมครอน ที่สามารถแทรกซึมเข้าสู่ทุกส่วนในระบบทางเดินหายใจ แม้หลอดลมส่วนที่มีขนาดเล็กที่สุด โดยอนุภาคเกลือเหล่านี้จะทำการแยกสกัดอณูแปลกปลอมต่างๆ ให้หลุดออก ซึ่งต่อมาจะถูกกําจัดทิ้งโดยการขับของเสียออกจากร่างกาย เช่น การไอ จาม และทางเสมหะ อณูเกลือจะทําลายต้นเหตุของการอักเสบต่างๆของโรคในระบบทางเดินหายใจทั้งการติดเชื้อในทางเดินหายใจตอนบนและตอนล่าง โรคหืดหอบ หลอดลมอักเสบตลอดจนอาการหวัดจากภูมิแพ้ ซึ่งมีการวิจัยออกมาว่าการบำบัดด้วยเกลือนั้นสอดคล้องกับหลักอายุรเวท ไม่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ
เด็กๆ ก็สามารถบำบัดโรคด้วยเกลือได้
เกลือที่ใช้ในการบําบัด คือ Fharma Salt ซึ่งมีความเป็นธรรมชาติ 100% ปลอดภัยปราศจากการใช้ยา ไร้สารสังเคราะห์ใดๆ และทางการแพทย์ก็พิสูจน์แล้วว่าเด็กๆ สามารถรักษาโรคทางเดินหายใจด้วยวิธีใช้เกลือบําบัดได้ดีกว่าการใช้ยา เนื่องจากปริมาณฮอร์โมนในยาสังเคราะห์ สามารถก่อให้เกิดผลข้างเคียงที่รุนแรงและอันตรายได้มาก
กว่า อีกทั้งสามารถบรรเทาอาการผิดปกติต่างๆของระบบทางเดินหายใจได้ในระยะยาว(ผู้รับการบําบัดที่อายุน้อยที่สุดคือ 6 เดือน)
ผลที่ได้รับ จากถ้ำเกลือบำบัด
» ช่วยขับเสมหะที่เหนียวข้นและน้ำมูกเมือกได้เป็นอย่างดี
» ลดอาการหายใจขัด ไอ จาม คัดจมูกและระคายเคืองในโพรงจมูก
» ทำลายเชื้อแบคทีเรียและเชื้อราในน้ำเมือก
» ลดอาการบวมพองของโพรงเยื่อเมือกและลดการอักเสบในระบบทางเดินหายใจ
» ช่วยให้การทำงานของระบบประสาทดีขึ้นและลดความเครียด เนื่องจากการปล่อยอนุภาคเกลือที่เป็นประจุลบความเข้มข้นสูง
ข้อห้าม สำหรับการบำบัดด้วยถ้ำเกลือ
• ผู้ป่วยโรคอวัยวะภายในล้มเหลว
• ผู้ป่วยโรคทางจิตและติดยาเสพติดทุกชนิด
• ผู้ป่วยโรคทางเดินหายใจล้มเหลวและวัณโรค
• ผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูง
• ผู้ที่มีอาการเมาสุรา
• สตรีมีครรภ์
ที่มาhttp://www.thaigoodhealth.com/showcontent.php?id=19
นางสาวชนากานต์ อึงสวัสดิ์ รหัส 52SP2760020 ZA
ตอบลบเคล็ดลับการรักษาสุขภาพเบื้องต้น
ความลับของการมีสุขภาพดีและยืนยาวได้ ไม่ได้อยู่ที่การได้กินยาอายุวัฒนะจากท้องทะเลลึก หรือการใช้สารสกัดจากดอกไม้ล้านปีแห่งยอดเขาหิมาลัย หรือการดื่มโสมพันปีจากเทือกเขาลี้ลับ แต่ได้จากการดำรงชีวิตและการกินอยู่อย่างง่าย ๆ เพียงไม่กี่อย่างในชีวิตประจำวันเท่านั้นก็สามารถที่จะทำให้ความสุขอยู่กับสุขภาพดี มีพลานามัยที่สมบูรณ์แข็งแรง ไม่เจ็บป่วยง่าย หรือเป็นโรคฮิตที่นำความพิการและความจำกัดมาสู่ชีวิต
เป็นเรื่องน่าสนใจที่การศึกษาเกี่ยวกับสุขภาพดีจำนวนมากมักจะแสดงผลที่บ่งชี้ ให้เห็นถึงการปฏิบัติง่าย ๆ ในชีวิตประจำวัน ตัวอย่างหนึ่งของการศึกษาที่โด่งดังมีผลการศึกษาเป็นที่ยอมรับกันโดยทั่วไปในกลุ่มนักวิชาการสาธารณสุข คือ การศึกษาของ น.พ.เบลล็อค และ เบรสโล จากแคลิฟอร์เนีย ได้ศึกษาถึงปัจจัยที่ทำนายความยืนยาวของอายุและปัจจัยส่งเสริมให้มีสุขภาพดี 7 ประการ โดยพบว่า หากเราได้ปฏิบัติสิ่งเหล่านี้จริงจัง จะส่งผลดีต่อสุขภาพและมีชีวิตที่ยืนยาวขึ้น
ปัจจัยดังกล่าวประกอบด้วย
1) นอนหลับวันละ 7-8 ชั่วโมง
2) รับประทานอาหารเช้าเป็นประจำ
3) ไม่รับประทานอาหารจุกจิกระหว่างมื้อ
4) รักษาน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ
5) ออกกำลังกายสม่ำเสมอ
6) ดื่มน้ำอย่างเพียงพอ งดดื่มแอลกอฮอล์
7) ไม่สูบบุหรี่
จะเห็นว่าพฤติกรรมสุขภาพเหล่านี้ ทุกคนสามารถทำได้ตลอดเวลาทุกสถานที่และทุกฐานะ สิ่งที่คุกคามสุขภาพที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของคนเรา ปัจจุบันนี้จึงไม่ได้อยู่ที่การขาดวิตามิน หรือ สิ่งแวดล้อมเป็นพิษ แต่เกิดจากการประเมินค่าความสำคัญของการปฏิบัติที่สุขภาพดีต่ำเกินไป จึงมีคนนำข้อควรปฏิบัติไปใช้ในชีวิตประจำวันน้อยจนถึงไม่สนใจเลย ในบางตัวอย่างหรือปัจจัยที่ได้จากการศึกษาที่กล่าวถึงประการหนึ่งในชีวิตประจำวัน หากเราสามารถทำได้จนเป็นนิสัยแล้ว จะก่อให้เกิดผลดีต่อสุขภาพ จะทำให้เห็นความแตกต่างของพละกำลังกับความอ่อนเพลีย
แหล่งอ้างอิง :http://board.dserver.org/g/gotfanclub/00000300.html
นางสาว สุพินญา ฉลวยธนาพร ID 52SP2760016
ตอบลบ“โรคประหลาด” แต่หายได้โดยไม่ต้องพึ่งยา
ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ!!! โรคประหลาด บวมทั้งตัวตั้งแต่แขน ขา ถึงอวัยวะเพศ มีโรคแบบนี้ด้วยหรือ?? คำถามนี้คงเกิดขึ้นในใจใครหลายคน หลังจากที่รายการโทรทัศน์ชื่อดังแพร่ภาพออกอากาศเรื่องราวนี้ไป ทำเอาหลายคนเกิดความวิตก หวาดกลัวว่าตนเองจะเป็นโรคอะไรแปลกๆ แบบอีกหรือไม่ เพราะมันสามารถเกิดขึ้นได้กับทุกคนหากคุณไม่ระวัง!!!
โรคประหลาดที่ว่านี้ มีชื่อทางการแพทย์ว่า “โรคบวมน้ำเหลือง” หรือที่ชาวบ้านเรียกกันว่า “โรคเท้าโต” เกิดจากน้ำเหลืองที่มีอยู่ตามแขน ขา ไหลไม่สะดวก เกิดภาวะคั่งอยู่ภายใน เนื้อเยื่อพองออก โดยจะปรากฏร่วมกับการขยายตัวและการแพร่พันธุ์ของหลอดน้ำเหลือง จนตัวมีลักษณะบวมมากขึ้น มักจะเกิดขึ้นบ่อยที่แขน ขา ใบหน้า หน้าท้อง เต้านม สะโพก ไปจนถึง ถุงอัณฑะ แคมอวัยวะเพศ ซึ่งโรคนี้มักถูกมองว่าเป็นการอุดตันของต่อมน้ำเหลือง จึงทำให้เชื่อกันว่าไม่มีทางรักษาให้หายได้...
แต่ปัจจุบันมีผู้คิดค้นวิธีรักษาโดยไม่ต้องพึ่งยาได้แล้ว!!! และถือเป็นบุคคลแรกของโลกที่สามารถรักษาโรคประหลาดนี้ได้ นั่นคือ นพ.ดร. วิชัย เอกทักษิณ หัวหน้าโครงการวิจัยถ่ายทอดเทคโนโลยีการรักษาภาวะบวมน้ำเหลือง ภาควิชาอายุรศาสตร์เขตร้อน มหาวิทยาลัยมหิดล
ซึ่งตัวการร้าย...ที่ทำให้อาการของ “โรคบวมน้ำเหลือง” ดูทวีความรุนแรงมากขึ้นเห็นจะเป็น “ของแสลง” เมื่อรับประทานเข้าไปแล้วทำให้เกิดการอักเสบของเซลล์บุหลอด endotheliitis ขึ้นเกิดเป็นหลอดน้ำเหลืองอักเสบ หลอดเลือดดำอักเสบ ซึ่งจะเกิดเฉพาะบางจุดเท่านั้น เช่นบริเวณขา ถ้าอาการเรื้อรังจะเห็นเป็นหลอดเลือดฝอยๆ ขดๆ ขอดๆ อยู่ตามบริเวณผิวหนัง มีเลือดคั่งเป็นกระจุกม่วงๆ ดำๆ มองคล้ายตัวแมงมุม ซึ่ง “ของแสลง” ที่ว่านี้จะต่างจากของที่กินแล้วแพ้ ที่มีปฏิกิริยาภูมิแพ้แม้ในภาวะปกติ เช่น บวมพอง ผื่น อย่างนั้นจะเกิดได้ทั่วอวัยวะ ขวาซ้ายเหมือนๆ กัน แต่ “ของแสลง” จะทำให้อาการบวมน้ำเหลืองเพิ่มมากขึ้น บางที่อาจมาในแบบที่เรียกกันว่า น้ำเหลืองไม่ดี น้ำเหลืองเสีย หรือขาลาย…
ส่วนผู้ที่เป็น “โรคบวมน้ำเหลือง” แล้วนั้น ก็อย่าเพิ่งตกใจ เพราะโรคนี้มีวิธีรักษา โดยคุณหมอวิชัย ได้กล่าวว่า โรคนี้ไม่สามารถรักษาได้ด้วยการทานยา หรือผ่าตัดให้หายได้ เพราะต้องผ่าตัดโดยไม่มีที่สิ้นสุด ทางเดียวที่จะรักษาได้คือ การบำบัดโดยการขันชะเนาะ หรือที่เรียกว่า ภูษาบำบัด เป็นวิธีการที่ใช้ผ้าพันส่วนที่บวมไว้ให้แน่น เช่น แขน ขา หรืออัณฑะ เพื่อให้น้ำเหลืองไหลได้ในทิศทางเดียว เมื่อน้ำเหลืองไหลเป็นปกติ ส่วนที่บวมก็จะมีขนาดเล็กลงได้แต่ก็ต้องใช้ความอดทนเป็นอย่างมาก ซึ่งถ้าหากผู้ป่วยขยัน และดูแลรักษาตัวเองได้อย่างดี งดของแสลงที่เป็นสาเหตุทำให้อาการบวมรุนแรง น้ำหนักและอาการบวมก็จะลดลงอย่างรวดเร็วเลยทีเดียว
ที่มา:http://www.thaihealth.or.th/node/13686
นางสาว กมลเนตร รัตนบานชื่น ID 52SP2760015
ตอบลบข้าวโพดสุกต้านมะเร็ง
รักษามะเร็งช่วงใกล้ๆหาย เริ่มจะทานอาหารได้ เค้าจะกินข้าวโพดต้มทุกวัน ไปเหมาจาก Supermarket ทุก week แล้วเค้าก็ ฟื้นตัวเร็วมาก ช่วงนั้น ลิ้นเค้าจะ Anti เนื้อสัตว์ กลืนไม่ลง ทานได้แต่ผักกะผลไม้ และจะอยากกินข้าวโพดทุกวัน การแทะข้าวโพดหวานต้านโรคมะเร็งมีสารตัวล้างพิษมากกว ่าผักผลไม้
นัก วิจัยของมหาวิทยาลัยคอร์เนลล์แห่งสหรัฐฯ รายงานในวารสารสมาคมเคมีแห่งอเมริกาว่า ข้าวโพด หวานที่ปรุงสุกแล้วจะออกฤทธิ์ล้างพิษในร่างกายสูงขึ้ นได้อย่างเด่นชัด
เขา เผยว่าผิดกับที่เคยเชื่อกันมาก่อน ว่าผักและผลไม้หากต้มปรุงสุกแล้วจะเสียคุณค่าทางอาหา รลงไป สู้ กินดิบๆ ไม่ได้ แต ่ข้าวโพดหวานยังคงสามารถเก็บพลังเป็นตัวล้างพิษคงไว้ ได้ แม้ว่าจะเสียวิตามินซีไป
เขาได้พบในการต้มข้าวโพดหวานด้วยอุณหภูมิ สูง 115 องศาเซลเซียส ในเวลานานต่างกัน 10, 25 และ 50 นาที พบว่ายิ่งต้มนานจะทำให้มันมีสารอันเป็นตัวล้างพิษเพิ ่มขึ้นเป็น 22, 44 และ 53 เปอร์เซ็นต์ ตามลำดับ
นักวิทยาศาสตร์เชื่อ ว่าสารที่ออกฤทธิ์เป็นตัวล้างพิษช่วยดับพิษของพวกอนุ มูลอิสระ ซึ่งเป็นอันตรายกับเซลล์ ของอวัยวะต่างๆ ทั้งยังมีส่วนเกี่ยวพันกับโรคอันเนื่องมาจากความแก่ช รา ต่างๆ อย่างเช่นต้อกระจก และโรคสมองเสื่อมอีกด้วย
คณะนักวิจัยแจ้ง ว่าข้าวโพดหวานที่ต้มหรือปิ้งจะปล่อยสารประกอบที่เรี ยกว่า กรดเฟรุลิก อันเป็นคุณกับร่างกายยิ่งมาก ขึ้นเมื่อถูกความร้อนสูงขึ้นหรือเวลานานขึ้นกรดเฟรุล ิกเป็นพวก
พฤกษ เคมีซึ่งในผักและผลไม้มีอยู่ไม่มากนัก แต่กลับพบมีอยู่อย่างอุดมในข้าวโพดผสมปนเปรวมอยู่กับ อย่าง อื่น การทำให้มันสุกจึงช่วยทำให้มันปล่อยกรดเฟรุลิกออกมาไ ด้มากขึ้น
ที่มา http://healthyguide.exteen.com/20100624/entry-
นายสาธิต แก้วสวี รหัส 52SP2760046 ตอนเรียน ZA
ตอบลบการรักษาสุขภาพด้วยยาที่อยู่ในตัวของเราเอง
เป็นวิธีการแก้ไขหรือรักษาอาการเจ็บป่วยที่มีประสิทธิภาพและปลอดภัยที่สุด โดยใช้ยาที่อยู่ในตัวของเราเอง ซึ่งเป็นยาที่ดีที่สุดในโลกเพราะไม่มีผลข้างเคียงใดๆ โดยการฝึกจัดระเบียบพลังงานในตัว ให้ประจุในร่างกาย เหมือนกับที่เราใช้สายไฟไปพันรอบตะปู เมื่อต่อเข้ากับถ่านไฟฉายก็สามารถที่จะกลายเป็นแม่เหล็กที่มีพลังดูดเหล็กได้
ในร่างกายมนุษย์ก็เช่นเดียวกัน เมื่อเราอายุมากขึ้น ตามปกติประจุภายในตัวเราจะเรียงตัวสับสนไม่มีระเบียบ ทำให้ไม่สามารถนำออกซิเจน และสารอาหารไปเลี้ยงอวัยวะได้มีประสิทธิภาพ จึงทำให้เกิดความเสื่อมขึ้นทั่วร่างกาย หากเกิดสภาวะนี้ขึ้นที่หัวใจ, เส้นเลือด ก็จะกลายเป็นโรคความดันโลหิต และหัวใจโต เมื่อไปเกิดที่สมอง ก็ทำให้เซลสมองเสื่อม ความจำถดถอย หากเกิดที่กระดูกก็เรียกว่า ภาวะกระดูกพรุน ข้อมือ หัวเข่า และข้อเท้าเสื่อม กรณีที่ไปเกิดขึ้นกับไตก็จะทำให้เป็นโรคเบาหวาน ปวดหลังปวดเอว สมรรถนะทางเพศเสื่อม ไม่มีบุตร ผมร่วง หรือหากลามมาถึงใบหน้าและผิวหนัง ก็จะทำให้ผิวพรรณเหี่ยวย่น หย่อนคล้อย เพราะขาดพลังชีวิตมาหล่อเลี้ยง ซึ่งถ้าเรียกแบบง่ายๆ ว่าโรคแห่งความชรานั่นเอง
การฝึกโคจรพลังจะช่วยไปจัดระบบให้การไหลเวียนของชี่หรือพลังชีวิตไหลไปหล่อเลี้ยงอวัยวะได้อย่างมีประสิทธิภาพ จึงทำให้อวัยวะต่างๆตื่นตัวมีชีวิตชีวา เซลต่างๆซ่อมแซมรักษาตัวเองได้ดี จึงทำให้โรคภัยที่เคยเป็นหายไปได้ หากฝึกฝนเป็นประจำ จะช่วยให้สุขภาพดี ไม่เจ็บป่วย ต่อไปในอนาคตถ้าช่วงไหนเกิดป่วยเพราะลืมฝึกไปนานๆ ก็ยังสามารถรื้อฟื้น เหนี่ยวนำพลังเก่าที่เคยฝึกไว้ออกมาใช้ในการรักษาได้ ผู้ที่ฝึกเป็นประจำก็จะสามารถคืนความอ่อนเยาว์กับมาได้
เพราะแท้จริงแล้ว ในทางการแพทย์นั้นเซลในร่างกายของมนุษย์ ถูกออกแบบมาให้เรามีชีวิตได้ถึง 128 ปี ดังนั้น ตอนที่เราอายุ 40 ปี เราเพิ่งใช้ไปเพียง 1 ใน 3 ของช่วงเวลาทั้งหมดเท่านั้น ซึ่งยังนับเป็นวัยหนุ่มสาว สภาพผิวพรรณ ใบหน้าและสุขภาพ ที่แท้จริงจึงยังควรมีสภาพ ผ่องใส สดชื่น เต่งตึงอยู่ แต่คนปัจจุบันเมื่ออายุย่างเข้าเลข 40 กลับดูเหี่ยวย่น หย่อนคล้อย แก่กว่าศักยภาพเดิมที่ร่างกายสร้างมาให้ (มนุษย์ปัจจุบันจะมีใบหน้าแก่กว่าปกติประมาณ 10 ปี) รวมทั้งการเจ็บป่วยและการเสียชีวิตก่อนวัยอันควร เนื่องจากอาหารที่ด้อยคุณภาพ มลภาวะ การใช้ชีวิตที่รีบเร่ง และความเครียด
สำหรับคนที่ศึกษาฮวงจุ้ยมาแล้ว วิธีการฝึกสมาธิระบบนี้ ยังสามารถช่วยให้เราได้รับผลดีจากการจัดฮวงจุ้ยได้มากขึ้นอีกด้วย เพราะถ้าเรารู้วิธีโคจรพลังและการดูดพลังจากสิ่งแวดล้อม ว่าควรไปฝึกสมาธิที่มุมใด และหันหน้าไปทางทิศทางใด เพื่อดูดซับพลังชี่ที่ดีของทิศนั้น ให้มาก่อเกิดผลในทางบวกได้มีประสิทธิภาพมากกว่าคนอื่น เช่น ถ้าต้องการโชคลาภ ควรไปฝึกในทิศที่เป็นดาวโชคประจำปี เป็นต้น ซึ่งจะสอดคล้องกับหลักชะตามนุษย์ ชะตาฟ้าและชะตาดิน คือ พลังของตัวคน พลังของจักรวาล และพลังทิศทางของที่พักอาศัยให้ประสานสอดคล้องเป็นหนึ่งเดียว ในวิชาสมาธิระบบนี้สามารถนำมาใช้ ยังช่วยปรับธาตุสำคัญ ในตัวของเราตามหลักวิชาดวงจีนได้ด้วยโดยการดูดพลังของธาตุนั้นๆ มาสะสมเก็บไว้ในตัว
การฝึกฝนจะใช้หลักการที่เป็นวิทยาศาสตร์ ที่สามารถพิสูจน์ทดสอบและสัมผัสได้ ซึ่งผู้ที่ผ่านการฝึกทุกคน จะสามารถถ่ายพลังออกมาที่ฝ่ามือ จับได้เป็นลูกๆ และถ่ายพลังไปจุดต่างๆ ในร่างกาย เพื่อกระตุ้นอวัยวะในส่วนต่างๆ รวมทั้งการถ่ายพลังออกไปหมุนกระดาษที่แขวนอยู่ หรือเคลื่อนลูกโป่งไปในทิศที่ต้องการโดยมือไม่ต้องสัมผัส และยังทำให้สามารถมองเห็นแสงเรืองออกจากตัวมนุษย์ที่เรียกว่า ออร่า ได้ด้วยตาเปล่า ไม่ต้องใช้อุปกรณ์ใดๆช่วยทั้งสิ้น
ที่มา : http://www.fengshui100.com/more.php?subaction=showfull&id=1190743252&archive=&start_from=&ucat=51&show_cat=51
นาย วนศักดิ์ กสิณศักดิ์ 52SP2760055 ตอนเรียน ZA
ตอบลบ" ความดันเลือด " เป็นโรคเรื้อรังที่ต้องสูญเสียทรัพย์สินจากการรักษาอย่างต่อเนื่องและยาวนาน
ถึงแม้ว่าความดันเลือดสูงจะเป็นโรคที่รักษาไม่หายขาด ทว่าการรักษาที่สำคัญที่สุดไม่ใช่ " ยา " แต่เป็นการ ปฏิบัติตัวของผู้ป่วยที่จะทำให้ความดันเลือดลดลงมาได้ รวมทั้งสามารถควบคุมความดันเลือดได้โดยใช้ยาไม่มากนัก
การปฏิบัติตัวที่ดีทำให้ผู้ป่วยหลายรายไม่จำเป็นต้องใช้ยา ได้แก่
1. การลดน้ำหนัก
ผู้ป่วยทุกรายที่อ้วนจะต้องพยายามลดน้ำหนักของ ตัวเองให้ลงมาอยู่ระดับมาตรฐาน (ไม่อ้วนไม่ผอม) จะช่วยลดความดันเลือดได้
2 ออกกำลังกายอย่างเหมาะสม
ควรจะออกกำลังกายพอให้หัวใจเต้นเร็วขึ้นเกิน 100 ครั้ง ระยะเวลาประมาณ 30 นาทีต่อวัน อย่าออกกำลังกายอย่างหักโหมระยะสั้น เพราะไม่เป็นการเผาผลาญไขมันและไม่ช่วยลดความดันเลือด
3 กินอาหารที่มีเกลือน้อย
ไม่ได้แนะนำให้งดแต่ควรจะลดบ้าง เช่น ไม่กินอาหารเค็มจัดเน้นอาหารที่จืด
4. เลิกสูบบุหรี่ และเลิกดื่มแอลกอฮอล์ทุกชนิด
5 ทำจิตใจให้แจ่มใส อย่าเครียด หรืออดนอนติดต่อกันหลายวัน
สิ่งเหล่านี้ขอแนะนำให้ปฏิบัติ ติดต่อกันอย่างน้อย 6 เดือน แล้ววัดความดันเลือด ซึ่งมีหลายรายปฏิบัติ ได้ส่งผลให้ความดันเลือดลดลงระดับหนึ่งแล้ว
กรณีที่ความดันเลือดไม่ลดต่ำกว่า 140/90 จึงควรเริ่มใช้ยา
ยามีหลายกลุ่มหลายชนิด แต่ละชนิดมีความสามารถลดความดันเลือดและผลข้างเคียงแตกต่างกัน
การรักษาความดันเลือดโดยยา มีปัจจัยสำคัญคือ ความสม่ำเสมอของการรักษาสำคัญกว่าชนิดของยา เพราะยาดีราคาแพง ผลข้างเคียงน้อย แต่ผู้ป่วยไม่สามารถใช้ยาได้ต่อเนื่องก็ไม่ต่างจากการไม่ได้รักษา
สรุปว่าควรจะดูแลพฤติกรรมสุขภาพของตนเองควบคู่กับการรักษาด้วยยา
ที่มาhttp://www.doctor.or.th/node/4110
การรักษาโรคความดันโลหิตสูงโดยไม่ใช้ยา
ตอบลบนางสาว ธนาภรณ์ จิระชาญชัยศิริ 52SP2760040 ZA
การรักษาโรคความดันโลหิตสูงโดยไม่ใช้ยา (Nonphamacologic Treatment)
การรักษาโรคความดันโลหิตสูงด้วยยาไม่ใช่จะก่อให้เกิด ความปลอดภัยเสมอไป ในภายหน้าการรักษาด้วยยา
อาจเป็นเพียงการเยียวยาและ ปกติต้องรักษาอย่างต่อเนื่องตลอดชีวิต การรักษาโรคความดันโลหิตสูงโดยไม่
ใช้ยาโดยเฉพาะ ความดันโลหิตสูงระยะที่ 1 ได้รับคำรับรองแล้ว ได้แก่
การลดน้ำหนัก
จำกัดโซเดียม
ปริมาณแอลกอฮอล์ที่เหมาะสม
การออกกำลังกายแบบ isotonic
และการรักษาความเครียด
คณะกรรมการค้นหา ประเมินผล และรักษาโรคความดันโลหิตสูง ได้เสนอแนะดังนี้
1. ลดน้ำหนักลง 15% ของน้ำหนักที่พึงปรารถนา (desirable weight)
2. จำกัดปริมาณแอลกอฮอล์ไม่เกิน 1 ออนซ์ต่อวัน (วิสกี้ 2 ออนซ์ ไวน์ 8 ออนซ์ หรือเบียร์ 24 ออนซ์ )
3. จำกัดโซเดียม 1.5 ถึง 2.5 กรัม/วัน (เกลือ 4 ถึง 6 กรัม)
.1 การลดน้ำหนัก (Weight Management) ประสิทธิภาพของการลดน้ำหนักได้ผลดีในกลุ่ม
mild และ severe hypertension น้ำหนักที่ลดลงเป็นผลมาจากการจำกัดพลังงาน ซึ่งอาจเกี่ยวข้องกับ
เมตาบอลิสม เช่น ลดการทำงานของ SNS ที่มีบทบาทสำคัญในระบบความดันโลหิต
เป้าหมายในเรื่องนี้ก็คือบุคคลที่มีประวัติในครอบครัว ป่วยด้วยโรคความดันโลหิตสูง ควรจะลดน้ำหนัก
ลง 15%
จากรายงานของ McCaron และ Reusser ได้กล่าวว่าในคนที่มีภาวะความดันโลหิตสูงระยะก้ำกึ่ง ถ้าลด
น้ำหนัก 4 - 5 กก. มีผลทำให้ระดับความดันโลหิตลดลงเป็นปกติภายใน 2 - 3 อาทิตย์แรก ความดันโลหิต
ลดลงในกลุ่มที่ลดน้ำหนักไม่เกี่ยวข้องกับสารอาหารที่บริโภค แต่มีความเกี่ยวข้องกับพลังงานที่ใช้ในช่วงที่
พยายามลดน้ำหนัก ในคนที่มีน้ำหนักเกินนั้นการที่ระดับความดันโลหิตลดลง ปรากฎร่วมกับน้ำหนักที่หายไป
อาจเกิดจากการ ดูแลให้มีการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ (regular exercies regimen)
2 การจำกัดโซเดียม (Sodium Restriction) การจำกัดโซเดียมเป็นส่วนหนึ่งของการดูแลรักษาโรคความดันโลหิตสูง อย่างไรก็ตาม ผู้ป่วยความดันโลหิตสูง
ประมาณหนึ่งในสี่ถึงครึ่งหนึ่ง ที่เป็นพวก salt-sensitive จึงเป็นข้อจำกัดหนึ่งในการดูแลรักษา เป็นการยาก
ที่จะทำนายว่าผู้ป่วยความดันโลหิตสูงจะตอบสนอง ต่อการจำกัดโซเดียม ครึ่งหนึ่งของผู้ป่วยที่จำกัดโซเดียม
แล้วความดันโลหิตไม่ได้ลดลง
ที่มา : http://gotoknow.org/blog/nongooy/105712
นายกันตณัฐ อินทร์ศรี 52SP2760032 / ZA
ตอบลบ>>>ทางเลือกใหม่ในการรักษาสุขภาพโดยไม่ต้องใช้ยา<<<
การรักษาโรคด้วยการฝังเข็ม เป็นวิธีรักษาโรคแบบหนึ่งในหลายๆ แบบที่หมอใช้กัน การฝังเข็ม มิใช่ไสยศาสตร์ มิใช่สิ่งมหัศจรรย์ วิธีการรักษาก็เช่นเดียวกับการใช้วิธีให้ยา หรือวิธีผ่าตัดรักษา โดยที่หมอต้องวินิจฉัยโรคให้ได้ถ่องแท้ หาสาเหตุแห่งการเกิดโรคให้ได้แน่นอน แล้วตัดสินว่าวิธีใด เป็นวิธีที่ดีที่สุดที่จะใช้รักษา หรืออาจต้องใช้วิธีรักษารวมกันในหลายๆ วิธี ยกตัวอย่างเช่น
ผู้ป่วยเป็นโรคปวดศีรษะมา 10 ปีได้ตรวจระบบสายตา หู คอ จมูก เส้นเลือด และสมองแล้ว ไม่พบสิ่งใดผิดปกติ แต่มีอาการปวดศีรษะอยู่เสมอ ได้รับการรักษาด้วยวิธีการใช้ยามาเป็นเวลานานแล้ว ไม่หายขาด ก็เปลี่ยนวิธีการรักษามาใช้การฝังเข็ม เป็นต้น
การฝังเข็มเป็นวิธีการรักษาโรคชนิดหนึ่ง ซึ่งยังอธิบายไม่ได้ชัดว่า ทำไมจึงหายจากโรคนั้นๆ ได้ เป็นวิธีรักษาโรคที่ใช้กันมาหลายพันปี มีผลออกมาให้เห็น คือ หายหรือทุเลา
โรคที่ใช้รักษาด้วยวิธีฝังเข็มมีหลายร้อยวิธี เกือบจะว่ารักษาได้ทุกโรค ยกเว้นโรคที่เกี่ยวกับเนื้องอก ที่ควรผ่าตัดเอาออกมากกว่า โรคที่ใช้ในการรักษามีทั้งโรคติดเชื้อ การแพ้ (เช่น แพ้อากาศ ลมพิษ) โรคของอวัยวะภายใน (เช่น หืด ไอ ปวดท้อง โรคกระเพาะ ถุงน้ำดีอักเสบเป็นนิ่ว) โรคของไต (เช่น นิ่วก้อนเล็กๆ ไตอักเสบ) โรคระบบประสาท (เช่น ชา อัมพาต ปวดแขนขาโปลิโอ) โรคตา (ตาแดง ฝ้ามัว) โรคหู (หูอื้อ หูมีเสียง หูไม่ได้ยิน) ใบ้ โรคทางระบบสืบพันธุ์ (เช่น หมดความรู้สึกทางเพศ ประจำเดือนผิดปกติ) โรคที่เกี่ยวข้องกับการปวดทั้งหลาย (เช่น ปวดศีรษะ ปวดประสาท ปวดหลัง ปวดคอ แขน ข้อ ปวดกล้ามเนื้อ) โรคจิต กลัว ใจสั่น นอนไม่หลับ ฝันร้าย คิดมาก เหล่านี้ เป็นต้น ยังมีโรคอีกมากมายที่รักษาได้ หรืออาจทำให้ทุเลา
ทำไมถึงหาย ได้มีคนค้นคว้าทำการวิจัย ในหลายประเทศในโลกนี้ว่าทำไมการรักษาด้วยการฝังเข็ม จึงหายจากโรคร้าย ในเวลานี้เท่าที่จะอธิบายกันก็ว่า การฝังเข็มทำให้เกิดผลได้หลายๆ อย่าง เช่น
1. ทำให้ง่วงในบางจุด
2. ทำให้ชาหายปวดในบางจุด
3. ทำให้วัยวะภายในทำงานได้ดีขึ้น จุดแต่ละจุดมีผลต่ออวัยวะต่างๆ เช่น ทำให้น้ำดีไหลดีขึ้น ไตทำงานดีขึ้น เป็นต้น
4. ทำให้ร่างกายมีภูมิต้านทานโรคดีขึ้น การทำงานของเนื้อเยื่อดีขึ้น
การรักษาด้วยการฝังเข็มยังเป็นวิธีรักษาโรคที่ต้องค้นคว้า วิจัย และเพิ่มพูนความรู้ ความชำนาญ และความสนใจอีกมาก ในเวลานี้เราเชื่อได้ว่าการฝังเข็มทำให้โรคบางโรคหาย หรือทุเลาได้ บางโรคใช้เวลารักษาระยะสั้น บางโรคใช้เวลารักษาระยะยาว แต่ก็เป็นวิธีรักษาโรคที่ให้ประโยชน์แก่มวลชนได้
และนี่ก็คืออีกทางเลือกที่รักษาได้โดยไม่ใช้ยาปฏิชีวนะ
ที่มา : http://www.doctor.or.th/node/5195
น.ส.กรพินธ์ จิตรมั่น 52SP2760014 ตอนเรียนZA
ตอบลบกรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก กระทรวงสาธารณสุขจึงจัดประชุมเชิงวิชาการเรื่อง ‘การรักษาภูมิแพ้ด้วยธรรมชาติบำบัด’ ขึ้น เพื่อแนะวิธีดูแลรักษาสุขภาพให้ไกลห่างโรคภูมิแพ้ด้วยวิธีง่ายๆ สบายๆ แบบธรรมชาติบำบัด
น.พ.ทีปทัศน์ ชุณหสวัสดิกุล จากศูนย์ธรรมชาติบำบัดบัลวี อธิบายว่าโรคภูมิแพ้เกิดจากระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายมีปฏิกิริยาต่อต้านสิ่งแปลกปลอมที่เข้ามาในร่างกาย โดยจะแสดงอาการเรื้อรัง เป็นๆ หายๆ โดยเฉพาะการแพ้อากาศ หวัดเรื้อรังนั้นจะพบบ่อยสุดในเด็กอายุ 2-3 ปี โดยอาการเหล่านี้จะต่อเนื่องมาถึงตอนเป็นผู้ใหญ่ด้วยอาการที่แสดงออกมาในผู้ป่วยจะมีตั้งแต่การคันจมูก น้ำมูกไหล การรับกลิ่นเสียไป จมูกตัน ไอ ปวดศีรษะ น้ำตาไหล และหายใจเสียงดัง โดยการวินิจฉัยแพทย์จะซักประวัติ ตรวจร่างกาย และทำ Skin Test เพื่อหาวิธีเหมาะสมที่สุดในการรักษาโรคภูมิแพ้นั้นๆ ซึ่งมีทั้งการกำชับให้หลีกเลี่ยงสิ่งที่แพ้ รักษาด้วยยา และธรรมชาติบำบัด โดยเฉพาะวิธีธรรมชาติบำบัดนั้นนอกจากปลอดภัย ประหยัดค่าใช้จ่ายแล้ว ยังปฏิบัติด้วยตนเองได้ไม่ยากวิธีธรรมชาติบำบัดรักษาภูมิแพ้นั้นเป็นองค์รวม ที่ยึดหลักการรักษาที่สอดคล้องกับการดำเนินชีวิตประจำวัน โดยจะต้องทำควบคู่กันไปทั้งเรื่องการหลีกเลี่ยงสิ่งที่แพ้ เช่น ขนสุนัข ควันบุหรี่ เกสรดอกไม้ ฝุ่นในบ้าน นมวัวและผลิตภัณฑ์จากนมวัวแล้ว ผู้ป่วยยังต้องให้ความสำคัญกับการปรับอาหาร การออกกำลังกาย และการเพิ่มภูมิต้านทานให้กับร่างกาย เช่น อบสมุนไพร เซาน่า อาบแสงตะวัน รวมทั้งการเพิ่มวิตามินเพื่อบรรเทาอาการภูมิแพ้ตามความจำเป็นด้วยถ้าอาการยังไม่ดีขึ้นจะต้องมีการรักษาเพิ่มเติม เช่น การอดล้างพิษ การสวนล้างลำไส้ การฝังเข็มรักษาภูมิแพ้ การได้วิตามินระดับสูงทางเส้นเลือด หรือกระทั่งการจัดการกับความเครียดเพื่อการพักผ่อนที่มีประสิทธิภาพก็จะช่วยให้อาการภูมิแพ้ดีขึ้นได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการอดล้างพิษนั้นจะทำให้สารพิษที่เคยก่อภูมิแพ้ไม่มีเหลือตกค้างในร่างกาย อาการภูมิแพ้ต่างๆ ที่เคยมีก็จะลดน้อยลงจนหมดไปได้ในที่สุด
http://wave.prohosting.com/biotik/is5.html
นาย จักรพันธ์ กิจประชา รหัส 52SP2760024
ตอบลบวิธีแก้ปวดหัว โดยไม่ต้องพึ่งยา!
คง ไม่มีใครเกิดมาไม่เคยปวดหัว ทั้งปวดหัวจี๊ด ปวดหัวตุ้บๆ ปวดหัวมึนงง และอีกสารพัดรูปแบบ ซึ่งอาการที่เกิดขึ้นนี้ก็มีสาเหตุหลากหลาย ทั้งจากความเครียด ใช้สายตามากๆ ทานช็อกโกแล็ต-ดื่มกาแฟมากเกินไป หรือแม้แต่จ้องจอคอมพิวเตอร์นานๆก็ทำให้เราปวดหัวได้เหมือนกัน
วิธี แก้ปัญหาเบสิคที่ใครๆ ก็ใช้กัน คือปวดหัวปุ๊บก็คว้ายาแก้ปวดมาทานปั๊บ แต่การทานยาก็ไม่ได้เป็นการแก้ปัญหาที่ดีที่สุดเสมอไป ทานไปนานๆ อาจเจอะปัญหาดื้อยาหรือติดยาตามมาให้ปวดหัวหนักกว่าเดิมซะอีก วันนี้เลยมีวิธีธรรมชาติที่สามารถบำบัดอาการปวดหัวมาฝากกัน
อโรมาเธอราพี กลิ่นคลายปวด
น้ำ หอมระเหยช่วยบรรเทาอาการปวดได้ หากปวดหัวเพราะความเครียด ให้ใช้น้ำมันหอมระเหยกลิ่นมาร์จอแรม (marjoram) ประมาณ 5 หยด(30 มิลลิลิตร) มานวดกล้ามเนื้อคอหรือเติมในอ่างอาบน้ำ จะช่วยให้จิตใจสงบผ่อนคลาย หรือถ้าปวดหัวไซนัส ลองสูดดมไอระเหยจากชามน้ำร้อนที่หยดน้ำมันหอมระเหยกลิ่นสะระแหน่ 2 หยด เพื่อบรรเทาปวด
นวดบำบัด
การ นวดบริเวณจุดที่เชื่อมโยงกับศีรษะก็ช่วยแก้อาการปวดหัวได้เช่นกัน ผู้เชี่ยวชาญด้านการนวดให้คำแนะนำว่า ให้ใช้นิ้วโป้งและนิ้วชี้ของมือข้างหนึ่งยึดแต่ละนิ้วของมืออีกข้าง แล้วหมุนนิ้วไปตามเข็มและทวนเข็มนาฬิกา ทำแบบนี้ซัก 3-4 ครั้งใน 2-3 ชั่วโมงสำหรับใครที่ปวดหัวเล็กน้อย หรือสำหรับคนที่ปวดหัวไมเกรนเพิ่มเป็นชั่วโมงละ 2 ครั้งก็จะบรรเทาอาการปวดได้
กดจุด Shiatsu
Shiatsu เป็นศาสตร์การกดจุดที่ช่วยแก้ปัญหาอาการปวดหัว หากปวดหัวเพราะความเครียดให้ใช้นิ้วกดลงบนร่องระหว่างนิ้วโป้งกับนิ้วชี้จะ ช่วยทำให้ผ่อนคลาย หรือถ้าปวดหัวไมเกรน ลองใช้นิ้วโป้งหรือนิ้วกลางกดลงที่สันกระดูกระหว่างฐานกระโหลกกับช่วงบนสุด ของไขสันหลัง ประมาณ 1 นาที ก็จะช่วยให้การปวดลดน้อยลง
สมุนไพรพิชิตปวด
สมุนไพร บางชนิดมีฤทธิ์คลายปวดได้ เช่น การรับประทานสมุนไพรฟีเวอร์ฟิว (feverfew) วัน 200 มิลลิกรัมจะช่วยป้องกันอาการปวดไมเกรน เพราะฟีเวอร์ฟิวมีฤทธิ์บรรเทาอาการปวดบวม, รับประทานขิง 100 มิลลิกรัมเมื่อเริ่มปวดหัว เพราะขิงมีสรรพคุณเหมือนยาแก้ปวด แถมยังบรรเทาอาการคลื่นเหียนเพราะไมเกรนได้อีกด้วย หรือแม้แต่ใบแปะก๊วยก็ช่วยให้ปวดหัวน้อยลง เพราะแปะก๊วยจะช่วยกระตุ้นให้เลือดไหลเวียนผ่านศีรษะและต้นคอได้ดี
อาหารเสริมช่วยได้
วิตามิน หรือแร่ธาตุบางชนิดก็สามารถบรรเทาอาการปวดหัวบางแบบได้ เช่น ถ้าคุณกำลังปวดหัวเพราะความเครียด การเติมแมกนีเซียมให้กับร่างกายซักวันละ 200 มิลลิกรัมจะช่วยให้กล้ามเนื้อผ่อนคลาย ยิ่งถ้าบวกกับวิตามินบี 2 อีกวันละ 400 มิลลิกรัม ยิ่งเห็นผลเร็วทันตาเลยทีเดียว หรือสำหรับผู้ป่วยไมเกรน การได้รับสารอาหารจำพวก 5-HTP เป็นประจำจะช่วยบรรเทาปวดหัว เพราะเจ้า 5-HTP จะช่วยปรับระดับเซโรโตนินของร่างกายให้คงที่
Homeopathy เพิ่มภูมิต้านทาน
วิธี Homeopathy เป็นการรักษาโรคอีกรูปแบบที่กำลังฮิตในยุโรปและอเมริกา โดยใช้สมุนไพร เกลือแร่ หรือสารเคมีมากระตุ้นระบบภูมิต้านทานของร่างกาย อย่าง สมุนไพรที่ชื่อ bryonia สามารถบรรเทาอาการปวดหัวตุ้บๆ, เกลือ nut mor เหมาะสำหรับผู้ป่วยไมเกรนที่มีอาการคลื่นเหียนหรือตาลายร่วมด้วย, pulsatilla เหมาะสำหรับสาวๆที่มักจะปวดหัวก่อนมีประจำเดือน และ nux vomica ใช้ได้ดีกับนักดื่มที่ปวดหัวเพราะเมาค้าง
เทคนิค Naturopathy
Naturopathy คือเทคนิคการรักษาอาการปวดที่การผสมผสานระหว่างอากาศบริสุทธิ์และการออก กำลังกายเบาๆ ซึ่งผู้เชี่ยวชาญได้แนะนำว่าการออกกำลังกายโดยการเดินเป็นประจำอย่างน้อยวัน ละ 20 นาที จะสามารถบรรเทาอาการปวดและคลายเครียด
แต่หากใช้มาแล้ว หลายเทคนิคแต่อาการปวดก็ยังไม่ทุเลา หรือมีอาการอื่นๆที่ไม่น่าไว้ใจร่วมด้วย อย่าง คอแข็ง อาเจียน ตาไม่สู้แสง ชาหรือเจ็บบริเวณขาหรือแขน ก็แนะนำให้ไปปรึกษาแพทย์ดีกว่า เพราะอาการที่ว่าอาจจะอันตรายกว่าที่คิดก็ได้ ใครจะรู้
ที่มาhttp://www.bloggang.com/mainblog.php?id=saradee&month=03-08-2010&group=10&gblog=389
นางสาว สิริอร เหมเจริญวงศ์ รหัส 52SP2760002
ตอบลบ20วิธีการรักษาสุขภาพ
1. การเปลี่ยนแปลงสิ่งที่คุณได้งีบทุกวัน วันละ 15 นาที Dr.Bill Anthony
of Boston University กล่าวว่า การงีบจะช่วยทำให้ประสิทธิภาพและสมาธิในการทำงาน
2. ทานกล้วยวันละ 2 ใบ ลดความเสี่ยงในการเกิด stroke ลงได้ 20% (stroke
คือ อาการขาดเลือดเลี้ยงสมองหรือหัวใจอย่างเฉียบพลันเพราะหลอดเลือดตีบหรืออุดตัน)
3. ทาน chocolate 3 ชิ้นต่อเดือน อายุยืนขึ้น 1 ปี เพราะ chocolate
แสดงออกถึงประสิทธิภาพในการลด LDL Cholesteral
4. กวาดใบไม้ที่บ้านด้วยตัวคุณเอง เผาผลาญพลังงานไป 420 kj ทุกๆ 20 นาที
นั่นเท่ากับการออกวิ่ง 1500 m
5. ล้างจานด้วยมือแทนที่จะเป็นเครื่องล้างจานเผาผลาญพลังงานได้เพิ่มขึ้น
เฉลี่ย 395 kilojoules /วัน หรือเท่ากับ 4.5 kg ตลอดระยะเวลา 1 ปี
6. เปลี่ยนไส้แซนวิชของคุณ จาก ham มาเป็น tuna อาทิตย์ละ 2 ครั้ง
ลดอัตราการเกิดโรคหัวใจได้ 25%
7. จูบลาแฟนคุณทุกเช้า และทักเธอทันทีเมื่อถึงบ้าน
ทำชีวิตสมรสคุณให้ดีขึ้นภายใน 1 สัปดาห์ Dr.Dave M. Davis, Director of
the Piedmont Psychiatric Clinic in Atlanta in U.S. กล่าวว่า
ผมเห็นคนไข้หลายคนที่มีความสัมพันธ์ในชีวิตสมรสดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัดในช่วงเวลา
สั้นๆ หลังจากที่ได้ทำตามคำแนะนำง่ายๆ นี้
8. ลดการทำงานลงวันละ 1 ชั่วโมง ชะลอการตายของคุณออกไป
จากการศึกษาในประเทศญี่ปุ่น พบว่าผู้ชายที่ทำงานมากกว่า 11 ชั่วโมงต่อวัน
มีโอกาสหัวใจวายมากกว่าคนปกติที่ทำงานถึง 9 ถึง 11 ชั่วโมงต่อวัน ถึง 2.5 เท่า
9. เดินไปส่งเอกสารให้เพื่อนร่วมงาน แทนการส่ง e-mail ลดน้ำหนักลงได้ 0.5 kg ต่อปี
10. เริ่มเก็บเงินวันละ 100 บาท เพื่อใช้ตอนที่คุณเลิกทำงาน เมื่อผ่านไป 20 ปี
คุณจะมีเงินเก็บทั้งสิ้น 3,740,000 บาท (สมมติได้ผลตอบแทน 15 % ต่อปี)
11. ดื่ม wine แดงที่มาจาก Chile แทนที่จะเป็นฝรั่งเศส
ลดความเสี่ยงในการเป็นมะเร็ง - Chilean Cabernet และ Sauvignon
มีสารที่มีประโยชน์ เช่น flavomoids, antioxidants
(ลดการเกิดมะเร็งโดยการลดอนุมูลอิสระ) มากกว่าใน wine ของฝรั่งเศสถึง 38%
รักษาไข้ให้หายเร็วที่สุด ตัดโอกาสที่คุณจะป่วยไข้ลงมากถึง 90%
12. หลังจากออกกำลังกายอย่างหนัก ให้ทานวิตามิน C ลดความเสี่ยงในการเป็นหวัดลง 50%
13. ทานอาหารเช้าทุกวัน ลดน้ำหนักได้ทันที Franca Alphin จาก Duke
University Diet and Fitness Centre in the US กล่าวว่า
ทั่วไปแล้วผู้ชายที่เว้นทานอาหารเช้าจะทานอาหารมากกว่านั้นในช่วงต่อมา
และมักจะเลือกอาหารที่อุดมไปด้วยไขมันและ kilojules
14. ดื่มน้ำเย็นวันละ 4.5 ลิตร ทุกวัน ลดน้ำหนักลงได้ 0.5 kg. ทุกๆ 4
สัปดาห์ทั้งนี้ เนื่องจากร่างกายของคุณจะใช้พลังงาน 516 kilojules
ในการทำให้น้ำดื่มอุณหภูมิเป็น 22.7c เมื่อคุณดื่มเข้าไป
15. เหยียดขา (hamstring) ของคุณออกไปเต็มที่ค้าไว้ 30 วินาที วันละ 5 ครั้ง
ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและปรับปรุงความสามารถในการยืดหยุ่นของคุณอีก 37%
16. บ้วนปากทันทีทุกครั้ง หลังทานอาหาร ลด bacteria ในช่องปากลงได้ 30%
และที่สำคัญที่สุด คือ ช่วยลดความเสี่ยงของฟันผุ
17. ทาน apple วันละ 2 ลูก ลด 4.5 kg ได้ภายใน 1 ปี เส้นใยอาหารใน apple
ช่วยในการลดน้ำหนัก ด้วยการช่วยขัดขวางการย่อยไขมันและโปรตีนในร่างกาย
18. ทำความสะอาดอ่างล้างจานของคุณทุกๆ 2 วัน กำจัด E.coli และ samonella
bacteria จากสถานที่ที่มันชอบซ่อนตัวอยู่เป็นประจำ
19. เปลี่ยนแปลงจากเนยมาทาน low fat magerine แทนการลดปริมาณ cholesteral
(LDL cholesteral เป็นชนิดที่เป็นอันตรายต่อร่างกาย) ที่ร่างกายคุณจะได้รับ
20. ดื่มเบียร์ประเภท stout แทนการดื่มประเภท soft drink เมื่อคุณทาน
berger ลดความเสี่ยงในการเป็นมะเร็ง เบียร์จะเป็นตัวป้องกันคุณจาก carcinogens
ที่มีอยู่ในเนื้อย่างสุก Good luck & Good Health !!!
ที่มา:http://webboard.pooyingnaka.com/show.php?Category=story&No=4953
นางสาว สุรีพร ยะวงษ์ศรี 52SP2760057-ZA
ตอบลบไม่พึ่งยา ไม่พึ่งหมอ บำบัดโรคด้วยน้ำมันมะพร้าว กับการทำoil pulling
การดูแลรักษาสุขภาพโดยทางธรรมชาติในปัจจุบันนี้ เป็นที่นิยมมากกว่าสมัยก่อนผู้คนหันมาใส่ใจเรื่องสุขภาพร่างกายกันเพิ่มมากขึ้น โดยการแพทย์แผนปัจจุบันเองก็เริ่มให้ความสำคัญในการรักษาโดยธรรมชาติบำบัดมากขึ้นกว่าการใช้เคมีบำบัด
จึงให้มีการทำ Detox กันอย่างแผ่หลาย ทั้งๆ ที่เป็นศาสตร์จากยุคก่อน การล้างสารพิษก็มีอีกหนึ่งวิธีที่น่าสนใจ คือ การทำ Oil Pulling วิธีการดูดสารพิษจากน้ำมันมะพร้าวบริสุทธิ์100%สกัดเย็น ขณะที่อมไว้จะได้กลิ่นหอม อ่อนๆ คล้ายน้ำกะทิสด หอมขึ้นจมูกจนสัมผัสได้
เป็นวิธีธรรมชาติจากสมัยก่อนซึ่งมีต้นกำเนิดมากจากอินเดีย คือ การกลั้วน้ำมันกลั่นเย็น น้ำมันสกัดเย็น (กรรมวิธีในการสกัดน้ำมันโดยไม่ผ่านความร้อน) ไปมาในปากอย่างน้อยเป็นเวลา 15-20 นาที โดยให้น้ำมันผ่านช่องระหว่างฟันไปมา เข้าออก จนกระทั่งน้ำมันที่ข้นเหนียวผสมกับน้ำลาย จนเจือจางความข้น จึงบ้วนทิ้ง บางคนสงสัยว่า แค่การกลั้วปากจะใช้ได้ผลแค่ไหน
ลองสังเกตอย่างง่ายๆ คือ ในปากของเรามีเนื้อเยื่อที่อ่อนที่สุดตามเหงือก และเยื่อบุช่องปาก ซึ่งอณูของเซลล์เม็ดเลือดสามารถผ่านและดูดซึมได้ง่าย โมเลกุลเล็กๆ อาจถูกดูดซึมเข้าไปในเซลล์เม็ดเลือดขาวของร่างกายทางช่องปาก ผ่านเนื้อเยื่อ และโมเลกุลของน้ำมันอาจผ่านเข้าไปทางเซลล์
ในช่องปาก และดูดซึมเชื้อแบคทีเรีย ที่ไม่มีประโยนช์ต่อร่างกายกลับขึ้นมา โดยมีน้ำลายเป็นตัวกระตุ้น เชื้อแบคทีเรียเหล่านั้นอาจจะรวมถึงสารพิษต่างๆ ที่คั่งค้างอยู่ในร่างกายกลับขึ้นมา
ในกรณีที่เยื่อบุภายในช่องปากและเหงือกเป็นแผล ก็จะทำให้เชื้อโรค ซึมเข้าสู่ร่างกายได้ง่ายขึ้น กรณีนี้เป็นทฤษฏีที่สังเกตได้ง่ายอย่างถ้าช่องปากเป็นแผล เอาอะไรใส่ปากหรือการมีปฏิสัมพันธ์กับคนไม่สบายทางปากหรือลมหายใจยังสามารถป่วยได้และทางปากติดเชื้อโรคได้ง่ายกว่าทางลมหายใจ
อย่างเช่นเด็กที่อมนิ้วเมื่อนิ้วไปสัมผัสกับเชื้อแบคทีเรีย มันไม่ได้ผ่านเข้าไปในช่องท้องโดยทันทีแต่จะถูกดูดซึมเข้าไปตามเซลล์ในช่องปาก นั่นเอง เด็กบางคนกินอาหารไม่สะอาดก็แค่ปวดท้องเพราะลงผ่านช่องท้องแต่เด็กบางคน เยื่ออ่อนในปากกลับติดเชื้อรา หรือในกรณีที่สภาวะร่างกายไม่สบาย อาจจะแสดงผลทางช่องปากคือเกิดการร้อนใน เป็นตุ่มใส ในปาก หรือปากเปื่อยเป็นแผล โดยที่ไม่ได้เกิดจากบาดแผลจากการแปรงฟัน หรือกัดลิ้นหรือ กัดริมฝีปากแต่อย่างไร และแผลในปากก็หายได้ง่ายกว่าแผลภายนอก ทั้งๆ ที่มีความชื้นและเปียกด้วยน้ำลายอยู่ตลอดเวลา
วิธี Oil pulling นี้ ยังสามารถบำบัดรักษาอาการเหล่านี้อย่างเห็นผลได้ชัดคือ อาการปวดศีรษะ, ปวดฟัน, โรคเกี่ยวกับหัวใจ และ ไต,โรคหลอดลมอักเสบ,เลือดตีบหรือคั่ง,โรคเรื้อนกวาง หรือ แผลเปื่อย, ฝี แผลมีหนอง,โรคเกี่ยวกับลำไส้ การย่อย รวมทั้งโรคในผู้หญิง และยังสามารถป้องกันการเติบโตขึ้นใหม่ของเนื้องอกที่เป็นอันตรายหลังจากการรักษา,โรคเรื้อรังจากเลือด,อัมพาต,โรคเกี่ยวกับเส้นประสาท,ช่องท้อง,ปอดและ ตับ หรือโรคนอนไม่หลับ และที่สำคัญ ผิวพรรณ หน้าตาสดใส ใบหน้าแต่งตึง จนรับรู้ได้ภายใน1 อาทิตย์
จริงๆ แล้วสามารถบำบัดได้เกือบทุกโรคก็ว่าได้ รวมทั้งผู้ที่ถูกสารพิษ หรือ สารเสพติด สารคาเฟอีน สารนิโคติน และสารพิษจากโรงงาน สารพิษจากยาฆ่าแมลง จะมีอาการไม่พึงประสงค์ในตอนเช้าควรได้รับการบำบัด
กรรมวิธีในการบำบัด ในตอนเช้าก่อนมื้ออาหารให้ บ้วนปากด้วยน้ำมันหนึ่งช้อนโต๊ะ จะเป็นน้ำมัน ดอกทานตะวัน หรือ น้ำมันงา น้ำมันมะพร้าวบริสุทธิ์100% หรืออื่นๆ ที่ผ่านการสกัดเย็น โดยพยายามอย่ากลืนน้ำมัน ค่อยๆ ทำโดยอย่าฝืน หรือเร่ง โดยให้น้ำมันผ่านช่องฟัน อาจจะทำการเคี้ยวน้ำมัน หรือ กลั้วผ่านไปมาระหว่างซี่ฟัน จนน้ำลายหลั่งออกมาเป็นจำนวนมากนั้นคือ การที่สารพิษต่างๆ ได้ผ่านเซลล์เม็ดเลือดออกมาทางเมือก ในเนื้อเยื่อ จากช่องปาก ดังนั้นจึงไม่ควรกลืนน้ำมันเพราะน้ำมันได้เปลี่ยนเป็นสารพิษ ในตอนแรกน้ำมันจะข้นเหนียว เมื่อผสมเป็นเวลานานกับเมือกในช่องปากและน้ำลาย จะเปลี่ยนสถานะเหลวขึ้นและจะเป็นสีขาวขุ่นขึ้นคล้ายๆ ขนแกะถ้าน้ำมันยังคงเป็นสีเหลืองอยู่แสดงว่า ยังไม่ได้ผ่านกระบวนการนานเท่าที่ควร
หลังจากที่บ้วนทิ้งแล้ว ควรล้างช่องปากด้วยน้ำเปล่าอย่างน้อย 4-5 ครั้ง และ จึงทำการแปรงฟัน หลังจากนั้นให้ล้างอ่างล้างหน้าให้สะอาด เพราะจะเต็มไปด้วยเชื้อแบคทีเรียและสารปนเปื้อนที่เราบ้วนออกมาจากปากของเรานั่นเอง สิ่งที่จะเห็นได้ชัดขึ้นคือ ช่องปากของเราจะสะอาด และ ลมหายใจจะสะอาดขึ้น โดยฟันก็จะขาวขึ้นด้วย ปัญหาในช่องปากก็จะลดลง รวมทั้งปัญหาขอบตาคล้ำ และอาการนอนหลับไม่สนิท
เวลาที่ดีที่สุดในการบำบัด คือตอนเช้าก่อนอาหาร และสามารถ ทำซ้ำได้ สามเวลา คือก่อนมื้อแต่ต้องเป็นในช่วงท้องว่าง
ที่มา http://www.oilpulling.com/PULLING%20OIL_karacharticle.pdf
นางสาววัลลภา ศิริสุวรรณ
ตอบลบ52SP2760003 (ZA)
การรักษาโดยไม่ใช้ยา
ในผู้ที่เป็นโรคปวดข้อรูมาตอยด์นั้น นอกจากการใช้ยาในการบรรเทา และรักษาแล้ว ยังควรมีการรักษาทางกายภาพบำบัดร่วมไปด้วย เช่น การใช้น้ำร้อนประคบ การแช่หรืออาบน้ำอุ่น ซึ่งมักจะแนะนำให้ทำในตอนเช้านาน 15 นาที
ผู้ป่วยควรพยายามขยับข้อต่างๆ อย่างช้าๆ ท่าละ 10 ครั้ง ทำซ้ำทุก 1-2 ชั่วโมง จะช่วยลดอาการเจ็บปวดลงได้
หลังจากเริ่มกินยาบรรเทาอาการอักเสบได้ 1 สัปดาห์ ควรฝึกกายบริหารในท่าต่างๆ ซึ่งควรทำเป็นประจำทุกวัน จะช่วยให้ข้อทุเลาความฝืด และเคลื่อนไหวได้ดีขึ้น
นอกจากนี้ผู้ป่วยควรหาเวลาพักผ่อน สลับกับการทำงาน หรือการออกกำลังกายเป็นพักๆ
ในผู้ที่เป็นโรคข้อเสื่อม ถ้ามีอาการปวดให้พักข้อที่ปวด(เช่น อย่าเดินมาก ยืนมาก หรือเดินขึ้นลงบันได) และใช้น้ำร้อนประคบ
พยายามหลีกเลี่ยงสิ่งที่จะทำให้อาการปวดข้อกำเริบ เช่น ห้ามยกของหนัก หรือหาบน้ำ หิ้วน้ำ อย่ายืนนาน อย่านั่งคุกเข่า(นั่งถูพื้น หรือซักผ้า) นั่งพับเพียบ หรือขัดสมาธิ พยายามนั่งในท่าเหยียดเข่าตรง หลีกเลี่ยงการเดินขึ้นลงบันได
ควรเปลี่ยนอิริยาบทบ่อยๆ เช่น หลังจากนั่งทำงานนาน 1 ชั่วโมง ควรพัก และลุกขึ้นเดินสัก 2-3 นาที เป็นต้น
ถ้าน้ำหนักมาก ควรพยายามลดน้ำหนัก ซึ่งจะช่วยให้อาการปวดทุเลาได้มาก
พยายามบริหารกล้ามเนื้อที่เคลื่อนไหวข้อให้แข็งแรง เช่น ถ้าปวดหลังก็ให้บริหารกล้ามเนื้อหลัง ถ้าปวดเข่าก็บริหารกล้ามเนื้อต้นขาส่วนหน้า
การฝึกกล้ามเนื้อควรเริ่มทำเมื่ออาการปวดทุเลาลงแล้ว ระยะแรกฝึกวันละ 2-3 ครั้ง ครั้งละ 5-10 นาที จนรู้สึกกล้ามเนื้อแข็งแรงไม่เมื่อยง่าย จึงเพิ่มเป็นวันละ 3-5 ครั้ง
การบริหารกล้ามเนื้อเข่า เริ่มแรกไม่ต้องถ่วงด้วยน้ำหนัก ต่อไปค่อยๆ ถ่วงน้ำหนัก(เช่น ใส่ถุงทราย) ที่ข้อเท้า ทีละน้อย จาก 0.3 กิโลกรัม เป็น 0.5 กิโลกรัม 0.7 กิโลกรัม และ 1 กิโลกรัม โดยเพิ่มไปเรื่อยๆ ทุก 2-3 สัปดาห์ จนยกได้ 2-3 กิโลกรัม ข้อเข่าก็จะแข็งแรง และลดอาการปวด
ที่มา:
http://www.atom.rmutphysics.com/charud/oldnews/0/275/medicine/nonmedical.htm
ความคิดเห็นนี้ถูกผู้เขียนลบ
ตอบลบน.ส. กรกนก ยุพการนนท์
ตอบลบ52SP2760045 - ZA
แก้ไมเกรนไม่ต้องพึ่งยา แค่พักผ่อนเพียงพอ ไม่ดื่มไวน์เลี่ยงผงชูรส
แนะ วิธีปฏิบัติ ตัวเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดอาการปวดไมเกรนโดยไม่ต้องใช้ยา ซึ่งไมเกรนพบมากในวัยรุ่นและคนหนุ่มสาว เป็นอาการที่ไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ โดยต้องนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ ฝึกทำสมาธิ ไม่อดอาหาร เลี่ยงอาหารที่กระตุ้นอาการ โดยเฉพาะไวน์แดง และ ผงชูรส ขณะปวดให้ใช้น้ำแข็งประคบ หรือใช้น้ำมันสะระแหน่นวดอาการจะทุเลา
ศ.ดร.ภักดี โพธิศิริ เลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) กล่าวถึงอาการไมเกรนที่พบผู้ป่วยเป็นกันมาก ว่า ไมเกรน คือ โรคปวดศีรษะที่เกิดจากหดและขยายตัวอย่างผิดปกติของเส้นเลือดแดงบริเวณศีรษะ ชาวบ้านเรียกว่า “โรคลมตะกัง” ผู้ที่เป็นไม่เกรนจะมีอาการปวดศีรษะตุบ ๆ ตามชีพจร ปวดอยู่ข้างเดียว บางครั้งอาจสลับข้าง น้อยรายที่พบว่าจะปวดศีรษะสองข้างพร้อมกัน บางรายมีอาการคลื่นไส้ อาเจียน มือสั่น มือไม้เย็น รู้สึกไวต่อแสงสว่างและเสียงด้วย ซึ่งอาการปวดศีรษะที่เป็นอาจคงอยู่เป็นชั่วโมง เป็นวัน หรือนานเป็นเดือนก็มี
ไมเกรนส่วนใหญ่จะพบว่าเป็นปัญหาของวัยรุ่น และคนหนุ่มสาวมากกว่าคนสูงอายุหลายเท่า คนที่เป็นไมเกรนนั้นจะเป็นได้ตั้งแต่เด็กอายุ 7-8 ขวบ แต่ที่พบบ่อยจะเป็นช่วงวัยรุ่น อายุ 10-25 ปีขึ้น และจะเป็นผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย แต่พออายุมากขึ้นเรื่อย ๆ อาการจะน้อยลง ซึ่งเชื่อว่าน่าจะเกี่ยวข้องกับฮอร์โมนบางอย่าง ผู้หญิงบางคนเป็นไมเกรนมาตลอด แต่พอถึงวัยหมดประจำเดือนอาการปวดไมเกรนกลับหายไปด้วย
ศ.ดร.ภักดี กล่าวว่า สำหรับสาเหตุและกลไกการเกิดอาการของไมเกรนยังไม่เป็นที่เข้าใจกันดีนัก จึงยังไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ มีเพียงแค่ยาบรรเทา หรือป้องกันอาการปวดได้ โดยอาจรับประทานยากลุ่มบรรเทาปวด เช่น ยาพาราเซตามอล ฯลฯ ซึ่งเป็นยาที่ทุกครอบครัวมักมีอยู่ประจำบ้าน เพื่อรักษาอาการปวด แต่หากยังไม่หายก็อาจไปพบแพทย์ หรือเภสัชกรให้จัดยาบรรเทาปวดที่เหมาะสมให้ อย่างไรก็ตาม ตามทฤษฎีหลักเชื่อว่าไมเกรนเกิดจากการมีปัจจัยไปกระตุ้นให้เส้นประสาทในสมอง หลั่งสารบางอย่างออกมา และสารพวกนี้ไปทำให้เส้นเลือดขยายตัว และการที่เส้นเลือดขยายตัวนี้เอง ทำให้เกิดอาการปวดศีรษะ เนื่องจากในเส้นเลือดของคนเรา จะมีเส้นเลือดเล็ก ๆ ฝอย ๆ เป็นประสาทพันรอบ พอเส้นเลือดขยายก็จะไปยืดเส้นประสาทที่พันรอบเส้นเลือดนี้ด้วย ก็จะเป็นการกระตุ้นให้เกิดอาการป่วยได้
ศ.ดร.ภักดี กล่าวต่อว่า แม้ว่าไมเกรนไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ แต่เมื่อใดที่ปวดศีรษะจากไมเกรน ก็ยังสามารถบรรเทาอาการได้ด้วยยา นอกจากนี้แล้ว ยังมีวิธีการปฎิบัติตัวเพื่อป้องกัน ลด และบรรเทาอาการปวด โดยไม่ต้องพึ่งยาด้วยวิธีง่าย ๆ ดังนี้ ประการแรก ต้องพักผ่อนนอนหลับไม่เพียงพอ ไม่นอนดึกจนเกินไป เพราะหากพักผ่อนน้อย นอกจากจะกระตุ้นให้เกิดอาการปวดศีรษะไมเกรนแล้ว ยังจะไปกระตุ้นให้เกิดอาการปวดกล้ามเนื้ออีกด้วย ประการที่สอง ควรออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ เช่น การเดินเร็ว การเต้นแอโรบิก หรือการว่ายน้ำ เป็นต้น โดยทำอย่างน้อยสัปดาห์ละ 3 วัน วันละ 30 นาทีติดต่อกัน
ประการที่สาม ต้องมีการควบคุม หรือวิธีการขจัดความเครียด โดยการหาเวลานั่งพัก หลับตา หยุดคิดเรื่องราวต่าง ๆ และผ่อนคลายกล้ามเนื้อ หรือการทำสมาธิ ฝึกกำหนดลมหายใจเข้า – ออก อย่างมีสติ ประการที่สี่ ควรระมัดระวังเรื่องอาหารการกิน ต้องกินอาหารที่มีประโยชน์ อย่าอดอาหาร และควรหลีกเลี่ยงอาหารที่กระตุ้นไมเกรน จำพวกแอลกอฮอล์ โดยเฉพาะไวน์แดง รวมทั้งหลีกเลี่ยงผงชูรส เนย นม ช็อกโกแลต กล้วยหอม ผลไม้ประเภทส้ม กาแฟ และชา
ประการที่ห้า หลักเลี่ยงการอยู่ในสภาพแวดล้อมที่อาจกระตุ้นให้เกิดอาการปวดไมเกรนได้ เช่น สถานที่ที่มีแดดจัด อากาศร้อน เสียงดัง ไฟกระพริบ หรือหลีกเลี่ยงกลิ่นที่รุนแรง เช่น กลิ่นน้ำหอม และกลิ่นบุหรี่ เป็นต้น ประการที่หก งดการสูบบุหรี่ และประการสุดท้าย หากเกิดอาการปวด ควรลดหรือบรรเทาอาการปวดไมเกรน โดยรีบใช้น้ำแข็งประคบ โดยนำผ้าขนหนูห่อก้อนน้ำแข็งไว้ แล้วนำมาลูบช้า ๆ บริเวณที่ปวด ก็จะทำให้รู้สึกดีขึ้นได้ หรือจะใช้น้ำมันสะระแหน่ นวดบริเวณที่ปวดก็จะช่วยให้อาการปวดศีรษะทุเลาลงได้
ที่มา : http://www.board.fortunestars.com/board.php?newsId=676
ความคิดเห็นนี้ถูกผู้เขียนลบ
ตอบลบความคิดเห็นนี้ถูกผู้เขียนลบ
ตอบลบนางสาว ธิดารัตน์ นาคาพงษ์
ตอบลบ52SP2760005 ตอนเรียน ZA
การปฎิบัติตนเพื่อหลีกเลี่ยงอาการนอนไม่หลับและความวิตกกังวล
-สำรวจว่ามีสิ่งใดที่ผิดไปจากปกติที่เคยเป็นหรือเคยปฎิบัติ และอาจจะเป็นต้นตอของอาการได้ เช่นสภาวะตึงเครียด การดื่มชาหรือกาแฟก่อนนอนหรือมากเกินไป การใช้ยาบางประเภท การเกิดการเจ็บป่วย การเปลี่ยนสถานที่ สภาพแวดล้อมของการนอน การเดินทางไปต่างประเทศซึ่งอยู่คนละซีกโลก เมื่อต้นเหตุนั้นหมดไปหรือผ่านไปก็จะกลับสู่สภาวะปกติเช่นเดิม
-อย่าพยายามสร้างภาวะกดดันหรือภาวะเครียดให้กับตนเอง เช่นไม่วางแผนการทำงานล่วงหน้า เกียจคร้านการทำงาน ใช้จ่ายเงินอย่างสุรุ่ยสุร่าย เล่นการพนัน ไม่รักาาสุขภาพอนามัยตัวเอง
-ใช้ธรรมและการปฎิบัติธรรมเข้าช่วยกล่อมเกลาจิตใจให้สงบ ร่มเย็น ปล่อยวาง ไม่วิตกทุกข์ร้อนกับการเปลี่ยนแปลงอันเป็นธรรมดาของโลก
-ไม่ควรหมกมุ่นคิดหรือใจจดใจจ่ออยู่กับอาการที่เกิดขึ้น เพราะจะทำให้อาการยิ่งทวีมากขึ้น ควรทำตัวให้ผ่อนคลาย ทำใจปลอดโปร่ง ยอมรับสภาพที่เป็นอยู่ และดำเนินชีวิตต่อไปตามปกติ
การรักษาการนอนไม่หลับโดยไม่ใช้ยา (Nonpharmacological treatments)
การรักษาอาการนอนไม่หลับโดยไม่ใช้ยามีความสำคัญ และควรเป็นข้อปฏิบัติ ก่อนการรักษาโดยใช้ยา ถ้าอาการนอนไม่หลับ ไม่รุนแรงจนเกินไป ปกติจะเริ่มด้วย การปรับพฤติกรรมการนอน เช่น เข้านอน ให้เป็นเวลาสม่ำเสมอ และไม่ดึกเกินไป หลีกเลี่ยงการนอน ในช่วงกลางวัน ออกกำลังกายสม่ำเสมอ งดดื่มน้ำชา กาแฟ ในตอนเย็น และก่อนนอน หลีกเลี่ยงการรับประทานอาหาร มากเกินไป เพราะจะทำให้อึดอัด ควรรับประทานอาหารอร่อย ๆ หรือนมอุ่น จะช่วยให้หลับดีขึ้น หลีกเลี่ยงการเสพ ยาเสพย์ติด ให้ตั้งนาฬิกาปลุก และตื่นนอนเวลาเดียวกันทุกวัน ไม่ว่าจะนอนได้มาก หรือน้อย เพียงใด การทำเช่นนี้ จะทำให้ร่างกายคุ้นเคย กับจังหวะการนอน และการตื่น คงที่ ควรจัดห้องนอน ให้สะอาด มีเสียงกวนน้อย แสงไม่สว่างเกินไป อุณหภูมิไม่ร้อน หรือเย็นเกินไป เป็นต้น ถ้าเปลี่ยนพฤติกรรม การนอนแล้ว ยังไม่ได้ผล อาจเสริมการบำบัด ทางจิตเวชด้วย ถ้าไม่ได้ผล จึงจะพิจารณาใช้ยานอนหลับได้ แต่ก็ควรใช้เพียงชั่วคราว เท่านั้น
Sleep hygiene information
อนามัยของการนอนที่ไม่ดี หมายถึง การกระทำบางอย่างที่รบกวน การนอนในเวลากลางคืน และรบกวน ความตื่นตัว ในเวลากลางวัน ได้แก่ การงีบหลับในเวลากลางวัน อยู่บนที่นอนโดยไม่หลับ เป็นเวลานาน มีเวลาการนอน ที่ไม่แน่นอน ใช้สารซึ่งทำให้นอนไม่หลับ เช่น กาแฟ nicotine สุรา ออกกำลังกายก่อนเวลานอน มีกิจกรรมที่ทำให้ เกิดความตื่นเต้น หรือไม่สบายใจ ก่อนเวลานอน มีสิ่งแวดล้อมการนอนที่ไม่ดี เช่น ที่นอนไม่สบาย สว่างมากไป อากาศร้อนหรือหนาวมากไป เสียงดังมากไป
การให้ความรู้เกี่ยวกับการนอนและการนอนที่ดี เป็นสิ่งสำคัญ ในการรักษาอาการนอนไม่หลับ นอกจากนี้ ควรบอกถึงความต้องการการนอนที่ไม่เท่ากันของแต่ละคน และการเปลี่ยนแปลงของการนอน ในผู้สูงอายุ อย่างไรก็ตาม การให้ข้อมูลโดยใช้แผ่นพับเพียงอย่างเดียว ไม่ค่อยประสบความสำเร็จ
Stimulus control instructions
เป็นวิธีการที่จะช่วยให้ผู้นอนไม่หลับมีรูปแบบการนอน และการตื่นที่คงที่ ช่วยลดการกระทำที่รบกวนการนอน โดยมีกฏที่ผู้ป่วยต้องปฏิบัติดังนี้
1.นอนเมื่อง่วงนอนเท่านั้น
2.ใช้ที่นอนสำหรับนอนเท่านั้น ไม่ใช้อ่านหนังสือ ดูโทรทัศน์ หรือกินอาหาร ยกเว้นกิจกรรมทางเพศ
3.ถ้านอนโดยไม่หลับเป็นเวลามากกว่า 10 นาที (ไม่แนะนำให้มองดูนาฬิกา) ให้ลุกขึ้นและออกไปห้องอื่น อยู่อย่างนั้นเท่าที่ต้องการ จากนั้นจึงกลับเข้าห้องนอนเพื่อลองนอนใหม่ เป้าหมายก็เพื่อเชื่อมโยง ระหว่างที่นอน กับการนอนหลับ
4.ทำตามข้อ 3 จนกว่าจะรู้สึกว่า การเข้าห้องนอนทำให้ง่วงนอน
5.ตั้งเวลาการตื่น และลุกขึ้นในเวลาเดียวกันทุกเช้า โดยไม่คำนึงถึงระยะเวลาการนอน ว่านอนหลับได้กี่ชั่วโมง สิ่งนี้จะช่วยให้ร่างกายมีจังหวะการนอนที่คงที่
6.ห้ามงีบหลับในเวลากลางวัน
ที่มา:
http://www.pharm.chula.ac.th/osotsala/sleep/4Nonpharmacological_Treatment/Nonpharmacological_Treatment.htm
นาย ชนก พักตร์ฉัตร์ทัน 52SP2760060 ZA
ตอบลบFunctional Food ทางเลือกใหม่ของวงการแพทย์
วงการแพทย์ทั่วโลก กำลังก้าวเข้าสู่ยุคใหม่ทางด้านการรักษา หลังจากกลุ่มแพทย์ นักวิชาการ และนักวิทยาศาสตร์หัวก้าวหน้าในสหรัฐอเมริกา รวมตัวกันตั้งสถาบันอินสติติว ฟังก์ชั่นนัล ออฟ เมดิซีน ทำงานอย่างหนักในการวิจัยและพัฒนาอาวุธใหม่ด้านการรักษาโรค ซึ่งล่าสุดได้ประกาศตัวเข้าสู่ยุคของฟังก์ชั่นนัล ฟู้ด ทฤษฎีใหม่ในการรักษาผู้ป่วยแบบ ธรรมชาติบำบัด เป็นการรักษาที่เน้นในเชิงป้องกันมากกว่าการรักษา และใช้อาหารแทนยา
อย่างไรก็ดี ทางเลือกใหม่ของการรักษาโรคด้วยแนวรักษาแบบธรรมชาติบำบัด " ฟังก์ชั่นนัล ฟู้ด " ยังไม่ได้รับความแพร่หลายมากนัก โดยเฉพาะในกลุ่มแพทย์จากฝั่งตะวันตก รวมไปถึงกลุ่มแพทย์ในสหรัฐอเมริกาเอง เพราะความก้าวหน้าในการพัฒนายังอยู่ในวงจำกัด และยังเห็นผลพิสูจน์ไม่ชัดเจนนัก ทำให้เป็นเรื่องยากสำหรับทีมวิจัยและนักวิทยาศาสตร์ในการโน้มน้าวกลุ่มแพทย์ ให้มีความเห็นแตกต่างไปจากแนวคิดเดิมๆ ดังนั้น ปัญหาของการเผยแพร่ข้อมูลใหม่นี้ จึงเป็นการยากที่จะเปลี่ยนทัศนคติของแพทย์ ที่จะเปลี่ยนวิธีการรักษาผู้ป่วยจากจ่ายยามาเป็นการให้อาหารแทน กลุ่มนักวิจัยหัวก้าวหน้าที่ระบุว่า ภายหลังจากที่ได้เพียรพยายามกระจายความคิดใหม่ไปสู่วงการแพทย์ให้กระจายสู่ วงกว้างมากขึ้น พบว่ามีแนวโน้มที่ดี แพทย์จากหลายประเทศที่ได้เริ่มรับฟังการแนะนำเรื่อง ฟังก์ชั่นนัล ฟู้ด จากทีมดังกล่าว ก็มีแนวโน้มในการเปลี่ยนทัศนคติในการรักษาโรคจากการจ่ายยาเป็นอาหารมากขึ้น
ปรากฎการณ์ใหม่ที่ตอกย้ำแนวโน้มการรักษาด้วยวิธีการดังกล่าวเห็นได้จากการ เปลี่ยนแปลงในวงการอุตสาหกรรมยา กลุ่มบริษัทยายักษ์ใหญ่ในสหรัฐและประเทศอื่นๆ ในยุโรป ได้ปรับตัวรับกับกระแสใหม่กันอย่างออกหน้าออกตา ด้วยการจัดตั้งแผนกใหม่ขึ้นมา เพื่อวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ผลิตจากธัญพืชและสมุนไพร ซึ่งเป็นแนวโน้มใหม่ของการบริโภค
การรับมือของบริษัทยา อาจจะเป็นการตอบรับแนวทางการรักษาใหม่ดังกล่าว ซึ่งเชื่อว่าแพทย์ทั่วโลกจะใช้สัญญาณนี้เป็นเครื่องตัดสินใจในการเปลี่ยน ทัศนคติใหม่ในการรักษาผู้ป่วย
Functional Food ( ฟังก์ชั่นนัลฟู้ด ) เป็นวิธีใหม่ของการรักษาซึ่งเป็นหนึ่งในกระบวนการ ธรรมชาติบำบัด โดยนำธัญพืชมาสกัดผ่านกรรมวิธีการผลิตด้วยเทคโนโลยีชั้นสูง ซึ่งมีผลโดยตรงต่อการกระตุ้นร่างกายโดยตรง เมื่อบริโภคเข้าไปในเซลล์หรือร่างกาย โดยจะมีผลโดยตรงต่อการทำงานระบบทางเดินอาหารในร่างกาย มีบริษัทผู้ผลิตอาหารและยาทั่วโลกให้ความสนใจ โดยเฉพาะประเทศที่เป็นตลาดใหญ่เรื่องอาหารเสริมสุขภาพ เช่นในสหรัฐฯ ญี่ปุ่น และประเทศในเอเชีย
สำหรับประเทศไทย แนวทางการรักษาแบบ ธรรมชาติบำบัด ได้รับการจุดประกายเมื่อ 2-3 ปีที่ผ่านมา ทั้งการรักษาด้วยสมุนไพร อาหารชีวจิต แม้ในระยะแรกจะได้รับกระแสต่อต้านจากหลายฝ่าย แต่ในที่สุด แนวทางการรักษาด้วยวิธีนี้กลับได้รับการยอมรับจากสาธารณสุขเพิ่มมากขึ้น กระทั่งต่อมา ได้ถูกบรรจุให้เป็นหนึ่งในการรักษาโรคในปัจจุบัน ซึ่งเรียกว่า " การแพทย์ทางเลือก " ซึ่งให้สิทธิผู้ป่วยได้มีสิทธิในการเลือกวิธีการรักษาตามความเชื่อและแนวคิด ของตัวเอง ดังนั้น แพทย์ทางเลือก จึงเป็นกระแสใหม่ของโลกที่ได้เกิดขึ้นในเมืองไทยเช่นกัน เป็นการเปลี่ยนแปลงกระบวนการทางความคิดใหม่ด้านการรักษา และเป็นการปฏิวัติทางความคิดใหม่ทางการแพทย์
ที่มา : Functional Food ทางเลือกใหม่ของวงการแพทย์
นาย อรรถวุฒิ งามสูงเนิน 52SP2760022 ZA
ตอบลบทางเลือกใหม่ในการรักษาโรคแผลเรื้อรังจากเบาหวาน
ปัจจุบันประเทศไทยมีผู้เป็นเบาหวานที่ถูกตัดขา 40,000 คนต่อปี ค่าใช้จ่ายในการผ่าตัดขา รักษาและดูแลแผลในโรงพยาบาลสำหรับผู้เป็นเบาหวาน และมีแผลที่เท้าซึ่งจำเป็นต้องตัดขา จะเสียค่าใช้จ่ายประมาณ 1 ล้านบาท
ทางเลือกใหม่ในการรักษาโรคแผลเรื้อรังจากเบาหวาน
การนำนวัตกรรม “สเต็มเซลล์” รักษาแผลผู้ป่วยโรคเบาหวานหายในเวลา 2-3 เดือน เป็นทางเลือกใหม่ในการรักษาโรคแผลเรื้อรังจากเบาหวาน โดยฉีดสเตมเซลล์ อันเป็นเซลล์ต้นกำเนิด ให้กับผู้ที่เป็นเบาหวานและเป็นแผลที่เท้า เป็นแผลเรื้อรังและรักษาไม่หาย พบว่าแผลที่เท้าที่เป็นอยู่ดีขึ้นมากในเวลาอันรวดเร็วอย่างชัดเจน ผู้ป่วยจะสร้างเนื้อเยื่อของเซลล์และส่วนของเส้นเลือดขึ้นใหม่ ซึ่งสามารถพิสูจน์ได้โดยใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่
ผลการรักษาแผลเบาหวานโดยใช้สเตมเซลล์ พบว่าจากเดิมแผลของผู้ป่วยขนาดกว้าง 4.5 ซม. มีหนองและอักเสบ แต่เมื่อใช้สเตมเซลล์ฉีดเข้าไปในร่างกายแล้ว 15 วันต่อมา พบว่าแผลดีขึ้นมากและขนาดของแผลค่อยๆ ลดลงจนหายไปได้ในเวลา 2-3 เดือน
ประหยัดค่าใช้จ่าย
การรักษาโรคแผลเรื้อรังจากเบาหวานด้วยสเต็มเซลล์ จะช่วยลดภาวะความพิการและลดค่าใช้จ่ายได้ถึง 32,000 ล้านบาทต่อปี ในขณะที่ประเทศไทยมีผู้เป็นเบาหวานที่ถูกตัดขา 40,000 คนต่อปี
ค่าใช้จ่ายในการผ่าตัดขา รักษาและดูแลแผลในโรงพยาบาลสำหรับผู้เป็นเบาหวาน และมีแผลที่เท้าซึ่งจำเป็นต้องตัดขา จะเสียค่าใช้จ่ายประมาณ 1 ล้านบาท เปรียบเทียบกับค่าใช้จ่ายในการเก็บสเต็มเซลล์และฉีดกลับเพื่อรักษา ค่าใช้จ่ายประมาณ 200,000 บาท การรักษาโดยการใช้สเต็มเซลล์จะประหยัดค่าใช้จ่ายได้ถึง 32,000 ล้านบาทต่อปีและผู้เป็นเบาหวานไม่ต้องถูกตัดขา ทำให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น
แนวความคิดของวิธีรักษาแบบใหม่
1. ปัจจุบันการรักษาด้วยสเต็มเซลล์ได้ถูกนำไปประยุกต์ใช้มากมายหลายอย่าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการนำไปใช้รักษาเพื่อให้เกิดเส้นเลือดใหม่ เรียกวิธีรักษาดังกล่าวว่า angiogenesis therapy
2. ในช่วงแรกได้มีการทดลองนำมาใช้กับโรคของหลอดเลือดส่วนปลาย peripheral vascular disease พบว่าได้ผลดีและเป็นวิธีที่ปลอดภัย
3. ผู้ป่วยได้รับการฉีด recombinant human G-CSF ในขนาด 600 ไมโครกรัมต่อวัน เป็นเวลา 5 วัน เพื่อกระตุ้น stem/progenitor cells
4. นำเซลล์เม็ดเลือดขาวชนิด PBMNCs มาฉึดเข้าไปในกล้ามเนื้อบริเวณแผลดังกล่าว
5. ติดตามผลการรักษาด้วย laser Doppler blood perfusion และวัดความดันเฉลี่ย mean ankle-brachial pressure
6. ปัจจุบันจึงเกิดเป็นแนวทางการรักษาใหม่ที่ว่า autologous transplantation of G-CSF-mobilized PBMNCs สามารถนำมาใช้รักษาโรคแผลเรื้อรังจากเบาหวานได้ผลดี เป็นวิธีที่ง่ายและปลอดภัย
7. รายงานในวารสารทางการแพทย์ต่างประเทศ พบมีการรักษาด้วยวิธีนี้มาตั้งแต่ปี 2005 โดยแพทย์ในประเทศญี่ปุ่นและประเทศจีนได้นำมาใช้อย่างแพร่หลาย
ที่มา : http://www.bangkokhealth.com/index.php/2009-01-19-09-28-11/671-2009-01-21-02-20-20
นาย วัชรกร อุดมกฤตยา 52SP2760043 ZA
ตอบลบเชื่อหรือไม่ออกซิเจนสามารถชลอความชรา ลดความเสี่ยงการเกิดโรคได้ดีที่สุด
เนื่องจากประสบการณ์จากคนรอบข้างที่ป่วย ไม่ว่าจะเป็นเพื่อนที่เป็นมะเร็ง, คุณแม่ที่ป่วยบ่อยปวดโน้นปวดนี้ และยายของเพื่อนที่เป็นเบาหวาน ไม่เคยมีความหวังว่าจะดีขึ้น เพราะเนื่องจากหาหมอมานานหลายปี แต่ก็ไม่หาย จนเกือบจะโดนตัดขาทิ้ง แต่ว่ามีเพื่อนที่แนะนำให้รู้จักกับ Adoxy (เป็นนวัฒกรรม มาจากอเมริกาสามารถเข้าไปดูได้ที่ http://www.thaicellfood.com/html/adoxy_everett.html) และใช้ร่วมกับการรักษาของแพทย์ อาการก็ค่อยๆดีขึ้นอย่างเป็นลำดับ จนหายจากอาการเจ็บป่วย คุณยายก็ไม่ต้องตัดขา ทำให้คนป่วยมีความหวังมากขึ้น
Adoxy ไม่ใช่ยา แต่เป็นอาหารเสริมที่ช่วยให้ประสิทธิภาพในการดูแลรักษาสุขภาพให้แข็งแรง และมีวิตามิน เอ็นไซม์ และแร่ธาตุที่มีร่างกายต้องการ โดยผ่านกระบวนการต่างๆ จนกลายเป็นออกซิเจนน้ำที่เซลล์ของร่างกายต้องการเป็นอย่างยิ่ง เมื่อเซลล์เราแข็งแรงเราก็จะแก่ช้าลง เพราะความแก่ชราเกิดจากอีกสาเหตุหนึ่งคือสภาพเซลล์ในร่างกายเสื่อมลง และขาดออกซิเจน จึงทำให้เซลล์ในร่างกายเสื่อมสภาพ ทำให้เกิดการเสื่อมสภาพทางกายภาพโดยสะท้อนออกมาจากภายในเพราะเซลล์ของเราเสื่อมสภาพตามอายุ สังเกตุดูว่าคนที่ขาดน้ำผิวจะเหี่ยวเร็ว และคนที่ประสบความชราเร็วก็จะมีโรคภัยไข้เจ็บตามมาเยอะแยะ เพราะในน้ำมีออกซิเจน ดังนั้น Adoxy จะไปช่วยการแตกตัวของออกซิเจนได้ดีมาก แล้วช่วยทำให้เซลล์แข็งแรงขึ้น เพราะเราป่วยเนื่องจากเซลล์ในร่างกายของเราป่วย เพราะขาดออกซิเจน ก็เหมือนกันคนเราที่ไม่สามารถขาดออกซิเจน ถ้าขาดเราก็ตายเซลล์ในร่างกายเราก็เช่นกัน
ผลิตภัณฑ์อาหาร ADOXY (เอโดซี) Cellfood เพื่อสุขภาพของคุณ
ADOXY (เอโดซี)
เป็นผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่มีสูตรเฉพาะ ประกอบด้วยจมูกข้าวสาลีผง โปรตีนสกัดจากถั่วเหลือง สารสกัดจากแครอท ผงมะละกอ สารสกัดจากงาดำ สารสกัดจากผักชี ผงผักโขม สารสกัดจากถั่วขาว แอล-ลิวซีน และแอล-ไลซีน แร่ธาตุหลัก และธาตุรอง อุดมด้วยแร่ธาตุ 78 ชนิด เอ็นไซม์ 34 ชนิด กรดอะมิโน 17 ชนิด และดิวทีเรียมออกไซด์ ที่แยกโมเลกุล ของน้ำออกเป็นประจุบวกไฮโดรเจน และ ประจุลบออกซิเจน ช่วยกันจับตัวอนุมูลอิสระให้สลายตัวกลายเป็นออกซิเจนบริสุทธิ์ ด้วยกระบวนการผลิตระดับนาโนเทคโนโลยีที่สามารถทำให้สารประกอบ แร่ธาตุทั้งหมดอยู่ในรูป คอลลอย์ ที่มีขนาดเล็กมาก สามารถนำพาแร่ธาตุเอ็นไซม์ และกรดอะมิโน ซึมเข้าสู่ผนังเซลล์ทุกส่วนในร่างกายทำให้รับแร่ธาตุได้สมบูรณ์ครบถ้วน
อาหารเสริมสุขภาพระดับเซลล์ อาหารระดับ Cell นักวิทยาศาสตร์ต่างยอมรับว่าโรค และโรคการติดเชื้อต่างๆ ล้วนมีสาแหตุมาจากการที่ เซลล์ในระดับเซลลูล่าของร่างกายไม่ได้รับออกซิเจนอย่างเพียงพอ การที่ออกซิเจนด้อยประสิทธิภาพลงก่อให้ร่างกายมีโอกาสสัมพันธ์กับการเจ็บไข้ได้ป่วย และเป็นโรคต่างๆได้ง่ายมาหยิ่งขึ้น ซึ่งจะเห็นได้จากประชากรโลกในทุกวันนี้ บวกกับวิถีชีวิตของคนยากจน การสูบบุหรี่ ขาดการออกกำลังกาย และขาดการทำกิจกรรมต่างๆ ที่มีผลทำให้ออกซิเจนด้อยประสิทธิภาพลง ทำให้ร่างกายเกิดเป็นโรคของความเสื่อมต่างๆ ได้แก่ (โรคไขข้ออักเสบ โรคหัวใจ โรคไขมันเกาะตามผนังหลอดเลือด เป็นต้น)
เป็นที่เชื่อกันว่ามันเป็นหลักการเบื้องต้นของกลุ่มอาการโรคที่เป็นสาเหตุทำให้เกิดโรคอ่อนเพลีย ไม่มีกำลัง และการติดเชื้อ ล้วนเป็นสัญญาณที่บ่งชี้ได้ว่าออกซิเจนด้อยประสิทธิภาพลง และนำไปสู่การเกิดโรคความเสื่อมอื่นๆ ช่วยเพิ่มออกซิเจนให้กับเซลล์ในร่างกาย ADOXY (เอโดซี) เป็นผลิตภัณฑ์เพียงชนิดเดียวที่มีความโดดเด่นในการให้ออกซิเจนแก่เซลล์ โดยใช้เทคโนโลยีการแยกโมเลกุลน้ำ ทำให้แยกตัวออกเป็นประจุบวกของไฮโดรเจน และประจุลบของออกซิเจนซึ่งจะทำการจับตัวกับอนุมูลอิสระที่มีโทษต่อร่างกาย เกิดเป็นออกซิเจนบริสุทธิ์ ซึ่งร่างการเราต้องการเพื่อมาทำหน้าที่เสมือนหนึ่งเป็นเชื้อเพลิงขับเคลื่อนระบบต่างๆ ปฏิกิริยาเคมีต่างๆ และเป็นตัวขจัดสารพิษออกจากร่างกาย การที่เซลล์ได้รับออกซิเจนไม่เพียงพอ เป็นสาเหตุหลักในการเกิดโรคต่างๆ อาทิเช่น โรคมะเร็ง โรคความจำเสื่อม (Alzheimer’s Diseases) และโรคไมเกรน เป็นต้น
ได้รับใบอนุญาติ อย. 10-1-30547-1-0037
ได้รับรองมาตราฐานการผลิตจาก GMP (Good Manufacturing Practice) เป็นที่ยอมรับทั่วโลก ได้รับตราฮารานรับรอง
รับประทานง่ายเพื่ยงหยดลงในน้ำหรือน้ำผลไม้ 1 ขวด ทานได้ประมาณ 1-2 เดือนค่ะ
มีวิธีใช้ 2 วีธีค่ะ คือ
1ดื่ม
2พ่นที่แผล สด ผื่นคัน หรือแผลเบาหวาน ใช้ได้ดีมากค่ะ โดยเฉพาะแผลเบาหวาน
ที่มา : http://www.jaideeplaza.com
นาย สิทธิชัย ทับเทศ 52SP2760029 ZA
ตอบลบเปิดตำรายาอายุวัฒนะ ยาใจยากาย อยู่ได้ถึงร้อยปี
อ.วิโรจน์ กันทาสุข โครงการพัฒนาภูมิปัญญาด้านสุขภาพพื้นบ้านล้านนา เพื่อการสร้างเสริมสุขภาพ มูลนิธิพัฒนาศักยภาพชุมชน อธิบายว่า ยาอายุวัฒนะ ในความหมายของผู้รู้ หมอเมืองล้านนา คือยาที่ทำให้อายุยืนยาว เป็นยาบำรุงกำลัง บำรุงร่างกาย ทำให้ร่างกายสมบูรณ์แข็งแรง ไม่มีโรคภัย ธาตุสมบูรณ์ เลือดลมดี เดินสะดวก รับประทานอาหารได้ นอนหลับสบาย ทำงานไม่รู้เหน็ดเหนื่อย
“หมอเมืองมักจะพูดกันว่า อย่านอนหงายรอฟ้าผ่า นั่นหมายความว่า อย่าปล่อยวางเฉยรอรับโรคลูกเดียว จงคิดเสมอว่า กาลเวลา วัย ที่ผ่านไป เครื่องยนต์ของร่างกายทำงานตลอดเวลา ตลอดวัน ตลอดเดือน ตลอดปี ต้องเกิดการสึกหรอเสื่อมโทรมลงได้ สมุนไพรยาอายุวัฒนะเสมือนหนึ่งท่านได้ตรวจล้างเครื่องยนต์ เปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องในกำหนดเวลาที่สมควร แล้วเครื่องยนต์ของท่านก็จะใช้การต่อไปได้แน่นอน”
เมื่อพูดถึงตำรายาอายุวัฒนะนั้น อ.วิโรจน์บอกว่า ตำรายาอายุวัฒนะเป็นยาสมุนไพรที่มีการใช้มาเป็นเวลานาน มีการสืบทอดให้คนรุ่นใหม่ได้ศึกษาเรียนรู้กันไม่ว่าจะเป็นการสืบทอดจากปู่ ย่า ตา ยาย บิดา หรือจากการบวชเรียน จากการศึกษาจากตำรา เช่น สมุดใบลาน ซึ่งส่วนใหญ่ภาษาที่ใช้จะเป็นภาษาล้านนา ดังนั้นผู้ที่จะเป็นหมอเมืองส่วนใหญ่จะเคยบวชเรียนมา และมีการศึกษาภาษาล้านนามาก่อน
บุญ อุปนันท์ หรือหมอบุญ ซึ่งเป็นหมอเมือง หรือหมอพื้นบ้าน ให้ความหมายของคำว่ายาใจในแบบฉบับของล้านนาว่า สุขภาพจะดีได้ต้องยาใจก่อนยากาย
หมอบุญบอกเล่าประสบการณ์ในการดูแลผู้ป่วยว่า “บางคนร่างกายเจ็บป่วยนิดเดียวไม่มาก แต่ใจห่อเหี่ยว ใจหนักกว่ากาย เราจึงต้องหาทางเยียวยารักษาใจก่อน จิตใจทุกคนมีหมอรักษาอยู่ในนั้นอยู่แล้ว ถ้าใจเราเยือกเย็น ใจสงบ ร่างกายจะสงบ แล้วการรักษาก็จะประสบผล”
หมอบุญ ให้คำแนะนำในการใช้ยาอายุวัฒนะว่า จะต้องดูแลรักษาร่างกายให้ดี ไม่ว่าจะเป็นด้านอาหาร การปฏิบัติตนที่ดี ยาอายุวัฒนะมีหลายสูตร หลายตำรา ส่วนใหญ่ยาอายุวัฒนะจะใช้กับผู้ใหญ่หรือผู้สูงอายุ เพราะยาอายุวัฒนะเป็นยาที่ใช้เป็นยาบำรุงกำลัง เสริมสร้างกำลังให้แข็งแรง โดยรูปแบบในการใช้มี 3 แบบ คือ ยาลูกกลอน ยาต้ม และยาดอง
อ.วิโรจน์ ขยายความเพิ่มเติมว่า วิธีคิดของหมอเมือง คือ การไม่มองข้ามเรื่องของจิตใจ รักษากายควบคู่กับการรักษาใจ มิติของคำว่า “หาย” จากการเจ็บไข้ได้ป่วยของหมอพื้นบ้าน คือ ถ้านอนป่วยมา ก็สามารถเดินออกไปได้ ไม่ได้หมายถึงการฆ่าเชื้อโรคให้หมดสิ้นไปจากร่างกาย ซึ่งตรงนี้เป็นจุดที่ทำให้คนไม่เข้าใจเรื่องการรักษาโรคของหมอพื้นบ้าน และตัดสินว่าเป็นการรักษาแบบเถื่อน และหมอพื้นบ้านที่เป็นที่พึ่งของชาวบ้านก็กลายเป็นหมอเถื่อน
ที่สุดแล้ว อ.วิโรจน์บอกว่า ยาอายุวัฒนะ จึงไม่ใช่อะไรอื่นไกล นอกจากเป็นทางเลือกให้ประชาชนดูแลสุขภาพตนเองได้ คือพึ่งพาตัวเองได้ “ที่ผ่านมาบทเรียนของหมอพื้นบ้านล้านนาบนสถานการณ์ การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสเอชไอวี ก็กลายเป็นโอกาสให้องค์ความรู้พื้นบ้านล้านนากลับฟื้นคืนมา ยาอายุวัฒนะแท้จริงแล้วอาจมีแง่คิดบางอย่างที่ฝังอยู่ว่า นี่เป็นเพียงส่วนหนึ่งในการดูแลสุขภาพตนเองของประชาชน ซึ่งแฝงไว้ด้วยปรัชญาและจริยธรรมขั้นสูง และถือเป็นประวัติศาสตร์หน้าใหม่ของการแพทย์ภาคประชาชน ที่ประชาชนมีทางเลือกในการดูแลสุขภาพ สิ่งสำคัญที่สุดของยาอายุวัฒนะคือ มีคำพูดว่า ยาอายุวัฒนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุด คือ จิตใจที่เข้มแข็ง”
ตำรายาอายุวัฒนะ
สูตรที่ 1 ใช้บอระเพ็ดและน้ำผึ้งเป็นส่วนประกอบที่สำคัญ เอาเปลือกที่เป็นเกล็ดของบอระเพ็ดออก ล้างน้ำให้สะอาด ซอยเป็นชิ้นเล็กๆแล้วนำไปผึ่งแดดสักประมาณ 2 แดด ใส่ในภาชนะ เทน้ำผึ้งลงให้ท่วมบอระเพ็ด ปิดให้มิดชิด 15 วันแล้วรับประทานได้ ครั้งละ 2-3 ชิ้น ก่อนอาหาร ทำให้เจริญอาหาร หลับสบาย ไม่ปวดเมื่อยเนื้อตัว จิตใจเยือกเย็น
สูตรที่ 2 เป็นยาบำรุงกำลังประเภทลูกกลอน ส่วนประกอบที่ต้องใช้คือ ต้นเหงือกปลาหมอ ใช้ทั้งราก ลำต้น ใบ ผล ดอก 2 ส่วน พริกไทยดำป่น 1 ส่วน และน้ำผึ้ง ซึ่งต้องเป็นน้ำผึ้งเดือน 5 ใส่จนกว่าจะปั้นเป็นก้อนได้ วิธีการปรุงคือ นำต้นเหงือกปลาหมอมาหั่นเป็นชิ้นเล็กๆ แล้วนำมาตากแดดให้แห้งแล้วนำมาตำให้ละเอียด นำมาผสมกับพริกไทยดำที่ป่นละเอียด ผสมกับน้ำผึ้งคนให้เข้ากันจนเหนียวแล้วปั้นเป็นก้อนเท่าเม็ดพุทรา นำไปผึ่งไว้ เก็บไว้รับประทานครั้งละ 1 เม็ดทุกเช้าเย็นเป็นประจำ จะทำให้ร่างกายแข็งแรง ไม่ปวดเมื่อยเนื้อตัว กินได้ นอนหลับสบาย
ที่มา : http://wave.prohosting.com/biotik/health8.html
นาย ธฤต อมาตยกุล 52SP2760041 ZA
ตอบลบความดันโลหิตสูงและระดับความดันที่เป็นปกติ
ค่าความดันปกติในผู้ใหญ่ที่มีอายุตั้งแต่ 18 ปีขึ้นไปคือค่าความดันโลหิตที่น้อยกว่า 120/80 มิลลิเมตรปรอท (มม ปรอท) ซึ่งในกรณีที่มีความดันโลหิตในช่วง 120/80 –139/89 มม ปรอท จัดอยู่ในกลุ่ม prehypertension ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีความเสี่ยงสูงต่อการเป็นโรคความดันโลหิตสูงต่อไป ส่วนผู้ป่วยที่จะได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นความดันโลหิตสูงนั้นได้แก่ผู้ที่มีค่าความดันโลหิตที่สูงกว่า140/90 มม ปรอท
ในการวัดความดันโลหิตนั้นก่อนวัดผู้ป่วยต้องพักอย่างน้อย 5 นาที ต้องไม่สูบบุหรี่ หรือดื่มกาแฟก่อนวัด 30 นาที ต้องนั่งในท่าที่สบายแขนอยู่ในระดับเดียวกับหัวใจ ซึ่งจะทำการวัดอย่างน้อย 2 ครั้งหรือมากกว่า โดยห่างกันอย่างน้อย 20 นาที
ชนิดของความดันโลหิตสูง
ความดันโลหิตสูงอาจแบ่งได้เป็น 2 ประเภทคือ
1)ชนิดที่ไม่ทราบสาเหตุ ซึ่งผู้ป่วยส่วนใหญ่ (มากกว่าร้อยละ 90) จะเป็นความดันโลหิตสูงโดยไม่ทราบสาเหตุแน่ชัด แต่มีปัจจัยเสี่ยงที่เกี่ยวข้องเช่น อายุ (> 60 ปี) ความเครียด การรับประทานรสเค็ม มีภาวะไขมันในเลือดสูง ป่วยเป็นโรคเบาหวาน สูบบุหรี่ ขาดการออกกำลังกาย เป็นต้น
2)ชนิดที่ทราบสาเหตุ ความดันโลหิตสูงชนิดนี้พบน้อยกว่าร้อยละ 10 ของผู้ป่วยความดันโลหิตสูงทั้งหมด เป็นความดันโลหิตสูงที่เกิดจากสาเหตุต่างๆได้หลายชนิดเช่น การป่วยเป็นโรคบางชนิดเช่นโรคทางระบบไต, Cushing’s syndrome หรือจากการใช้ยาบางประเภทเช่นยาคุมกำเนิด ยาสเตียรอยด์หรืออยู่ในภาวะตั้งครรภ์ซึ่งถ้ารักษาสาเหตุเหล่านี้แล้วความดันโลหิตก็จะกลับเข้าสู่ภาวะปกติได้
อาการแสดงของโรค
ผู้ป่วยความดันโลหิตสูงระยะเริ่มแรกส่วนใหญ่จะไม่มีอาการปรากฏให้เห็น แต่อาจถูกตรวจพบโดยการตรวจสุขภาพหรือเจ็บป่วยด้วยโรคอื่นแล้วแพทย์ตรวจวัดความดันโลหิตพบความผิดปกติ ในรายที่มีอาการนั้นส่วนใหญ่จะมีอาการมึนงง ตาพร่ามัว ปวดศีรษะตรงท้ายทอยโดยมักจะปวดตอนตื่นนอน เหนื่อยง่าย แน่นหน้าอก นอนไม่หลับ ในบางรายจะมีเลือดกำเดาออกบ่อยๆ
ผู้ป่วยจำเป็นต้องควบคุมดูแลความดันโลหิตให้เป็นปกติเพราะถ้าปล่อยทิ้งไว้จะเกิดภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงตามมาเช่นโรคหัวใจขาดเลือด โรคหัวใจล้มเหลว โรคหลอดเลือดสมอง (stroke) โรคไตวาย เป็นต้น
เป้าหมายในการรักษา
เป้าหมายระยะสั้น คือควบคุมระดับความดันโลหิต ให้ลดลงจนอยู่ในระดับที่น้อยกว่า140/90 มม ปรอท และในกรณีที่ผู้ป่วยมีโรคเบาหวานหรือโรคไตร่วมด้วยนั้นควรควบคุมระดับความดันโลหิตให้น้อยกว่า 130/80 มม ปรอท
เป้าหมายระยะยาว คือป้องกันการเกิดภาวะแทรกซ้อนต่างๆ และทำให้ผู้ป่วยมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น
แนวทางการรักษา
แนวทางรักษาผู้ป่วยนั้นแพทย์จะพิจารณาค่าความดันโลหิตร่วมกับสภาวะผู้ป่วยแต่ละราย เช่นความเสื่อมของอวัยวะสำคัญ (หัวใจ, ไต เป็นต้น), โรคที่ผู้ป่วยเป็นร่วมด้วย (โรคเบาหวาน, โรคหัวใจ, โรคไต เป็นต้น) ซึ่งแนวทางในการรักษาแบ่งออกได้เป็น
1.วิธีการที่ไม่ใช้ยาโดยการปรับเปลี่ยนลักษณะการดำเนินชีวิต
2.การใช้ยาลดความดันโลหิตซึ่งแพทย์จะพิจารณาใช้ยาในการรักษาผู้ป่วยร่วมกับการปรับลักษณะการดำเนินชีวิต
แนวทางการรักษาที่ไม่ใช้ยา
การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการดำรงชีวิต เช่นการลดน้ำหนัก หยุดสูบบุหรี่ งดอาหารเค็ม เพิ่มการออกกำลังกาย พักผ่อนให้เพียงพอและลดความเครียดเป็นสิ่งที่ทุกคนควรปฏิบัติเพื่อสุขภาพที่ดี สำหรับผู้ป่วยความดันโลหิตสูงที่ไม่รุนแรงและไม่มีภาวะแทรก ซ้อนอื่นนั้น การดูแลรักษาอาจเริ่มจากการให้ผู้ป่วยปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการดำรงชีวิตก่อน ทั้งนี้ผู้ป่วยความดันโลหิตสูงทุกราย รวมทั้งผู้ที่ได้รับยาลดความดันโลหิต และผู้ที่อยู่ในกลุ่ม prehypertension จำเป็นต้องปฏิบัติ เนื่องจากการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการดำรงชีวิตมีผลทำให้ความดันโลหิตลดลง เพิ่มประสิทธิผลของยาลดความดันและลดความเสี่ยงต่อโรคหัวใจและหลอดเลือดทำให้ผลการควบคุมความดันโลหิตดีขึ้น
ที่มา : http://www.pharm.chula.ac.th/clinic101_5/article/Radio77.htm
>>>> SAUNA (ซาวน่า)<<<<
ตอบลบการอาบเหงื่ออบซาวน่ากำลังเป็นที่ สนใจ ไม่เพียงมีประโยชน์ต่อสุขภาพ แต่ยังเอื้อถึงความผ่องพิสุทธิ์ของผิวพรรณ ซาวน่ามีหลายรูปแบบ แต่ละแบบก็อบตัวในอุณหภูมิที่แตกต่างกัน ซึ่งไม่ใช่จะเหมาะกับทุกคน และจะเข้าซาวน่ายังไงให้ได้ประโยชน์สูงสุด เรื่องนี้ก็สำคัญ
อบ ซาวน่าเพิ่มภูมิคุ้มกันหน้าหนาวได้ 2 เท่า
- หลังการอบซาวน่า คุณจะรู้สึกเนื้อตัวเบาโปร่ง จิตใจเคลิ้มสบาย เนื้อตัวสะอาด หลายคนอบซาวน่าเพื่อคลายเครียดจากภาระในชีวิตประจำวัน การอบตัวแต่ละครั้งร่างกายจะสูญเสียของเหลว ช่วงขณะนั้นเลือดคุณจะไม่หยุดแข็งตัว และระบบร่างกายจะทำการเติมเลือดให้เต็มด้วยน้ำเหลือง ร่างกายมีการทำความสะอาดตัวเองด้วยการหลั่งเหงื่อและขับของเสียต่าง ๆ ที่เกิดจากการเผาผลาญพลังงาน ขณะที่อุณหภูมิร่างกายสูงขึ้น 1 องศาเซลเซียส อุณหภูมิของผิวจะเพิ่มขึ้นจนถึง 10 องศาเซลเซียส
- ความร้อนจากซาวน่ากระตุ้นระบบโลหิตใต้ผิวหนัง ให้หมุนเวียนสูบฉีดว่องไว จัดสรรอาหารและออกซิเจนเข้าสู่เซลส์ผิวอย่างมากมาย ภาวะที่ต้องนั่งทำงานนิ่ง ๆ นาน ๆ ในออฟฟิศ โลหิตใต้ผิวจะหมุนเวียนเฉื่อยชาลง ส่งผลให้เกิดริ้วรอยเหี่ยวย่นถึงการสะสมของเซลลูไลต์ ขณะเข้าซาวน่า หลอดเลือดมีการขยายตัว พอคุณออกจากซาวน่า หลอดเลือดจะเกิดการหดตัว ภาวะที่หลอดเลือดหดและขยายตัวเช่นนี้ คือการออกกำลังกายให้กับหลอดเลือด
- ความร้อนจากการอบตัวยังกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกัน งานวิจัยจากสหรัฐอเมริการะบุว่า จำนวนเซลล์ที่ทำหน้าที่ทำลายและดูดสิ่งแปลกปลอมในร่างกาย อย่างเชื้อแบคทีเรียจะเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า ขณะที่หายใจสูดอากาศอุ่นร้อนในซาวน่าเข้าไป จะกระตุ้นให้มีการสูบฉีดโลหิตสู่เยื่อบุถึง 17 ครั้ง ภาวะเช่นนี้จะกระตุ้นการสร้างสารปกป้องร่างกายจำพวกฮีโมโกลบินให้มากขึ้น (ฮีโมโกลบิน เป็นโปรตีนในเลือดพลาสม่า ทำหน้าที่ด้านภูมิต้านทาน) จะมีการกระตุ้นดังกล่าวมาไม่ว่าคุณจะเข้าซาวน่าประเภทไหน
อบซาวน่า ให้ได้ประโยชน์สูงสุด
- ให้ถอดเครื่องประดับทุก ชิ้นออกก่อนเข้าห้องซาวน่า รวมถึงเครื่องประดับที่ติ่งหูและที่เจาะใส่จมูก โลหะเป็นสื่อนำความร้อน ลวกผิวให้ไหมพองได้
- ควรผ่อนร่างกายให้เย็นลงอย่างช้า ๆ โดยเริ่มจากสูดหายใจเอาลมเย็น ๆ เข้าไปภายใน แล้วอาบน้ำเย็น เมื่อระบบบหมุนเวียนในร่างกายคงที่ก็ลงอ่างน้ำได้ แต่ห้ามอาบน้ำเย็นในทันทีทันใดโดยเด็ดขาด
- ผู้อบซาวน่าจะต้องไม่เป็นโรคติดเชื้อรุนแรง ไข้หวัด และโรคไต สำหรับโรคความดันโลหิตและเส้นเลือดตีบตัน ควรปรึกษาแพทย์ก่อนจะดีที่สุด
*** ประโยชน์ของการอบซาวน่า ***
1. ทำให้กล้ามเนื้อที่เหนื่อย หรือ เมื่อยล้าผ่อนคลายลง
2. ช่วยบรรเทาความเหน็ดเหนื่อย
3. ช่วยบรรเทาความเครียด หรือ ความกดดันต่างๆภายในร่างกาย
4. เพิ่มอัตราการเผาผลาญอาหารในร่างกาย
5. ช่วยให้ระบบการไหลเวียนต่างๆในร่างกายดีขึ้น
6. บรรเทาความเจ็บปวดจากโรคข้ออักเสบได้ชั่วคราว
7. ช่วยทำให้การรักษาหรือเยียวยาดีขึ้น และ ทำให้มีการหลั่งสารบรรเทาความเจ็บปวดตามธรรมชาติ
8. เพิ่มความต้านทานต่อความเจ็บป่วยและโรคภัย
9. เผาผลาญพลังงาน 300 กิโลแคลลอรี่ ระหว่างที่ทำการอบซาวน่าในระยะการใช้งานปรกติ
10. ช่วยทำให้ผิวพรรณสดชื่น เปล่งปลั่ง
11. ทำให้รู้สึกสดชื่น กระปรี้กระเปร่า ในทุกส่วนของร่างกาย ซึ่งการอาบน้ำทั่วไปไม่สามารถทำได้
12. ทำให้บ้านหรือที่พักอาศัยของคุณ ดูหรูหราและมีคุณค่ามากยิ่งขึ้น
*** โทษของการอบซาวน่า ***
ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้มีทั้งให้คุณประโยชน์ และอาจจะให้โทษในขณะเดียวกัน...หากนำไปใช้ในทางที่ไม่เหมาะสม ฯลฯ รวมถึง เรื่องการอบซาวน่า ก็เฉกเช่นเดียวกัน มหาวิทยาลัย Nuremberg-Erlangen ในประเทศเยอรมนี ได้แถลงผลการวิจัยล่าสุดว่า ถึงผลเสียจากการอบบซาวน่า โดยในรายงานวิจัยกล่าวได้กล่าวถึง โทษของการอบซาวน่าอาจจะทำให้ไอคิวลดลงชั่วคราว การสูญเสียน้ำในร่างกายมีผลทำให้ความสามารถด้านสติปัญญาของคนเรา ลดลง และจะต้องใช้เวลาหลายวันกว่าจะทำให้สติปัญญากลับคืนมาเหมือนเดิม
ซึ่ง ในการวัยดังกล่าว นำนักศึกษาจำนวน ๑๒ คนมาทดสอบเกี่ยวกับประเด็นนี้ เริ่มต้นด้วยการนำมาทดสอบไอคิวเสียก่อน จากนั้นก็พาเข้าห้องซาวน่า อบตัวกันคนละ ๑๕ นาที
หลังจากอบซาวน่าจนเหงื่อโชก ก็ถูกนำไปทดสอบไอคิวอีกครั้ง ผลปรากฏว่าระดับสติปัญญาของบรรดาหนูทดลองลดลงเฉลี่ยคนละ ๑๐-๑๕ คะแนน
เท่า นั้นยังไม่พอ นักวิจัยได้อนุญาตให้นักศึกษาบางคนดื่มน้ำดับกระหายได้มากเท่าที่ต้องการ ส่วนที่เหลือไม่ยอมให้ดื่มน้ำทุกชนิดเป็นเวลา ๒๔ ชั่วโมง แล้วให้ทั้งหมดไปทดสอบไอคิวอีกครั้ง
ปรากฏว่าไอคิวของคนที่ไม่ได้ดื่มน้ำ ยิ่งลดลง ขณะที่คนที่ดื่มน้ำกลับมีไอคิวสูง ขึ้น แต่ก็พบว่าต้องใช้เวลาอีกหลายวันกว่าที่ไอคิวของคนที่ดื่มน้ำจะกลับสู่สภาพปกติ
ที่มา : [url=http://www.balavi.com/webboard/QAview.asp?id=7720]
ภวัต เบ็ญจขันธ์ 52SP2760021 .. ZA
ตอบลบนายธนพล โพธิ์ทอง 52SP2760004 ตอนเรียน ZA
ตอบลบรักษาความปวดแนวใหม่..ไม่ใช้ยา..ไม่ต้องผ่าตัด
ใน ยุคสมัยที่ชีวิตเร่งรีบ ความเครียด หน้าที่การงาน หรือว่าการใช้ชีวิต ล้วนแล้วแต่ต้องใช้ร่างกายอย่างหนัก จนอาจเกิดปัญหาต่อการปวดทั้งกล้ามเนื้อและกระดูก เช่น การอยู่กับคอมพิวเตอร์นานๆ หรือการทำงานที่ต้องนั่ง ต้องเดิน ต้องยืนที่นานๆ มากเกิดปกติ หรือการใช้ชีวิตที่ผิดๆ ก็มีปัญหาต่อการปวดได้
แล้วเมื่อเกิดอาการปวดแล้ว……คุณคิดถึงอะไรเป็นอันดับแรก บางคนบอก กินยาแก้ปวดไปเลย เร็วดี หายเร็ว แต่การกินยาอยู่เป็นประจำ นานเข้าคงไม่ดีแน่ หรือไปนวดดีกว่า นวดแล้วหายเมื่อย สบายตัว ตัวเบาเชียวแหละ แต่พอกลับถึงบ้าน อ้าว เฮ้ย..ทำไมอาการปวดกลับมาอีกแล้ว..แบบนี้ไม่ต้องไปนวดกันทุกวันเหรอะเนี๊ยะ
เฮ้อ..ปวดมากๆเข้า สงสัยไม่ดีแล้ว ไปหาหมอดีกว่า……แล้วแบบนี้จะไปหาหมอผู้เชี่ยวชาญด้านใดดี หมอกระดูกหรือหมอนวดไทย หรือหมออะไรดีละ??
เชื่อแน่ว่าหลายคนเก็บความสงสัยนี้ไว้ เพราะยังหาคำตอบให้กับตัวเองไม่ได้……
แต่ ณ วันนี้ มีคำตอบแล้ว กับคลินิกรักษาความเจ็บปวดแนวใหม่ ไม่ใช้ยา ไม่ต้องผ่าตัด ไม่อันตราย ปลอดภัย 100 % กับคลินิกที่รวบรวมเอาศาสตร์การบรรเทาและรักษาความปวดทั้งแพทย์แผนตะวันตก อย่าง การทำกายภาพบำบัด การรักษาอาการปวดด้วยเครื่องมืออันทันสมัย ผสมผสานร่วมกับแพทย์แผนตะวันออกอย่างการฝังเข็มบรรเทาปวดและการนวดบำบัดด้วยแพทย์แผนไทย ทั้งหมดนี้รวมอยู่ด้วยกันที่ Convergo Clinic
Concept ของที่นี่คือ การรักษาอาการปวด ซึ่งอาการปวดที่เกิดจากกระดูกและกล้ามเนื้อ อันได้แก่ อาการตึงตัว / ยึด/ รั้ง / ฉีกขาด / อักเสบ / การเสื่อม / และการกดทับ ของกล้ามเนื้อ / เอ็น / ข้อต่อ และเส้นประสาทส่วนปลาย ซึ่ง ที่นี่ใช้หลักการรักษาแบบผสมผสาน เริ่มจากการรักษาทางกายภาพบำบัด ทั้งการใช้หัตถบำบัดซึ่งเป็นเทคนิคทางวิทยาศาสตร์ของกายภาพบำบัด และใช้เทคโนโลยีที่เป็นเครื่องมือที่ทันสมัย ผสมกับการนวดแผนไทยบำบัด ที่จะต้องรู้จุด รู้เส้นและหลักกายภาพศาสตร์ของร่างกาย รวมทั้งใช้การฝังเข็มร่วมรักษา
เริ่มจากการรักษาทางกายภาพ ที่จะเป็นการรักษาหลัก ซึ่งยังสามารถแบ่งกลุ่มการรักษาทางกายภาพออกเป็น 4 ด้านหลักๆก็คือ
1. การ ใช้เครื่องมือกายภาพบำบัด เช่น อัลตร้าซาวน์ หรือใช้คลื่นเสียงในการผลักตัวยารักษาอาการอักเสบเฉพาะจุดซึ่งดีกว่าการกิน ยาที่จะต้องผ่านระบบดูดซึมอาหาร ร่วมกับการกระตุ้นไฟฟ้า ไปพร้อมๆกันเพื่อผลที่ดีขึ้น และก็มีการประคบร้อน - ประคบเย็น การใช้การพันผ้ายึด เป็นต้น
2. การใช้หัตถบำบัด คือการ จัด ดัด ดึงข้อต่อ และยืดเหยียดกล้ามเนื้อด้วยเทคนิคจากนักกายภาพบำบัด
3. การบำบัดด้วยกายบริหาร เฉพาะโรค เฉพาะคน ซึ่งส่วนใหญ่จะต้องทำกายบริหารตามคำสั่ง ตามการควบคุมของนักกายภาพ ว่าต้องทำอย่างไรให้ถูกต้อง จึงจะเห็นผล
4. การให้ความรู้การปฏิบัติตัว จะต้องเข้าใจว่าสาเหตุเกิดจากอะไร แล้วก็มุ่งแก้ไขให้ตรงจุด และจะต้องปฏิบัติตัวอย่างไรเพื่อที่จะได้ไม่กลับมาเป็นโรคนี้อีก
นอกจากนี้ หากคนไข้ยังมีอาการอื่นร่วมด้วย เช่น มีอาการกล้ามเนื้อตึงตัว เกิดการติดขัดดึงรั้ง การใช้การนวดบำบัดจากแพทย์แผนไทยเข้ามาช่วยนวดกดจุด คล้ายเส้นกล้ามเนื้อที่ตึงออกให้ เป็นการเสริมผลการรักษาร่วมกับทางกายภาพได้ดี นอกจากนี้หากวิเคราะห์แล้วว่า อาการปวดเกิดจากปัญหาเรื่องระบบไหลเวียนเลือดไม่ดี ก็ผสมผสานการฝังเข็มโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญร่วมด้วย ก็จะยิ่งเสริมให้การรักษาอาการปวด หายเร็วยิ่งขึ้น
เป้า หมายของการรักษาก็คือลดอาการปวด แต่เรื่องที่คนส่วนใหญ่ละเลยก็คือ ทำอย่างไรไม่กลับมาเป็นอีก ที่นี่จะมีการแนะนำ ให้ความรู้ความเข้าใจว่าโรคที่เกิดนั้นเกิดจากอะไร ไม่ว่าจะเกิดจากท่าทางการทำงานที่ผิด หรือเกิดจากความเสื่อมของวัย หรือเกิดจากโรค ไม่ว่าจะเกิดจากสาเหตุใดก็ตาม ต้องหาทางแก้ไขจุดเริ่มเต้นของการเกิดโรค เพื่อไม่ให้คุณกลับมาเป็นอีก จึงจะสิ้นสุดกระบวนการรักษาที่แท้จริง
ที่มา : http://www.health108.com/?p=870
น.ส.ลลิตา สุสิลา รหัส 52SP2760048
ตอบลบ30 วิธี ถนอมรักษาสุขภาพ ...กายและใจ
1. หายใจให้ทั่วท้อง
2. นวดแผนโบราณเพื่อล้างพิษ
3. ปิดมือถือ ในบางขณะ เพื่อเป็นอิสระ คิดอะไรได้เต็มที่
4. โนบราซะ ( ผู้ชาย ก็โนอันเดอร์แวร์แทนละกัลล์ )
5. กินอย่างมีสติ : ไม่กินจนฟุ้งเฟ้อ และกินจนเกินความจำเป็นไม่อื่มเกินและเคี้ยวช้า ๆ คำละ50 ครั้ง
6. ดื่มน้ำวันละ 6-8 แก้ว ดื่มน้ำช่วงเช้าหลังตื่นนอนก่อนแปรงฟันจะมีประโยชน์น้ำที่ผสมน้ำลายในปากจะเป็นตัวล้างลำไส้ได้ดีนัก
7. เตือนตัวเองให้ทานผลไม้วันละ 3 - 5 อย่าง หลากสี
8. อดบ้างก็ได้ การอดอาหารในช่วงสั้น ๆ แม้เพียงวันละมื้อจะช่วยให้อวัยวะที่เกี่ยวข้องกับการดูดซึมได้พักผ่ อน
9. อาบน้ำคลายเครียด
10. ขับถ่ายบอกสุขภาพ ปัสสาวะที่ดีต้องใส ไม่ขุ่น ไม่มีตะกอน ถ้าเข้มต้องดื่มน้ำเพิ่มอุนจิ ต้องนิ่ม สีเหลือง ลอยน้ำได้ ไม่เหม็น หากแข็งต้องเพิ่มผัก ผลไม้ และน้ำ
11. หวีผมบรรเทาปวด ในวันที่เครียด / ปวดหัวตุบๆ ลองแปรงผมด้วยหวีที่มีปุ่มตรงซี่แปรง
12. ยิ้มหน่อย ( ใครชอบเก็ก ไม่ยิ้ม ลองดูนะครับ)
13. มาหัวเราะกันเถอะ ทั้งยิ้มและหัวเราะทำให้ร่างกายหลั่งสารแห่งความสุข กระตุ้นการไหล
เวียนของเลือด ลดระดับความเครียด เพิ่มภูมิคุ้มกัน
14. น้ำตาคลายเครียด และช่วยระบายความเครียดได้ (แอบร้องก็ได้ถ้าอาย แต่จริงแล้ว ร้องไห้เป็นเรื่องปกติมนุษย์)
15. เซ็กซ์คือยาวิเศษ
16.นอนหลับเพิ่มพลัง เพื่อซ่อมแซมฟื้นฟู ตอนนอนร่างกายจะหลั่งสารเมลาโทนินซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ และ ระบายท็อกซินออกจากสมอง
17. สักงีบหนึ่ง หลับกลางวัน สัก 15 นาที
18. เดินเท้าเปล่ากันบ้าง ทำให้เกิดการทำงานร่วมกันระหว่างระบบประสานสัมผัสกล้ามเนื้อ กระดูก และสมอง เดินเท้า เปล่า รับน้ำค้างบริสุทธ์ สนามหญ้า ย่ำก้อน กรวดบ้าง
19. กอด ยาวิเศษประจำบ้าน กอดคนที่คุณรักจะมีผลต่อระบบประสาทส่วนกลางช่วยปลดปล่อยความเครียด
20. ช่างคุย กับเพื่อนสนิท คนรู้ใจ
21. ร้องเพลง ขณะร้องร่างกายจะขับคาร์บอนไดออกไซด์ และสูดออกซิเจนได้มากขึ้น
22. ไดอารี่ที่รัก เขียนบันทึกช่วยระบายความในใจ และ ได้ทบทวนชีวิตรู้จักและปรับปรุงตัวเองได้
23. Out Door Please!! ออกใช้ชีวิตกลางแจ้งบ้าง
24. ฝึกสมองทุกวัน อ่านหนังสือ เล่นเกมส์ ทำให้สมองทำงานมากกว่า 80 % ขณะที่ดูโทรทัศน์ใช้สมอง 20 % อย่าลืมอ่าน หนังสืออย่างน้อยวันละ 15 นาที
25. สงบใจไหว้พระ
26. ชวนกันมาดูดาว
27. ความสุขจากรูปเก่า ... เก่า ....
28. ให้เพื่อได้รับเศษสตางค์ ลองหยอดตู้บริจาคแบ่งสิ่งของให้คนที่ยากจนกว่าเรา ฯลฯ ช่วยให้คุณเข้าใกล้ความสุข
29. ชมคนอื่นเสียบ้าง
30. พูดขอบคุณให้ติดปาก และขอบคุณจากใจจริงร่างกายจะหลั่งสารเอนดอร์ฟินทำให้มีความสุข
น.ส.ลลิตา สุสิลา รหัส 52SP2760048
ตอบลบที่มา : http://www.rakball.net/overview.php?c=12&id=16474
นาย ภวินท์ พู่พันธ์พานิช 52SP2760001
ตอบลบการดูแลสุขภาพตนเอง
โดยธรรมชาติของมนุษย์ เมื่อเกิดปัญหาต่างๆ ขึ้น ในชีวิต ก็จะพยายามหาทางแก้ปัญหาด้วยตัวเอง เป็นอันดับแรก เมื่อรู้ว่า ไม่สามารถแก้ปัญหาได้เอง ก็จะแสวงหาความช่วยเหลือจากผู้อื่น
ในเรื่องความเจ็บป่วย หรือปัญหาสุขภาพก็เช่นเดียวกัน ทุกคนต้องการที่จะดูแลตนเอง ให้มีสุขภาพดีอยู่เสมอ ดังนั้น กล่าวได้ว่า "การดูแลสุขภาพตนเอง เป็นกิจกรรมที่บุคคลแต่ละคนปฏิบัติ และยึดเป็นแบบแผนในการปฏิบัติ เพื่อให้มีสุขภาพดี" อาจแบ่งขอบเขตการดูแลสุขภาพตนเอง เป็น 2 ลักษณะคือ
การดูแลสุขภาพตนเองในสภาวะปกติ
เป็นการดูแลสุขภาพตนเอง และสมาชิกในครอบครัว ให้มีสุขภาพแข็งแรง สมบูรณ์อยู่เสมอ ได้แก่
การดูแลส่งเสริมสุขภาพ เพื่อให้สุขภาพแข็งแรง สามารถดำเนินชีวิตได้อย่างปกติสุข เช่น การออกกำลังกาย การสร้างสุขวิทยาส่วนบุคคลที่ดี ไม่ดื่มสุรา ไม่สูบบุหรี่ หลีกเลี่ยงจากสิ่งที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ
การป้องกันโรค เพื่อไม่ให้เจ็บป่วยเป็นโรค เช่น การไปรับภูมิคุ้มกันโรคต่างๆ การไปตรวจสุขภาพ การป้องกันตนเองไม่ให้ติดโรค
การดูแลสุขภาพตนเองเมื่อเจ็บป่วย
ได้แก่ การขอคำแนะนำ แสวงหาวามรู้จากผู้รู้ เช่น อาสาสมัครสาธารณสุขต่างๆ ในชุมชน บุคลากรสาธารณสุข เพื่อให้ได้แนวทางปฏิบัติ หรือการรักษาเบื้องต้นให้หาย จากความเจ็บป่วย ประเมินตนเองได้ว่า เมื่อไรควรไปพบแพทย์ เพื่อรักษาก่อนที่จะเจ็บป่วยรุนแรง และปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์ หรือบุคลากรสาธารณสุข เพื่อบรรเทาความเจ็บป่วย และมีสุขภาพดีดังเดิม
การที่ประชาชนทั่วไปสามารถดูแลสุขภาพตนเองได้นั้น จำเป็นต้องมีความรู้ ึความเข้าใจในเรื่อง การดูแลสุขภาพ ตั้งแต่ยังไม่เจ็บป่วย เพื่อบำรุงรักษาตนเอง ให้สมบูรณ์แข็งแรง รู้จักที่จะป้องกันตัวเอง มิให้เกิดโรค และเมื่อเจ็บป่วยก็รู้วิธีที่จะรักษาตัวเอง เบื้องต้นจนหายเป็นปกติ หรือรู้ว่า เมื่อไรต้องไปพบแพทย์ หรือเจ้าหน้าที่สาธารณสุข
ที่มา www.thaigoodview.com
นางสาวทวีพร สัญจรดี รหัว52SP2760006 ตอนเรียน ZA
ตอบลบโยคะบำบัดโรคสำหรับโรคปวดหลัง ปวดเอว
อาการปวดหลังเป็นอาการที่เราพบบ่อยในเวชปฏิบัติทั่วไปรองจากอาการปวดศีรษะ พบว่าร้อยละ 65-80 ของประชากรทั่วโลก มีอาการปวดหลังช่วงใดช่วงหนึ่งของชีวิต ในสหรัฐอเมริกาประชากรวัยทำงานร้อยละ 15-20 จะมีอาการปวดหลังในแต่ละปี
สำหรับสาเหตุของอาการปวดหลังแบ่งง่าย ๆ เป็น 2 กลุ่ม คือ
กลุ่มที่ 1 ประมาณร้อยละ 10 เป็นกลุ่มที่มีสาเหตุจำเพาะ ซึ่งจะต้องมีการแก้ไขสาเหตุนั้น ๆ เช่น มีอุบัติเหตุรุนแรงทำให้กระดูกไขสันหลังหักเกิดการกดทับเส้นประสาท เนื้องอกที่กระดูกไขสันหลัง การติดเชื้อ หมอนรองกระดูกทับเส้นประสาท กลุ่มนี้ต้องการการรักษาโดยการผ่าตัด โดยแพทย์แผนปัจจุบันจะได้ผลดี
กลุ่มที่ 2 ประมาณร้อยละ 80 ไม่มีสาเหตุจำเพาะ ไม่ต้องรักษารีบด่วน กลุ่มนี้ส่วนใหญ่เป็นพวกปวดหลังจากกระดูดเสื่อมไปตามไว คนไข้กลุ่มนี้ส่วนใหญ่รักษาหายโดยใช้ยาภายใน 4-6 สัปดาห์ มีส่วนน้อยที่จะเป็นเรื้อรัง ซึ่งโยคะจะมีบทบาทในผู้ป่วยกลุ่มที่เป็นเรื้อรังและเป็นซ้ำ ๆ>>
ผู้ป่วยที่มีอาการเรื้อรังมักจะมีปัจจัยหลายประการที่ทำให้เกิดอาการปวดหลังกล่าวคือ การบริโภคอาหารมากเกินไปจนทำให้น้ำหนักมากเกิน อ้วน การสูบบุหรี่ การขาดการออกกำลังกาย หรือใช้แรงกายทำงานมากเกินไป กระดูกหลังเสื่อมตามอายุ ความเครียด ความวิตกกังวล ดังนั้นการแก้ปัญหาจึงต้องรวมถึงด้านอาหารเพื่อควบคุมน้ำหนักให้เหมาะสม การออกกำลังกายให้กล้ามเนื้อแข็งแรง กระดูกหลังแข็งแรงมีความยืดหยุ่นดี งดสูบบุหรี่ และสุดท้ายแก้ปัญหาเรื่องความเครียด ความวิตกกังวลด้วยการฝึกความผ่อนคลาย และการทำสมาธิ ซึ่งการฝึกโยคะมีบทบาทตรงจุดนี้
ดร. แพทริก แรนดอฟ (Patrick Randolph) แห่งศูนย์บำบัดอาการปวด แห่งมหาวิทยาลัยเทกซัส เทค ได้ใช้การฝึกโยคะร่วมกับการเจริญสติแบบพุทธ (Mindful Yoga) บำบัดผู้ป่วยที่มีอาการปวดเรื้อรัง พบว่าผู้ป่วยอาการดีขึ้นถึงร้อยละ 79
ศาสตราจารย์โจน คาแบค ซิน (Jon Kabat Zinn)และคณะ แห่งโรงเรียนแพทย์มหาวิทยาลัยแมทซาชูเสท ได้ทำการศึกษาในผู้ป่วยปวดหลัง ปวดไหล่ ปวดศีรษะ เจ็บหน้าอก ปวดบริเวณใบหน้า ที่มีอาการปวดเรื้อรัง 51 ราย ซึ่งรักษาไม่ดีขึ้นตามแบบแพทย์แผนปัจจุบัน โดยใช้การฝึกโยคะร่วมกับการเจริญสติแบบพุทธ (Mindfulness Meditation)เป็นเวลา 10 สัปดาห์ พบว่าผู้ป่วยมีอาการปวดดีขึ้ร้อยละ 65
ที่ มา :http://board.palungjit.com/f9/.html
นางสาวทวีพร สัญจรดี รหัว52SP2760006 ตอนเรียน ZA
ตอบลบโยคะบำบัดโรคสำหรับโรคปวดหลัง ปวดเอว
อาการปวดหลังเป็นอาการที่เราพบบ่อยในเวชปฏิบัติทั่วไปรองจากอาการปวดศีรษะ พบว่าร้อยละ 65-80 ของประชากรทั่วโลก มีอาการปวดหลังช่วงใดช่วงหนึ่งของชีวิต ในสหรัฐอเมริกาประชากรวัยทำงานร้อยละ 15-20 จะมีอาการปวดหลังในแต่ละปี
สำหรับสาเหตุของอาการปวดหลังแบ่งง่าย ๆ เป็น 2 กลุ่ม คือ
กลุ่มที่ 1 ประมาณร้อยละ 10 เป็นกลุ่มที่มีสาเหตุจำเพาะ ซึ่งจะต้องมีการแก้ไขสาเหตุนั้น ๆ เช่น มีอุบัติเหตุรุนแรงทำให้กระดูกไขสันหลังหักเกิดการกดทับเส้นประสาท เนื้องอกที่กระดูกไขสันหลัง การติดเชื้อ หมอนรองกระดูกทับเส้นประสาท กลุ่มนี้ต้องการการรักษาโดยการผ่าตัด โดยแพทย์แผนปัจจุบันจะได้ผลดี
กลุ่มที่ 2 ประมาณร้อยละ 80 ไม่มีสาเหตุจำเพาะ ไม่ต้องรักษารีบด่วน กลุ่มนี้ส่วนใหญ่เป็นพวกปวดหลังจากกระดูดเสื่อมไปตามไว คนไข้กลุ่มนี้ส่วนใหญ่รักษาหายโดยใช้ยาภายใน 4-6 สัปดาห์ มีส่วนน้อยที่จะเป็นเรื้อรัง ซึ่งโยคะจะมีบทบาทในผู้ป่วยกลุ่มที่เป็นเรื้อรังและเป็นซ้ำ ๆ>>
ผู้ป่วยที่มีอาการเรื้อรังมักจะมีปัจจัยหลายประการที่ทำให้เกิดอาการปวดหลังกล่าวคือ การบริโภคอาหารมากเกินไปจนทำให้น้ำหนักมากเกิน อ้วน การสูบบุหรี่ การขาดการออกกำลังกาย หรือใช้แรงกายทำงานมากเกินไป กระดูกหลังเสื่อมตามอายุ ความเครียด ความวิตกกังวล ดังนั้นการแก้ปัญหาจึงต้องรวมถึงด้านอาหารเพื่อควบคุมน้ำหนักให้เหมาะสม การออกกำลังกายให้กล้ามเนื้อแข็งแรง กระดูกหลังแข็งแรงมีความยืดหยุ่นดี งดสูบบุหรี่ และสุดท้ายแก้ปัญหาเรื่องความเครียด ความวิตกกังวลด้วยการฝึกความผ่อนคลาย และการทำสมาธิ ซึ่งการฝึกโยคะมีบทบาทตรงจุดนี้
ดร. แพทริก แรนดอฟ (Patrick Randolph) แห่งศูนย์บำบัดอาการปวด แห่งมหาวิทยาลัยเทกซัส เทค ได้ใช้การฝึกโยคะร่วมกับการเจริญสติแบบพุทธ (Mindful Yoga) บำบัดผู้ป่วยที่มีอาการปวดเรื้อรัง พบว่าผู้ป่วยอาการดีขึ้นถึงร้อยละ 79
ศาสตราจารย์โจน คาแบค ซิน (Jon Kabat Zinn)และคณะ แห่งโรงเรียนแพทย์มหาวิทยาลัยแมทซาชูเสท ได้ทำการศึกษาในผู้ป่วยปวดหลัง ปวดไหล่ ปวดศีรษะ เจ็บหน้าอก ปวดบริเวณใบหน้า ที่มีอาการปวดเรื้อรัง 51 ราย ซึ่งรักษาไม่ดีขึ้นตามแบบแพทย์แผนปัจจุบัน โดยใช้การฝึกโยคะร่วมกับการเจริญสติแบบพุทธ (Mindfulness Meditation)เป็นเวลา 10 สัปดาห์ พบว่าผู้ป่วยมีอาการปวดดีขึ้ร้อยละ 65
ที่ มา :http://board.palungjit.com/f9/.html
นางสาวสวามินี ดีเสมอ 52SP2760056 ZA
ตอบลบการดูแลรักษาสุขภาพให้แข็งแรงมีวิธีการที่หลากหลาย โยคะเป็นหนทางที่จะนำไปสู่สุขภาพดี ทางหนึ่งที่กำลังมีกระแสนิยมมากในขณะนี้ โยคะ เป็นวิธีการทางธรรมชาติบำบัดอย่างหนึ่ง โยคะมีความเป็นมา
เกือบ 7,000 ปี เริ่มต้นจากโยคีมีความสนใจเรื่องสุขภาพ และค้นคว้าหาวิธีที่จะมาแก้ไขปัญหาความไม่สบายส่วนตัว โดยมีความเชื่อว่าสุขภาพดีต้องมาก่อนสิ่งอื่น หากสุขภาพดี โยคีย่อมบำเพ็ญพรตได้นานและบรรลุได้ง่ายกว่า โยคีเฝ้าสังเกตท่าทางของสัตว์ต่าง ๆ ว่าเวลาป่วยจะทำท่า อย่างไรบ้างจึงหายป่วย โยคีทำท่าทางเลียนแบบสัตว์ป่วย จนรู้สึกว่ามีความสบาย ดังนั้นจึงมีท่าโยคะหลายท่าที่ตั้งตามท่าของสัตว์ เช่น ท่างูเห่า ท่ากระต่าย ท่าปลาท่านกอินทรีย์ เป็นต้น
อาจารย์ชด หัสบำเรอ อ้างในหนังสือโยคะ รักษาโรค ได้กล่าวถึงการทำท่าพิสดารของโยคะเอาไว้ว่า “การทำโยคะอาสนะเป็นการทำเพื่อตนเองมิใช่เพื่อแสดงหรือโอ้อวด ให้ใครชม การทำได้แค่ไหน เพียงไรนั้น ไม่สำคัญ และไม่ใช่เรื่องที่จะเอาอวดหรือข่มกัน ด้วยว่าฉันทำได้ มากกว่า ดีกว่า และพิสดารกว่าท่าน การอวดกันในเรื่อง ทำอาสนะพลิกแพลง เท่ากับลดฐานะของโยคะลงมา เท่ากับการแสดงกายกรรมนั้นเอง จึงเป็นเรื่องที่ไม่ควรทำอย่างยิ่ง”
โยคะ คือ การบริหารกาย ลมหายใจ และการผ่อนคลายอาสนะและปราณยามะ การบริหารกาย แบบโยคะ เป็นการบริหารกายโดยการดัดตนในท่าต่าง ๆ จึงต้องปฏิบัติอย่างช้า ๆ ให้สัมพันธ์กับการหายใจต้องใช้สมาธิและความศรัทธาในการปฏิบัติอาสนะ มาจากรากศัพท์ภาษาสันสกฤตว่า อาส ซึ่งหมายถึง มีอยู่ อาศัยอยู่ใน นั่งเงียบ ๆ อยู่อาศัย พำนัก ตามศัพท์ อาสนะ หมายถึง การนั่งหรือนั่งในท่าใดท่าหนึ่ง
โยคะอาสนะหมายถึง ท่าและตำแหน่งต่าง ๆ ในการฝึกโยคะ เช่น การยืนด้วยศีรษะ (ศีรษะอาสนะ) ท่าดอกบัว(ปัทมอาสนะ) ท่างู (ภุชงคะอาสนะ) ท่าปลา (มัสยาอาสนะ) เป็นต้น
ปราณยามะ เป็นการควบคุมลมหายใจ ซึ่งหมายถึงพลังแห่งชีวิต พลังนี้เองที่จะส่งผลกระทบต่อเซลล์ระบบประสาท ซึ่งหมายถึง พลังแห่งชีวิต พลังนี้เองที่จะส่งผลกระทบต่อเซลล์ ระบบประสาท อวัยวะทั่วร่างอันมีผลโดยรวมต่อสมาธิ
โยคะกับสุขภาพ แพทย์หญิงลลิตา ธีระสิริ กล่าวถึงการทำงานของร่างกาย ส่วนหนึ่งอยู่ในควบคุมของฮอร์โมน ความสบายของจิตใจก็อยู่ในอิทธิพลของฮอร์โมน โยคะ มีวิธีควบคุมการทำงานของต่อมไร้ท่อหลายต่อม เช่น ใช้ท่ายืนไหล่ คือเอาไหล่ตั้งรับน้ำหนักตัวที่หน้า เอาขาชี้ฟ้า ท่านี้แนะนำให้ทำ 1 - 2 นาที แล้วพัก การเอาศีรษะลงอยู่ในระดับต่ำ เอาตัวที่เคยอยู่ระดับต่ำ กลับขึ้นไปอยู่ในที่สูง เป็นการปรับการไหลเวียนของเลือดเสียใหม่ ด้วยอาสนะ เช่นนี้ ทำให้เลือดไปเลี้ยงศีรษะมากขึ้น ต่อมพิทูอิทารีย์ จะได้รับเลือดไปเลี้ยงมากขึ้น และมีความสมบูรณ์ในการสั่งงานต่อมไร้ท่ออื่น ๆ ในร่างกายได้ดีกว่า ทำให้
การทำงานของร่างกายเป็นไปอย่างราบรื่น ระดับฮอร์โมนอยู่ในสมดุลและทำให้จิตใจสบายกว่า การปรับสมดุลของต่อมไทรอยด์สามารถทำได้ โดยการทำท่าปลา และท่ายืนไหล่สลับกัน ท่ายืนไหล่จะกดต่อมไทรอยด์ ถือเป็นการนวดต่อมนี้ในขณะที่ท่าปลาจะเป็นการดึงรั้งต่อมไทรอยด์ให้ตึง เพื่อให้การทำงานของต่อมไทรอยด์กลับมาอยู่ในสมดุลโดยวิธีธรรมชาติแท้ ๆ หากการทำงานของต่อมไทรอยด์อยู่ใน
สมดุล เราก็จะสบายทั้งกายและใจซึ่งเป็นจุดประสงค์ของการฝึกโยคะ การควบคุมการทำงานของต่อมหมวกไต ซึ่งจะหลั่งฮอร์โมน “อะดรีนาลิน” ออกมาทำให้หัวใจเต้นแรงและเร็ว หายใจหอบและเร็วขึ้น กล้ามเนื้อ เกร็งทั้งตัว หากเกิดอาการเช่นนี้ขึ้นมา แสดงว่าเรากำลังเสียสมดุล เราควบคุมตัวเองไม่ได้ จะมีความโกรธ เมื่อรู้ตัวว่าโกรธโยคะแนะนำให้ใช้การหายใจ เข้าปรับให้ ฮอร์โมนอะดรีนาลินกลับสู่สมดุล อาจารย์ชด หัสบำเรอ แนะไว้ว่า การควบคุมความโกรธให้คลายลง ทำได้โดยการหายใจด้วยท้อง ก่อนอื่นให้แขม่วท้อง หายใจออกให้เต็มที่จนท้องแฟบ แล้วค่อย ๆ หายใจเข้าช้า ๆ จนท้องป่องออกแล้วจึงหายใจออกช้า ๆ พยายามให้การหายใจออก ยาวกว่าการหายใจเข้า ทำเช่นนี้เพียงไม่ถึงนาที จะรู้สึกเองว่าหัวใจเริ่มเต้นช้าลง และสามารถดับอารมณ์ร้อนลงได้เป็นการกดอะดรีนาลินให้ลดลงการทำท่าทางต่าง ๆ ตามอาสนะสามารถสร้างความแข็งแกร่งให้กับกล้ามเนื้อและเส้นเอ็น ทั้งนี้วิธีการของโยคะจะแตกต่างจากการออกกำลังกาย การออกกำลังกายเป็นการฝึกให้กล้ามเนื้อยืดหดตัวอย่างรุนแรง กล้ามเนื้อต้องการน้ำตาลมาใช้มาก เมื่อเกิดการเผาผลาญในระดับกล้ามเนื้อก็จะเกิดกรดแลคติก ทำให้เกิดอาการปวดเมื่อย แต่การฝึกอาสนะเป็นการเคลื่อนไหวช้า ๆ ประกอบกับท่าอาสนะต้องฝึกควบคู่ไปกับการฝึกลมหายใจ กล้ามเนื้อจึงได้ออกซิเจนมากในขณะฝึกโยคะ ทำให้เกิดการผ่อนคลายมากกว่า การฝึกโยคะจะทำให้เกิดความสบายมากกว่าความเมื่อย
ที่มาhttp://www.novabizz.com/Health/Yoga/Yoga-102.htm
นาย ณัฐพล โตมี 52SP2760035 ZA
ตอบลบเห็ด คือ สมุนไพร ชวนกันใช้ ช่วยกันวิจัยให้มากๆ
เห็ดแต่ละชนิดจะมีคุณสมบัติในการกระตุ้นการทำงานของอวัยวะต่างๆ ในร่างกายได้แตกต่างกัน
มีข้อมูลที่ชวนคิดต่ออีกว่า ในปัจจุบันแนวโน้มตลาดเห็ดเพื่อเป็นอาหารมีมูลค่ามากกว่าการบริโภคเห็ดเป็นยาถึง 10 เท่า แต่ใครที่อยู่ในแวดวงงานวิจัยเห็ดจะรู้ดีว่า แต่โบราณกาลมาจนถึงราวปี พ.ศ. 2513 นักวิชาการให้ความสำคัญเห็ด ในด้านยารักษามะเร็ง จึงเป็นทิศทางในผลงานวิจัยในระยะต่อมามีการศึกษาค้นคว้าเพิ่มขึ้น ซึ่งการค้นพบและแสดงให้เห็นว่าสารออกฤทธิ์สำคัญต่าง ๆ ในเห็ดมีสรรพคุณในการกระตุ้นการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน จึงมีส่วนช่วยให้มนุษย์ต่อสู้กับโรคมะเร็งได้ นอกจากนี้การที่เห็ดช่วยระบบภูมิคุ้มกันจึงส่งผลให้สถานะเห็ดในเวลานี้คล้ายกับยาครอบจักรวาลด้วย
ทุกวันนี้วงการสมุนไพรระดับสากล ยกให้เห็ด คือยาสมุนไพร ที่เป็นทางเลือกใหม่นอกจากสมุนไพรจากพืช ดังจะเห็นได้จากการจดสิทธิบัตรในองค์ความรู้ที่เกี่ยวกับการนำเห็ดมาผลิตเป็นยาตั้งแต่ปี 2518 ถึง 2551 นั่งนับนิ้วพบว่ามีการจดสิทธิบัตรในการผลิตยาจากเห็ดมากถึง 226 รายการ ในจำนวนนี้วิเคราะห์แล้วประกอบด้วยเห็ดประมาณ 50 ชนิด
ในปัจจุบันนักวิทยาศาสตร์ได้ให้ความสำคัญต่อระบบภูมิคุ้มกันที่เกิดจากสารต่าง ๆจากเห็ด ในการต่อสู้กับจุลลินทรีย์ชนิดต่าง ๆ โดยเฉพาะไวรัสที่ก่อให้เกิดโรคระบาดที่สำคัญหลายชนิดได้แก่ เอดส์ ซาร์ ไข้หวัดนก และไข้หวัด 2009 เป็นต้น ข้อพิสูจน์แนวโน้มนี้จะเห็นได้จากในช่วง 5 ปี ที่ผ่านมา มีการนำเอาเห็ดหลายชนิดไปจดสิทธิบัตรในการผลิตยาต้านไวรัส ไม่น้อยกว่า 20 รายการ
การใช้เห็ดเป็นยาจึงมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว แต่ประเทศไทยเป็นประเทศหนึ่งที่มีความร่ำรวยด้านความหลากหลายทางชีวภาพของเห็ด จากรายงานของมหาวิทยาลัยมหาสารคามพบว่าเห็ดที่มีศักยภาพในการใช้เป็นยาสมุนไพรในประเทศไทยมีถึง 62 ชนิด แต่กลับปรากฏว่ามีงานวิจัยเพื่อสนับสนุนการใช้เห็ดในประเทศมาผลิตเป็นยามีน้อยมาก
แม้แต่เห็ดที่มีการเพาะปลูกเพื่อเป็นอาหารในขณะนี้ เมืองไทยมีการเพาะเห็ดไม่น้อยกว่า 16 ชนิด แต่มีเพียง 2 ชนิดเท่านั้นที่เป็นสายพันธุ์ดั้งเดิมของประเทศ คือเห็ดขอนขาวและเห็ดบด นอกนั้นเป็นสายพันธุ์ที่มีต้นกำเนิดมาจากต่างประเทศทั้งสิ้น ฟังดูแล้วสบายใจดีไหม ?
มีข้อมูลที่น่าเชื่อถือได้ว่าเห็ดแม้จะเป็นชนิดเดียวกันโดยพิจารณาจากรูปร่างภายนอก แต่เห็ดเหล่านี้กลับมีพันธุกรรมที่แตกต่างกันอย่างมาก เช่น เห็ดหลินจือ ชนิด Ganoderma lucidum ที่พบในสหรัฐอเมริกา ยุโรป จีน อินเดีย มาเลเซีย แม้ว่ารูปร่างภายนอกจะเหมือนกัน แต่พันธุกรรมแตกต่างกัน จึงเป็นที่น่าสนใจว่าความแตกต่างทางพันธุกรรมเหล่านี้จะส่งผลกระทบไปถึงสรรพคุณของเห็ดหรือไม่ ซึ่งต้องศึกษากันต่อไป
นอกจากนี้ตามภูมิปัญญาดั้งเดิมที่ได้มีการจดบันทึกเป็นอักษรธรรมและอักษรไทยน้อย ได้จดบันทึกเรื่องการใช้เห็ดเป็นยารักษาโรคต่าง ๆ ไม่น้อยกว่า 37 ชนิด เห็ดเหล่านี้สามารถนำมาใช้เป็นได้ทั้งอาหารและยา เพื่อการป้องกันและการรักษาสุขภาพ และจากการเก็บข้อมูลของเครือข่ายหมอยาพื้นบ้านอีสาน แนะนำให้นำเห็ดไม้แดง (เห็ดที่ขึ้นบนต้นแดง แต่บนไม้ที่ยังไม่ผุ) และเห็ดพิมาน(เห็ดที่ขึ้นบนต้นพิมาน) นำมาอย่างละ 1 ส่วน ต้มน้ำกิน ถือเป็นยา 108 หมายถึงเป็นยาบำรุงช่วยรักษาโรคได้สารพัด ซึ่งน่าจะตรงกับงานศึกษาระยะหลังๆ ที่พบว่า กลุ่มเห็ดพิมานมีสาระสำคัญในการช่วยยับยั้งเนื้องอก และช่วยกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกัน
เห็ดเป็นของดีที่มีอยู่ในท้องถิ่นประชาชนเข้าถึงได้ง่าย ถ้าได้มีงานทางวิทยาศาสตร์เข้ามาสนับสนุนการใช้และมีการประชาสัมพันธ์ที่ดี นอกจากขจัดความกลัวว่าจะกินเห็ดมีพิษแล้ว ยังเป็นหนทางในการพัฒนาศักยภาพการใช้ทรัพยากรชีวภาพของประเทศ เพื่อการดูแลสุขภาพทั้งทางตรงและทางอ้อมได้อย่างมหาศาล
ช่วยกันทั้งผู้บริโภค เกษตรเพาะ นักวิจัย และผู้บริหาร ให้วงการเห็ดเกิดงานวิจัย การพัฒนาศักยภาพ และการใช้ประโยชน์ขึ้นมากมาย สมกับคำว่า “ขึ้นเป็นดอกเห็ด” อย่าไปรอเดินตามประเทศที่พัฒนาแล้ว เมืองไทยเราอุดมสมบูรณ์และมีความหลากหลายทางชีวภาพมากกว่าเยอะ
ที่มา : http://thaihof.org/frontherb
นางสาวจันจิรัตน์ เรืองคง 52SP2760012 นิเทศศาสตร์
ตอบลบเราสามารถดูแลรักษาสุขภาพตนเองได้เบื้องต้นด้วยวิธีการนวดบำบัด เพื่อกระตุ้นการทำงานของอวัยวะต่างๆในร่างกาย
1. นวดกระตุ้นต่อมไทรอยด์
ต่อมไทรอยด์เป็นต่อมที่มีหน้าที่ผลิตฮอร์โมนหลักสองตัว ได้แก่ ไทร็อกซิน ซึ่งทำหน้าที่เร่งการทำงานของระบบเผาผลาญอาหาร และ คาลซิโทนิน ซึ่งทำหน้าที่ลดระดับแคลเซียมในเลือด ต่อมไทรอยด์ยังทำหน้าที่ควบคุมการทำงานของระบบภายในร่างกาย ระดับน้ำและพลังงานในเนื้อเยื่อ รวมถึงความหนาแน่นของกระดูก พัฒนาการและการทำงานของอวัยวะสืบพันธุ์ การทรงตัว ความสงบใจ และสุขภาพโดยรวม เราอาจกระวนกระวาย อยู่ไม่สุข เบิกบาน หรือซึมเศร้า เชื่องช้า เก็บกด ล้วนแล้วแต่เป็นผลมาจากการทำงานของต่อมไทรอยด์ทั้งสิ้น วิธีการนวดมีดังนี้
ใช้นิ้วหัวแม่มือข้างหนึ่งกดที่โคนนิ้วหัวแม่มือด้านในของอีกข้างหนึ่ง นวดกดไล่ไปรอบๆบริเวณนี้หากมีความผิดปกติที่ต่อมไทรอยด์ จะรู้สึกเจ็บเวลากด
2. นวดเพิ่มประสิทธิภาพการมองเห็นถ้าระบบประสาทเหนื่อยล้า การทำงานของกล้ามเนื้อตาก็จะไม่สมบูรณ์ เพราะกล้ามเนื้อตาทำงานภายใต้การควบคุมของระบบประสาทการปฏิบัติเพื่อถนอมสายตานั้น ได้แก่ การออกกำลังกาย อาหารสุขภาพ พร้อมกินวิตามินเสริมบ้าง ส่วนวิธีนวดเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการมองเห็นมีดังนี้
ใช้นิ้วหัวแม่มือนวดกดหมุนบริเวณโคนนิ้วทุกนิ้ว นวดนานนิ้วละสอง-สามวินาทีนวดถูให้ทั่วมืนวดตามแบบข้อ 1 อีกครั้ง แต่นวดนานนิ้วละหนึ่ง-สองนาที เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพ ควรนวดเป็นประจำทุกวัน
นอกจากนี้แล้ว ควรนวดจุดสะท้อนตับบนมือขวา และนวดจุดสะท้อนไตของทั้งสองมือไปพร้อมกันด้วย เพื่อให้ร่างกายได้ทำความสะอาดพลังงานคั่งค้างออกไปทางอวัยวะทั้งสองนี้ ฉะนั้น หากสุขภาพตับและไตไม่ดี มักมีปัญหาเกี่ยวกับประสิทธิภาพการมองเห็นด้วยเช่นกัน
3. นวดกระตุ้นการได้ยิน
การได้ยิน คือ การเดินทางของพลังงานจากหลายส่วน ส่วนแรกคือ พลังงานเสียงที่มากระทบหูภายนอก ซึ่งสัมพันธ์กับนิ้วก้อย
ส่วนที่สองคือ พลังงานเสียงที่ผ่านเข้าไปในช่องหู ซึ่งสัมพันธ์กับนิ้วนาง
ส่วนที่สามคือ พลังงานการเคลื่อนที่ของคลื่นเสียง ที่ก่อให้เกิดอาการสั่นสะเทือนของอวัยวะภายในหู ซึ่งสัมพันธ์กับนิ้วกลาง
ส่วนที่สี่คือ พลังงานของคลื่นเสียงที่ก่อให้เกิดอาการสั่นสะเทือนของประสาทเล็กประสาทน้อยภายในหู ซึ่งสัมพันธ์กับนิ้วชี้
ส่วนที่ห้าคือ พลังงานจากการสั่นสะเทือนของเสียงที่เดินทางไปแปลความหมายที่สมอง ซึ่งสัมพันธ์กับนิ้วโป้ง
วิธีนวดเพื่อกระตุ้นการได้ยินมีดังนี้
นวดกดปลายนิ้วทุกนิ้ว ค้างไว้นิ้วละ 4 นาที เพื่อส่งพลังผ่านไซนัสที่สัมพันธ์กับการได้ยิน
นวดกดจุดสะท้อนต่อมพิทูทารี ซึ่งอยู่ตรงกลางนิ้วโป้ง เพื่อเพิ่มการพลังสมอง
4. นวดแก้ไอ
จุดสะท้อนลำคอนั้นตั้งอยู่บริเวณนิ้วโป้งและนิ้วใกล้เคียง ฉะนั้นเมื่อเกิดปัญหาขึ้นที่ลำคอ ไม่ว่าจะเป็นอาการเจ็บคอหรือไอ จึงต้องนวดกดบริเวณนั้น ซึ่งวิธีการมีดังนี้คือ ใช้นิ้วโป้งและนิ้วชี้กดบีบบริเวณโคนนิ้วโป้งและนิ้วชี้ ค้างไว้นานราว 5-10 นาที
5. นวดแก้ปวดไมเกรน
อาการปวดไมเกรนเกิดจากความไม่ปกติของการไหลเวียนโลหิตในสมอง แพ้อาหารหรือความตึงเครียดของร่างกาย
การบำบัดอาการปวดไมเกรนคือ การทำให้เส้นประสาทต่างๆผ่อนคลาย พร้อมกันนั้นก็กระตุ้นให้โลหิตไหลเวียนดีขึ้น วิธีการนวดมือคือ
นวดผ่อนคลายจุดสะท้อนต่อมพิทูทารีและต่อมอื่นๆที่อยู่ในกลุ่มเอ็นด็อกริน ซึ่งอยู่บริเวณนิ้วโป้ง เพื่อสร้างความสมดุลของฮอร์โมนและลดระดับสารเอ็นโดฟิน
นวดกดจุดสะท้อนหัวใจ เพื่อให้เลือดและออกซิเจนไปเลี้ยงสมองดีขึ้น
นวดกดจุดสะท้อนตับ เพื่อกระตุ้นให้ตับขับสารพิษ และช่วยเสริมสร้างระบบย่อยอาหารและการดูดซึม
ที่มา หนังสือชีวจิต
นางสาว สุภาพรรณ อาภานันท์ 52SP2760037 ZA
ตอบลบการรักษาโรคด้วยวิธีฝังเข็ม
อโรคยาปรมาลาภา เป็นคำกล่าวของพระพุทธองค์ที่แท้จริงแน่นอน เมื่อบุคคลใดเจ็บป่วยจะหาความสุขไม่ได้เลย ในเมื่อบุคคลใดเจ็บป่วยก็ต้องไปหาหมอ หมอก็พยายามที่จะรักษาให้หายจากโรคร้ายด้วยวิธีต่างๆ กัน ล้วนแล้วแต่ต้องการให้หายจากความเจ็บป่วย หายทรมาน ให้กลับมาเป็นคนที่มีพลานามัยสมบูรณ์และมีความสุขในชีวิต วิธีการรักษาที่หมอค้นคิด ศึกษาแนะนำมาใช้รักษาผู้ป่วยนั้น มีหลายแบบหลายวิธี เพื่อหวังผลอย่างเดียวคือ ให้ผู้ป่วยหายจากโรคภัย
ในปัจจุบันนี้การรักษาโรค จะแยกออกไปได้หลายวิธี เช่น การรักษาด้วยยา การรักษาด้วยยา การรักษาด้วยการผ่าตัดการใช้รังสีรักษาและอีกวิธีหนึ่งที่หมอเองกำลังค้นคว้าหาผลดีของการรักษาแบบนี้ คือ วิธีรักษาด้วยการฝังเข็ม
วิธีการฝังเข็มนี้ เป็นวิธีรักษาโรค ซึ่งมีต้นกำเนิดมาจากประเทศตามประวัติศาสตร์ กล่าวว่า ในประเทศจีนใช้การฝังเข็มรักษาผู้ป่วยมาประมาณ 4,000 ปีแล้ว โดยการกระตุ้นจุดบางจุดในร่างกายด้วยของแหลม ส่วนใหญ่ใช้รักษาในการบรรเทาความเจ็บปวด การฝังเข็มก็มีวิวัฒนาการกันขึ้นมาเรื่อยๆ โดยใช้ในการรักษาโรคและป้องกันทำให้โรคหาย หรือบรรเทาไปได้ของแหลมที่ใช้กระตุ้นก็เปลี่ยนแปลงไปตามเวลา จากกระดูกสัตว์ หินมาเป็นเข็ม วัตถุที่ใช้ทำเข็มไม่มีความสำคัญในการรักษาแต่อย่างใด อาจเป็นทองคำ เงิน เหล็กไม่เป็นสนิมก็ได้ทั้งสิ้น ความสำคัญในการรักษาอยู่ที่การวินิจฉัยโรคได้ถูกต้อง การเลือกจุดการแทงถูกจุดที่ได้เลือกแล้วความรู้ในทางการแพทย์ที่เกี่ยวกับกายวิภาค การติดเชื้อ มีความสำคัญในการใช้วิธีฝังเข็มรักษาโรคมาก ในเวลานี้เข็มที่ใช้ในการรักษาโรค ใช้เข็มทำด้วยเหล็กไม่เป็นสนิม รูปร่างและขนาดของเข็มก็มีแตกต่างกันไป 9 ชนิด แล้วแต่วิธีที่จะใช้ในการรักษา
การฝังเข็มเพื่อการรักษา
การฝังเข็มเป็นวิธีการรักษาโรคชนิดหนึ่ง ซึ่งยังอธิบายไม่ได้ชัดว่า ทำไมจึงหายจากโรคนั้นๆ ได้ เป็นวิธีรักษาโรคที่ใช้กันมาหลายพันปี มีผลออกมาให้เห็น คือ หายหรือทุเลา
โรคที่ใช้รักษาด้วยวิธีฝังเข็มมีหลายร้อยวิธี เกือบจะว่ารักษาได้ทุกโรค ยกเว้นโรคที่เกี่ยวกับเนื้องอก ที่ควรผ่าตัดเอาออกมากกว่า โรคที่ใช้ในการรักษามีทั้งโรคติดเชื้อ การแพ้ (เช่น แพ้อากาศ ลมพิษ) โรคของอวัยวะภายใน (เช่น หืด ไอ ปวดท้อง โรคกระเพาะ ถุงน้ำดีอักเสบเป็นนิ่ว) โรคของไต (เช่น นิ่วก้อนเล็กๆ ไตอักเสบ) โรคระบบประสาท (เช่น ชา อัมพาต ปวดแขนขาโปลิโอ) โรคตา (ตาแดง ฝ้ามัว) โรคหู (หูอื้อ หูมีเสียง หูไม่ได้ยิน) ใบ้ โรคทางระบบสืบพันธุ์ (เช่น หมดความรู้สึกทางเพศ ประจำเดือนผิดปกติ) โรคที่เกี่ยวข้องกับการปวดทั้งหลาย (เช่น ปวดศีรษะ ปวดประสาท ปวดหลัง ปวดคอ แขน ข้อ ปวดกล้ามเนื้อ) โรคจิต กลัว ใจสั่น นอนไม่หลับ ฝันร้าย คิดมาก เหล่านี้ เป็นต้น ยังมีโรคอีกมากมายที่รักษาได้ หรืออาจทำให้ทุเลา
วิธีการรักษา ก็คือ เมื่อหมอวินิจฉัยโรคได้แล้ว ก็เลือกจุดที่จะใช้ในการรักษาตามตำแหน่งที่กำหนดไว้ แล้วใช้เข็มที่ทำความสะอาด และฆ่าเชื้อโรคแล้ว แทงบนจุดที่เลือกด้วย ด้วยวิธีการที่ถูกต้องและความชำนาญ จะทำให้เกือบไม่เจ็บเลย กระตุ้นเข็มเป็นเวลา 15-20 นาที ถอดเข็มออกได้ ทำวันละครั้งหรือ 2 วันครั้งแล้วแต่โรคที่เป็น และความรุนแรงของโรค เมื่อหายจากโรคร้ายเมื่อใดก็หยุดได้ หรือในโรคเรื้อรังให้ทำ 15 ครั้ง แล้วสรุปผลการรักษาที่หนึ่งอาจต้องใช้การรักษาระยะที่ 2 ต่ออีก 15 ครั้ง แล้วแต่ผลของการรักษาที่ได้รับ
ผลของการรักษาโรคด้วยวิธีฝังเข็ม ก็เช่นเดียวกับการรักษาด้วยวิธีอื่นๆ อาจได้ผลดี หายหรือทำทุเลา หรือในบางราย อาจไม่หาย ต้องเปลี่ยนวิธีรักษาเป็นวิธีอื่น เช่น โรคหืด อาจหายขาดไปเลยหรือทุเลา หรือต้องกลับไปใช้ยาอีก เป็นต้น
ทำไมถึงหาย ได้มีคนค้นคว้าทำการวิจัย ในหลายประเทศในโลกนี้ว่าทำไมการรักษาด้วยการฝังเข็ม จึงหายจากโรคร้าย ในเวลานี้เท่าที่จะอธิบายกันก็ว่า การฝังเข็มทำให้เกิดผลได้หลายๆ อย่าง เช่น
1.ทำให้ง่วงในบางจุด
2.ทำให้ชาหายปวดในบางจุด
3.ทำให้วัยวะภายในทำงานได้ดีขึ้น จุดแต่ละจุดมีผลต่ออวัยวะต่างๆ เช่น ทำให้น้ำดีไหลดีขึ้น ไตทำงานดีขึ้น เป็นต้น
4.ทำให้ร่างกายมีภูมิต้านทานโรคดีขึ้น การทำงานของเนื้อเยื่อดีขึ้น
การรักษาด้วยการฝังเข็มยังเป็นวิธีรักษาโรคที่ต้องค้นคว้า วิจัย และเพิ่มพูนความรู้ ความชำนาญ และความสนใจอีกมาก ในเวลานี้เราเชื่อได้ว่าการฝังเข็มทำให้โรคบางโรคหาย หรือทุเลาได้ บางโรคใช้เวลารักษาระยะสั้น บางโรคใช้เวลารักษาระยะยาว แต่ก็เป็นวิธีรักษาโรคที่ให้ประโยชน์แก่มวลชนได้
ที่มา นิตยสารหมอชาวบ้าน เล่ม : 3
รักษาอาการไมเกรนโดยไม่ต้องใช้ยา
ตอบลบนางสาว ธนาภา เซี่ยงฉิน 52SP2760039 ZA
จะมีอาการปวดตุ๊บๆ บริเวณศีรษะข้างใดข้างหนึ่งบางคนอาจจะมีอาการคลื่นไส้ อาเจียนร่วมด้วยส่วนสาเหตุที่ทำให้เกิดไมเกรนนั้น เชื่อว่าเกิดจากระดับฮอร์โมนผิดปกติ อาหารบางชนิดอาจทำให้บางคนเกิดอาการไมเกรนกำเริบมากขึ้นได้ เช่น ไวน์แดง เนื้อสัตว์แปรรูป ผงชูรสการเปลี่ยนแปลงของอากาศ เช่นร้อนอบอ้าวเกินไปความหิว ความตื่นเต้น การเดินทางหลายๆแห่งในช่วงเวลาสั้นๆ อาจทำให้เกิดไมเกรนได้คนที่เป็นไมเกรนบ่อยๆ จึงควรหมั่นสังเกตว่าเกิดจากปัจจัยอะไรจะได้หลีกเลี่ยงได้ การเข้านอนเป็นเวลา และหลับให้เต็มตา จะช่วยผ่อนคลายอาการไมเกรนได้ ส่วนเซ็กส์ที่สุขสมนั้น มีงานวิจัยยืนยันว่า เป็นยาขนานเอกในการบำบัดอาการไมเกรนกันทีเดียว
คนที่มีอาการปวดหัวเรื้อรัง ปวดหัวบ่อยๆ นักวิจัยเขาแนะนำว่าควรหลีกเลี่ยงอาหารที่มีสาร Tyramines และ Nitrite เพราะบางคนอาจจะมีความไวต่อสารสองชนิดนี้ ส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของหลอดเลือดและระบบประสาท ทำให้เกิดอาการปวดหัวได้
ช็อกโกแลต ผลการวิจัยพบว่า ผู้ป่วยที่เป็นไมเกรน จะมีอาการกำเริบขึ้นทุกครั้งที่กินช็อกโกแลต คนที่ชื่นชอบช็อกโกแลต อย่าเพิ่งเศร้าใจนะคะ เพราะนักวิจัยเขาบอกต่ออีกว่า ช็อกโกแลตชนิดขาวกินได้ไม่ทำให้ปวดหัวหรอกค่ะ
ไวน์แดง ผลการวิจัยพบว่า คนที่ดื่มไวน์แดง จะเกิดอาการปวดหัวอย่างรุนแรง บางรายมีอาการคลื่นไส้ อาเจียนได้ เมื่อเทียบกับคนที่ดื่มวอดก้ามะนาว ซึ่งไม่เกิดอาการดังกล่าว ผู้ที่มีอาการไมเกรนเรื้อรัง ควรหลีกเลี่ยงไวน์แดงจะดีกว่า
กุนเชียง เนื้อแดดเดียว เป็นอาหารที่ผ่านกรรมวิธีทำให้มีสีแดงโดยเติมดินประสิวลงไป ซึ่งก็คือสาร Nitrite ที่ช่วยกระตุ้นให้เกิดการปวดหัวได้
ลูกชิ้นเด้งทั้งหลาย ผู้ผลิตบางรายจะใส่สารบอแร็กซ์ ซึ่งเป็นสารอันตราย ทำให้บางคนเกิดอาการปวดหัว คลื่นใส้ และอาเจียนได้
สารให้ความหวานแทนน้ำตาล สำหรับคนที่มีอาการปวดหัวเรื้องรัง ควรหลีกเลี่ยง เพราะผลการวิจัยระบุว่า ผู้ป่วยไมเกรนจะมีอาการกำเริบขึ้นเมื่อกินสารชนิดนี้เข้าไป
แม้อาการปวดหัว อาจจะไม่ได้เกิดจากอาหารเหล่านี้โดยตรง แต่สำหรับคนที่เป็นโรคปวดหัวเรื้อรัง ควรหลีกเลี่ยงจะดีกว่า
ที่มา : http://www.expert2you.com/view_article.php?art_id=870
นางสาวรติรมย์ ถมยา 52SP2760047 ZA
ตอบลบวิธีการรักษาอาการปวดข้อมือโดยไม่ใช้ยา
ช่วงปวดอยู่
เลี่ยงกิจกรรมที่ทำแล้วปวด (Respect to the pain)
ใช้ความร้อน เช่น กระเป๋าน้ำร้อนประคบบริเวณที่ปวด 30 นาที วันละ 1-2 ครั้ง หรือความเย็นช่วย ใช้น้ำแข็งห่อผ้าขนหนู cold pack ประคบที่ปวดนาน 10-15 นาที บ่อย ๆ ได้ตามต้องการ แต่ควรเว้นช่วงมากกว่า 30 นาที (Knowing by trial)
ช่วงหายปวดแล้ว
ใช้หนังยาง (หนังยางเส้นใหญ่) รัดปลายนิ้ว แล้วกางนิ้วออก (ใช้แรงดึงของหนังยางเป็นแรงต้าน) ค่อย ๆ เพิ่มจำนวนหนังยางขึ้นเรื่อย ๆ ตามที่ทำได้ โดยไม่เจ็บ จำนวน 20 ครั้ง ทำบ่อยได้ตามต้องการครับ
Tricks :
1. โรคนี้มักหายช้า ประมาณ 3-6 เดือน เพราะฉะนั้นใจเย็น ๆ ถ้าปวดมากขึ้นค่อยไปหาหมอขอ X-Ray ถ้าไม่ปวดมากขึ้นก็ใจเย็น ๆ
2. การฉีดยาเข้าปลอกหุ้มเอ็น ทำให้หายเร็วมาก แต่มีผลข้างเคียงมากกว่าวิธีธรรมชาติ เลือกใช้ได้ในยามจำเป็นเร่งด่วนครับ
ที่มา
http://www.bloggang.com/viewblog.php?id=tonsports&date=06-01-2008&group=24&gblog=1
นาย อำนาจ จารุถาวร 52SP2760050
ตอบลบสุขภาพ
สุขภาพดีคือสิ่งที่ทุกคนปรารถนา สุขภาพดีเป็นสิ่งพรหมลิขิตให้แต่ไม่ทั้งหมด หลายคนไขว่ขว้าหาสุขภาพดี ใช้เงินใช้ทองซื้อทำสปา เข้าโปรแกรมลดน้ำหนัก ซื้ออาหารลดน้ำหนักมารับประทาน การมีสุขภาพที่ดีต้องอาศัยตัวเองดูแลสุขภาพ ให้เวลากับตัวเองเพียงวันละ 1 ชั่วโมงในการออกกำลังกาย อีก 7 ชั่วโมงในการนอนหลับ และรับประทานอาหารที่มีคุณภาพ
ธรรมชาติคงไม่ให้สุขภาพที่ดีแด่คนที่ชอบทำร้ายตัวเองอยู่เรื่อย แม้ว่าจะทราบแล้วว่าสิ่งนั้นไม่เป็นผลดีต่อสุขภาพ สุขภาพไม่สามารถซื้อด้วยเงินถึงแม้คุณจะรวยเป็นมหาเศรษฐีหากคุณไม่ดูแลตัวเองให้ดี เงินที่มีอยู่เพียงบรรเทาอาการเท่านั้น
หลายท่านคิดว่าการออกกำลังกายเสียเวลา ท่านลองจิตนาการถึงภาระงานที่ท่านรับผิดชอบในแต่ละวันว่ามีมากน้อยเพียงใด หากท่านไม่ดูแลตัวเองและเกิดโชคร้ายท่านเป็นโรคอัมพาตหรือโรคหัวใจ ภาระที่ท่านว่ามากมายจนไม่มีเวลาออกกำลังกาย ภาระเหล่านั้นใครจะเป็นคนดูแล และหากโชคร้ายถึงขั้นช่วยตัวเองไม่ได้ ใครจะมาเป็นคนดูแลท่าน ท่านเพียงเสียเวลาวันละประมาณ 1 ชั่วโมง หรือท่านอาจจะใช้เวลาในการดูทีวีและออกกำลังกายไปด้วยกันซึ่งก็จะทำให้ท่านมีสุขภาพที่ดีขึ้น
หลายท่านเชื่อว่า คนผอมเท่านั้นที่มีสุขภาพดี จึงทำการลดน้ำหนักด้วยการอดอาหารเป็นการใหญ่เพื่อให้น้ำหนักได้มาตรฐาน แต่การลดน้ำหนักอาจจะเป็นเรื่องลำบาก และการอดอาหารเป็นเวลานานๆอาจจะมีอันตรายต่อสุขภาพ จึงอยากให้ท่านผู้อ่านได้เปลี่ยนมุมมองใหม่
ที่มา www.siamhelth.net
นาย ภัทรพงศ์ วาศไชยพงศ์ 52SP2760033
ตอบลบการดื่มน้ำเพื่อสุขภาพ
สุขภาพของคนเราจะดีขึ้นด้วยวิธีง่ายๆ คือการดื่มน้ำให้พอเพียงในแต่ละวันค่ะ ‘ฉลาดดื่ม’ ด้วยสูตรสำเร็จง่ายๆ ดังนี้
1.ปริมาณที่ควรดื่มในแต่ละวัน มีสูตรคำนวณดังนี้ น้ำหนักตัวเป็นกิโลกรัม หารด้วย 2 คูณด้วย 2.2 แล้วคูณด้วย 30 เช่น น้ำหนัก 55 กก. เท่ากับ 55/2 x 2.2 x 30 = 1815 ซีซี แต่ไม่ถึงขั้นต้องตวงดื่มกันนะคะ แค่เป็นตัวเลขคร่าวๆ ให้ใสใจที่จะดื่มให้พอเหมาะกับร่างกายของแต่ละคนเท่านั้นค่ะ
2.วิธีการดื่ม ส่วนใหญ่ที่ดื่มกันไม่พอ แม้จะทราบแล้วว่าจะต้องดื่มกันมากน้อยแค่ไหนแล้วก็ตาม เพราะไม่มีเวลา จึงมักจะใช้วิธีกรอกน้ำกันแก้วโตๆ ดื่มรวดเดียวกระดกหมดแก้ว แล้วมีภาระติดพันจนต้องกลั้นปัสสาวะกันนานๆ จนเกิดโรคกระเพาะปัสสาวะไวหรือช้ำรั่ว และกระเพาะปัสสาวะอักเสบเรื้อรังตามมาอย่างที่เล่าให้ฟังแล้ว วิธีดื่มที่แยบยลคือ ต้องวางแผนให้จังหวะการดื่มพอดีกับการถ่ายออก เมื่อกระเพาะปัสสาวะเพิ่งเริ่มเต็ม เพราะหลังการดื่มแต่ละครั้งน้ำจะไปถึงปลายทางที่กระเพาะปัสสาวะประมาณครึ่งชั่วโมงค่ะ เช่น ก่อนออกจากที่ทำงานหรือก่อนเข้านอน 1 ชั่วโมง งดการดื่มน้ำและถ่ายออกทุกครั้ง กระเพาะปัสสาวะก็จะว่างและได้พักบ้างค่ะ หรืออาจใช้วิธีค่อยๆ ทยอยดื่มทีละน้อย แล้วเข้าห้องน้ำทันทีที่เริ่มปวดในขณะที่กระเพาะปัสสาวะยังถ่ายออกได้หมด ไม่เหลือค้าง เพราะไม่ได้อุ้มน้ำไว้นานๆ จนหมดแรง แค่นี้ก็จะเป็นการเห็นใจกระเพาะปัสสาวะ สุขภาพก็จะแข็งแรง และไม่เกิดโรคจากพฤติกรรมทำร้ายกระเพาะปัสสาวะอย่างไม่ได้ตั้งใจนะคะ
3.ประเภทของน้ำ น้ำเปล่าที่สะอาด ไม่ร้อนไม่เย็นดีที่สุดค่ะ และควรดื่มหลังกินอาหารมื้อหลักไปแล้ว 40 นาที ไม่ควรดื่มระหว่างการกินอาหารหรือหลังอาหารทันที เพราะจะทำให้น้ำย่อยเจือจาง ทำให้การย่อยอาหารดำเนินไปได้ไม่เต็มที่ค่ะ ช่วงกินอาหารควรดื่มน้ำซุปหรือน้ำแกงค่ะ ส่วนนมและน้ำผลไม้ดื่มหลังมื้ออาหารไปแล้ว 2 ชั่วโมง จะช่วยให้ย่อยง่ายนะคะ งดชากาแฟและเครื่องดื่มแอลกอฮอลล์ ซึ่งมักกระตุ้นการหลั่งของน้ำย่อย และเป็นเหตุของการเกิดแผลในกระเพาะอาหารได้ค่ะ
จะเห็นว่าไม่ยากเลยนะคะกับการดื่มน้ำให้สุขภาพดี และเป็นเคล็ดลับความงามของผู้หญิงเราจากภายใน เพราะเซลล์ทั่วร่างกายจะสดชื่นและเปล่งปลั่งอยู่เสมอค่ะ ยากตรงที่ความตั้งใจและใส่ใจที่จะฝึกดื่มน้ำอย่างฉลาดได้อย่างต่อเนื่องจนเป็นสุขนิสัยนะคะ
นายอริชัย ลออวงศ์วาณิช
ตอบลบ52SP2760027
การเดินเพื่อสุขภาพ
เมื่อท่านได้เริ่มเดินออกกำลังแล้วท่านควรตักตวงประโยชน์จากการเดินให้เต็มที่ เริ่มด้วยการวางโปรแกรมเพื่อให้รู้สึกอยากออกกำลังและติดตามผลได้ เลือกเสื้อผ้าที่สวมใส่สบาย รองเท้าควรเป็นชนิดผูกเชือกหรือสามารถปรับให้กระซับกับเท้าได้ พื้นรองเท้าควรยืดหยุ่นได้ดี และมีพื้นที่นูนเพื่อรับความโค้งของฝ่าเท้า ไม่ว่าท่านจะเดินที่ไหน เวลาใด ควรคำนึงถึงความปลอดภัยเสมอ ใช้ถนนอย่างระมัดระวัง สังเกต สัญญานเตือนการหักโหม เมื่อรู้สึกเหนื่อยเกินไปควรหยุดพัก หากท่านมีอาการบาดเจ็บ ขณะเดินหรือมีความกังวลใจ เรื่องสุขภาพใด ๆ ควรปรึกษาแพทย์
วางแผนการเดินออกกำลัง
ท่านสามารถวางแผนการเดินออกกำลังโดยค่อย ๆ เพิ่มความถี่ เพิ่มระยะเวลาที่เดินและเพิ่มระยะทางที่เดิน เมื่อท่านเดินไปได้ 10 สัปดาห์แล้ว ให้รักษาระดับชีพจรเป้าหมายไว้เสมอ บางท่านเมื่อได้เดินออกกำลังจนเคยชินแล้ว จะรู้สึกออกกำลังให้สม่ำเสมอได้โดยไม่ต้องพึ่งตารางหรือการวางแผนอีก
หากท่านแข็งแรงและมีสุขภาพดีมาก ท่านอาจไม่จำเป็นต้องอาศัยตาราง อีกต่อไป ท่านอาจเลือกเดินขึ้นเนินเพื่อให้ชีพจรถึงค่าเป้าหมายได้เร็วขึ้น
การแต่งกายเพื่อเดินออกกำลังกาย
ข้อดีอย่างหนึ่งของการเดินคือ ท่านสามารถเลือกเสื้อผ้าอะไรก็ได้ ที่ท่านชอบโดยดูตามสภาพอากาศ อุปกรณ์ที่สำคัญที่สุดเห็นจะเป็นรองเท้าที่เหมาะสมสักคู่หนึ่งคู่
โครงสร้างรองเท้าที่เหมาะสำหรับใส่เดินออกกำลัง
รองเท้าที่ดีต้องปกป้องเท้าของท่านขณะที่เดินออกกำลัง วัสดุที่ใช้ทำรองเท้าอาจเป็นหนังหรือไนลอน เพื่อการระบายอากาศที่ดี ควรมีหมอนรองโค้งของฝ่าเท้า และส้นรองเท้าควรเสริมเพื่อให้นุ่ม
เดินออกกำลังอย่างปลอดภัย
แม้ว่าการเดินจะเป็นวิธีการออกกำลังที่ปลอดภัยที่ดีที่สุดวิธีหนึ่ง แต่การระมัดระวังขณะอยู่บนถนนจะลดความเสี่ยงจากอุบัติเหตุและการบาดเจ็บ ความปลอดภัยที่ว่ายังหมายรวมถึงการใส่ใจกับสัญญานเตือนของร่างกายที่เกิดขึ้น เมื่อออกกำลังหนักเกินไป และรีบปรึกษาแพทย์หากเกิดปัญหาสุขภาพ
เคล็ดลับเพื่อความปลอดภัย
ดื่มน้ำวันละ 8-10 แก้วทุกวัน เพื่อชดเชยเหงื่อที่เสียไป
หากท่านเดินออกกำลัง ตอนกลางคืน ควรเดินกับเพื่อน และใส่เสื้อผ้าที่ผู้ขับขี่ยานพาหนะ มองเห็นได้ชัด
ควรออกกำลังในทิศที่สวนกับรถวิ่ง และเดินบนพื้นเรียบ เพื่อป้องกันการลื่น หรือหกล้ม
หากท่านสวมหูฟังเพลง เพื่อที่ท่านยังสามารถได้ยินเสียงแตรรถยนต์
อย่าสวมปลอกถ่วงน้ำหนักที่ข้อเท้า เพราะอาจเกิดการบาดเจ็บต่อหลังและข้อต่อได้
พกบัตรประจำตัวและเหรียญไว้ หากจำเป็นต้องใช้โทรศัพท์สาธารณะ
หลีกเลี่ยงแดดจัดโดยสวมหมวกและทายากันแดดที่มีค่า SPF มากกว่า 15
สัญญานเตือนว่าท่านหักโหมเกินไป
ท่านอาจรู้สึกหายใจไม่ทัน เวียนศรีษะ รู้สึกเหมือนจะเป็นลม หัวใจเต้นแรง ใจสั่น ปวดแขนหรือเจ็บหน้าอก ท่านควรเดินให้ช้าลงทันทีหรือหยุดพักก่อน หากข้อเท้าของท่านเคล็ดหรือแพลง ควรงดการเดินออกกำลังจนกว่าจะหาย
ปรึกษาแพทย์ทันที หากท่านรู้สึกเจ็บหน้าอก หรือเกิดการบาดเจ็บ เช่น ข้อเท้าแพลง ซึ่งไม่ทุเลาหลังจากหยุดพักแล้ว เป็นเวลา 2-3 วัน
ที่มา : http://www.thairunning.com/walk%20for%20health.htm
นายวัชระ สุลำนาจ
ตอบลบรหัส 52SP2760017
อะโรมาเทอราพี (aromatherapy) มาจากรากศัพท์ 2 คำ คือ aroma ซึ่งหมายถึง กลิ่นหอมจากน้ำมันหอมระเหย และ therapy ซึ่งหมายถึง การบำบัด ดังนั้น จึงหมายความถึง ศาสตร์ของการใช้น้ำมันหอมระเหยจากพืชเพื่อส่งเสริมให้สุขภาพจิตและสุขภาพกายให้ดีขึ้น และมีชื่อเป็นทางการคือ คันธบำบัด จัดได้ว่าเป็นศาสตร์เก่าแก่ของโลก เริ่มจากสมัยอิยิปเมื่อ 6,000 ปีที่ผ่านมา นอกจากนี้ยังมีการใช้ในจีนและอินเดีย เมื่อประมาณ 3,000 ปีมาแล้ว การใช้ประโยชน์ของน้ำมันหอมระเหยต่อร่างกายและจิตใจ ส่วนใหญ่มักจะทำโดยการสูดดมและการใช้ผ่านผิวหนัง ในกรณีการใช้ผ่านผิวหนังมักจะมีการเจือจางก่อนเสมอในน้ำมันพืช เช่น sweet almond oil, apricot kernel oil และ grapeseed oil เป็นต้น น้ำมันหอมระเหยที่ใช้ในการรักษา (Therapeutic oils)น้ำมันหอมระเหยที่ใช้ในการรักษา จะต้องมีความบริสุทธิ์และคุณภาพสูง ซึ่งทั้งนี้คุณภาพของน้ำมันจะขึ้นอยู่กับภูมิอากาศ และสถานที่ปลูกหรือแหล่งปลูกเป็นหลัก นอกจากนี้ยังขึ้นอยู่กับวิธีการปลูก การดูแลรักษา การเก็บเกี่ยว และ วิธีการสกัดเอาน้ำมันหอมระเหยมีดอกไม้หลายชนิดเช่น ไวโอเล็ท การ์ดเนีย ฟรีเซีย หรือไลแล็ค เราไม่สามารถสกัดน้ำมันหอมระเหยออกมาได้ ทั้งนี้เพราะลักษณะ ดอกที่บอบบาง และไม่เหมาะที่จะสกัดโดย กลั่นด้วยไอน้ำ กอรปกับราคาที่แพงมากของดอกไม้สด ทำให้บางครั้งมีการผสมน้ำมันหอม ที่เป็นสารเคมีสังเคราะห์ ซึ่งเรียกว่า เพอร์ฟูม (perfume) เพื่อให้ได้กลิ่นดอกไม้เหล่านี้ แต่เพอร์ฟูมจะไม่มีผลในการรักษาเลย
ที่มา
http://www.novabizz.com/Health/Aromatherapy.htm