blog นี้จัดทำขึ้นโดย ดร.สิรวัลภ์ เรืองช่วย ตู้ประกาย หลักสูตรการจัดการสิ่งแวดล้อมเมืองและอุตสาหกรรม คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต เพื่อเป็นอีกช่องทางหนึ่งในการสื่อสารกับนักศึกษา
นาย ธนพล ภัทรสัจจานันท์ รหัส 53116603009ที่มาของข้อมูล : สำนักข่าวเนชั่น ประจำวันที่ : 13 ตุลาคม 2553ครม. ไฟเขียวกฎหมายสิ่งแวดล้อมนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) อนุมัติในหลักการร่าง พ.ร.บ.มาตรการทางการคลังเพื่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งจะเป็นกฎหมายที่ให้โอกาสรัฐบาลมีเครื่องมือทางด้านการคลัง เช่น ภาษี ค่าธรรมเนียม และมาตรการจูงใจต่างๆ เพื่อดูแลเรื่องปัญหาสิ่งแวดล้อม แต่เนื่องจากร่างกฎหมายที่กระทรวงการคลังเสนอมายังขาดรายละเอียดบางส่วนจึงให้นำกลับไปพิจารณาเพิ่มเติม เช่น มาตรการภาษีเพื่อจูงใจให้เกิดการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมนอกจากนี้ ให้พิจารณาว่ากลไกที่เกิดจากกฎหมายฉบับนี้จะไม่ไปซ้ำซ้อนกับกฎหมายสิ่งแวดล้อม ทั้งในส่วนของคณะกรรมการและการจัดตั้งกองทุน โดยมอบให้กระทรวงการคลัง กระทรวงพลังงาน กระทรวงทรัพยากรและสิ่งแวดล้อม และกระทรวงสาธารณสุข ไปร่วมกันพิจารณาปรับปรุงแล้วส่งให้คณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจสอบอีกครั้งก่อนนำเสนอเข้าที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรต่อไปสำหรับสาระสำคัญของร่าง พ.ร.บ.ดังกล่าว กำหนดอัตราภาษีและค่าธรรมเนียม แยกเป็น 1. ภาษีมลพิษทางน้ำ ปีละ 10,000 บาทต่อตันของปริมาณมลพิษ 2. ภาษีมลพิษทางอากาศ ปีละ 2,500 บาทต่อตันของปริมาณมลพิษ 3. ภาษีนักท่องเที่ยว ร้อยละ 15 ของราคาค่าโดยสาร หรือ 1,000 บาทต่อคน 4. ภาษีผลิตภัณฑ์หรือค่าธรรมเนียมผลิตภัณฑ์ ร้อยละ 15 ของราคาผลิตภัณฑ์ หรือ 10,000 บาทต่อหน่วยผลิตภัณฑ์ และ 5. ภาษีหรือค่าธรรมเนียมอื่นๆ ร้อยละ 15 ของราคาหรือ 10,000 บาทต่อหน่วยของปริมาณมลพิษ ทั้งนี้หากมีการจัดเก็บภาษีและค่าธรรมเนียมสิ่งแวดล้อมดังกล่าว จะทำให้รัฐบาลมีรายได้ 18,000 ล้านบาทต่อปี คิดเป็น 1% ของรายได้รวมของประเทศ หรือคิดเฉลี่ยต่อประชากรรายละ 300 บาท
ความคิดเห็นนี้ถูกผู้เขียนลบ
นาย ธนพล ภัทรสัจจานันท์
ตอบลบรหัส 53116603009
ที่มาของข้อมูล : สำนักข่าวเนชั่น
ประจำวันที่ : 13 ตุลาคม 2553
ครม. ไฟเขียวกฎหมายสิ่งแวดล้อม
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) อนุมัติในหลักการร่าง พ.ร.บ.มาตรการทางการคลังเพื่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งจะเป็นกฎหมายที่ให้โอกาสรัฐบาลมีเครื่องมือทางด้านการคลัง เช่น ภาษี ค่าธรรมเนียม และมาตรการจูงใจต่างๆ เพื่อดูแลเรื่องปัญหาสิ่งแวดล้อม แต่เนื่องจากร่างกฎหมายที่กระทรวงการคลังเสนอมายังขาดรายละเอียดบางส่วนจึงให้นำกลับไปพิจารณาเพิ่มเติม เช่น มาตรการภาษีเพื่อจูงใจให้เกิดการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม
นอกจากนี้ ให้พิจารณาว่ากลไกที่เกิดจากกฎหมายฉบับนี้จะไม่ไปซ้ำซ้อนกับกฎหมายสิ่งแวดล้อม ทั้งในส่วนของคณะกรรมการและการจัดตั้งกองทุน โดยมอบให้กระทรวงการคลัง กระทรวงพลังงาน กระทรวงทรัพยากรและสิ่งแวดล้อม และกระทรวงสาธารณสุข ไปร่วมกันพิจารณาปรับปรุงแล้วส่งให้คณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจสอบอีกครั้งก่อนนำเสนอเข้าที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรต่อไป
สำหรับสาระสำคัญของร่าง พ.ร.บ.ดังกล่าว กำหนดอัตราภาษีและค่าธรรมเนียม แยกเป็น 1. ภาษีมลพิษทางน้ำ ปีละ 10,000 บาทต่อตันของปริมาณมลพิษ 2. ภาษีมลพิษทางอากาศ ปีละ 2,500 บาทต่อตันของปริมาณมลพิษ 3. ภาษีนักท่องเที่ยว ร้อยละ 15 ของราคาค่าโดยสาร หรือ 1,000 บาทต่อคน 4. ภาษีผลิตภัณฑ์หรือค่าธรรมเนียมผลิตภัณฑ์ ร้อยละ 15 ของราคาผลิตภัณฑ์ หรือ 10,000 บาทต่อหน่วยผลิตภัณฑ์ และ 5. ภาษีหรือค่าธรรมเนียมอื่นๆ ร้อยละ 15 ของราคาหรือ 10,000 บาทต่อหน่วยของปริมาณมลพิษ ทั้งนี้หากมีการจัดเก็บภาษีและค่าธรรมเนียมสิ่งแวดล้อมดังกล่าว จะทำให้รัฐบาลมีรายได้ 18,000 ล้านบาทต่อปี คิดเป็น 1% ของรายได้รวมของประเทศ หรือคิดเฉลี่ยต่อประชากรรายละ 300 บาท
ความคิดเห็นนี้ถูกผู้เขียนลบ
ตอบลบ